คุณคือพาซิโบ

สรุปหนังสือ คุณคือพาซิโบ

ทำความคิดให้ออกฤทธิ์กับสุขภาพ

คำนิยม Dawson Church

โจ ดิสเพนซาได้ทำการรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และวิสัยทัศน์อันล้ำสมัย เขาให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์มากกว่านักวิทยาศาสตร์หลายคน และในหนังสือที่น่าหลงใหลเล่มนี้ เขาได้นำการค้นพบล่าสุดทางวิทยาศาสตร์สาขาเอพิเจเนติก (epigenetic) ความยืดหยุ่นของสมอง (Neuroplasticity) และจิตประสาทภูมิคุ้มกันวิทยา (psychoneuroimmunology) มาสรุปรวมกันได้อย่างสมเหตุสมผล ข้อสรุปที่น่าสนใจนี้ก็คือ มนุษย์ทุกคนกำหนดรูปแบบสมอง และร่างกายของตัวเองตามความคิดที่คิด อารมณ์ที่รู้สึก เจตนาที่มี และสภาวะหลุดพ้นที่เข้าถึง หนังสือคุณคือพลาซิโบเล่มนี้ชวนให้เก็บเกี่ยวความรู้ เพื่อสร้างร่างกายและชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง

ทุกคนมักจะได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของการหายจากโรคอย่างปาฏิหาริย์ในลักษณะนี้ แต่สิ่งที่โจแสดงให้เห็นในหนังสือเล่มนี้ก็คือ ทุกคนมีความสามารถที่จะสร้างปาฏิหาริย์ในการรักษาเหล่านั้นได้ การฟื้นฟูตัวเองคือสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ในทุก ๆ ร่างกายการเสื่อมโทรมของร่างกายและโรคต่าง ๆ นั้นคือ สิ่งที่ผิดปกติไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงภายนอกได้ โดยการเปลี่ยนแปลงสภาวะภายใน

โจอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจน ถึงลำดับขั้นตอนที่เริ่มต้น จากเจตนาที่มาจากสมองส่วนหน้า (frontal lobe) และแปรไปเป็นสารสื่อเคมีที่เรียกว่านิวโรเพปไทด์ ซึ่งส่งสัญญาณไปทั่วร่างกาย และกลายเป็นสวิตซ์เปิดปิดยีน สารเคมีบางตัวเหล่านี้เช่น ออกซิโตซินหรือฮอร์โมนความผูกพัน ซึ่งถูกกระตุ้นโดยการสัมผัสมีความเกี่ยวโยงกับความรู้สึกรักและไว้ใจ

ด้วยการฝึกฝนสามารถเรียนรู้ที่จะปรับระดับค่าคงตัว ของฮอร์โมนความเครียดและฮอร์โมนการรักษาได้ จงเชื่อในความสามารถของตัวเองที่จะไปให้สุด และทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าเป็นไปได้ และจะกลายเป็นพลาซิโบที่สร้างอนาคต ที่เต็มไปด้วยความสุขและสุขภาพดี

คำนำ

ตื่นสู่ความจริง

ในปี ค.ศ 1986 ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนเมษายน ผู้เขียนถูกรถ SUV ชนระหว่างงานแข่งขันไตรกีฬาที่ปาล์มสปริง เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิต และเป็นจุดเริ่มต้นให้เข้ามาในเส้นทางนี้ ตอนนั้นผู้เขียนอายุ 23 ปี และมีความรู้สดใหม่ในศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรกติก (แพทย์จัดกระดูก) ตอนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเพิ่งผ่านช่วงของการว่ายน้ำ และกำลังอยู่ในช่วงขี่จักรยาน ขณะกำลังไปถึงทางเลี้ยวที่รู้ว่าจะต้องเจอกับสภาพการจราจรติดขัด ตำรวจจราจรหันหลังให้กับรถที่กำลังมา และโบกมือให้เลี้ยวไปทางขวาไปตามเส้นทางการแข่ง และเนื่องจากกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการแข่งขันจึงไม่คาดสายตาออกจากเขาเลย

ขณะที่กำลังแซงผู้เข้าแข่งขัน 2 คนในบริเวณทางเลี้ยวนั้น รถขับเคลื่อน 4 ล้อ SUV รุ่นสีแดงก็ได้ชนจักรยานของเขาจากด้านหลังด้วยความเร็ว 55 ไมล์ต่อชั่วโมง (หรือ 88.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เขากระเด็นขึ้นไปบนอากาศและตกลงมาหลังกระแทกพื้น กระดูกสันหลังหัก 6 ข้อและมีการบีบแตกของกระดูกลำตัวชิ้นที่ 8, 9, 10, 11 และ 12 และส่วนเอวชิ้นที่ 1 ตั้งแต่หัวไหล่ลงมาจนถึงบริเวณใต

หลังจากที่เขาได้ผ่านการตรวจเลือด เอ็กซเรย์ ซีทีสแกน และ MRI ที่โรงพยาบาล แพทย์ผ่าตัดกระดูกเอาผลตรวจให้ดู พร้อมกับแจ้งว่าการจะรักษาเศษกระดูกที่อยู่ในไขสันหลังต้องได้รับการผ่าตัดใส่แท่งเหล็ก นั่นหมายถึงการตัดส่วนหลังของกระดูกสันหลัง 2 3 ชิ้นที่อยู่ด้านบนและด้านล่างของส่วนที่แตก และใส่แท่งสแตนเลสยาว 12 นิ้วหนีบไว้ 2 ด้านตามแนวกระดูกสันหลัง

แต่หากผู้เขียนเลือกที่จะไม่รับการผ่าตัด การเป็นอัมพาตเหมือนเป็นสิ่งตายตัว ซึ่งทำให้กระดูกสันหลังของเขาไม่สามารถรับน้ำหนักของร่างกายในเวลาที่ยืนได้ กระดูกสันหลังจะพังทลาย และดันเศษกระดูกที่กระจายอยู่ลึกเข้าไปในไขสันหลัง และจะทำให้เป็นอัมพาตตั้งแต่บริเวณหน้าอกลงไปในทันที ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเช่นกัน มีความเข้าใจด้วยสมองของเขาว่า ร่างกายมีความสามารถในการรักษาตัวเอง ในตอนนี้ต้องนำปรัชญาทุกอย่างให้พัฒนาขึ้นสู่อีกระดับ เพื่อสร้างประสบการณ์การรักษาอย่างแท้จริง

จึงทำการตัดสินใจสองอย่าง อย่างแรกก็คือ จะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่สติปัญญานี้ และให้แผนการ หรือวิสัยทัศน์ด้วยคำสั่งที่ชัดเจน และก็จะปล่อยวางการรักษาให้กับจิตที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งผู้เขียนออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ที่บ้านของเพื่อนสนิทของเขาสองคน อาศัยอยู่ที่นั่น 3 เดือน ต่อจากนั้นเพื่อเริ่มต้นรักษาตัวเองนี่คือภารกิจ ตัดสินใจว่าในทุก ๆ วัน จะเริ่มต้นวันด้วยการสร้างกระดูกสันหลังขึ้นใหม่ทีละข้อ และจะแสดงสิ่งที่ต้องการให้จิตนี้เห็น รู้ว่าการจะทำเช่นนี้จะต้องมีสติที่สมบูรณ์

ดังนั้นวันละ 2 ชั่วโมงจะเข้าสู่ภายใน และเริ่มสร้างภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการในใจ ซึ่งก็คือกระดูกสันหลังที่หายดี ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกแทบจะทำสิ่งผิดพลาดนี้ตลอดเวลา ผู้เขียนหลุดสมาธิ และเผลอคิดถึงเรื่องอื่นจึงเริ่มต้นใหม่ และทำตามขั้นตอนการจินตนาการทั้งหมดอีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย น่าหงุดหงิด และพูดได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่เคยทำ ในที่สุดหลังจาก 6 สัปดาห์ของการต่อสู้กับตัวเอง และความพยายามที่จะมีสติอยู่กับจิตนี้ ก็สามารถทำตามกระบวนการการสร้างร่างกายใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ไม่ต้องหยุดและเริ่มต้นใหม่

สิ่งที่ผู้เขียนเรียนรู้ในตอนนั้นคือ หนึ่งในกฎหลักของควอนตัมฟิสิกส์ว่า ความคิดและสสารไม่ใช่สิ่งแยกจากกันซึ่งหมายความว่า ความคิดทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว รวมถึงความรู้สึกคือ พิมพ์เขียวที่ควบคุมโชคชะตาอยู่ การยืนยันความเชื่อมั่นและความตั้งใจ ที่จะสร้างอนาคตที่เป็นไปได้นั้น มีอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ และภายในจิตใจของความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัดในสนามควอนตัม

9 สัปดาห์ครึ่งหลังจากอุบัติเหตุ ผู้เขียนลุกขึ้นมาเดินและกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง โดยไม่ต้องใส่เฝือกหรือเข้ารับการผ่าตัดใด ๆ เขาหายเป็นปกติและเริ่มรับคนไข้อีกครั้งในสัปดาห์ที่ 10 กลับเข้ายิมเพื่อออกกำลังกาย ยกน้ำหนักอีกครั้ง ระหว่างที่ยังทำกายภาพบำบัดต่อในสัปดาห์ที่ 12 และตลอด 30 ปีหลังจากเหตุการณ์นั้น ผู้เขียนพูดได้อย่างเต็มปากว่าแทบไม่รู้สึกปวดหลังอีกเลย

จากนั้นไม่นานก็เริ่มให้ความสนใจเรื่องการหายจากโรคอย่างฉับพลัน หรือเวลาที่ผู้ป่วยหายจากโรคร้ายแรงที่ถึงแก่ชีวิต หรือโรคที่ติดตัวไปชั่วชีวิตโดยที่ไม่ได้รับการรักษาจากศาสตร์การแพทย์ทั่วไป เช่น ยาหรือการผ่าตัด ในค่ำคืนหนึ่งที่เขานอนไม่หลับระหว่างช่วงที่กำลังพักฟื้นตัวอยู่นั้น ผู้เขียนได้สัญญากับจิตนั้นไว้ว่า หากกลับมาเดินได้อีกครั้งเขาจะอุทิศชีวิตนี้เพื่อการศึกษา และค้นคว้าความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจร่างกาย และแนวคิดเรื่องจิตเหนือสสาร และนี่ก็คือสิ่งที่เขาทำมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา

บทนำ

เปลี่ยนความคิดให้เป็นความจริง

แนวคิดของพลาซิโบหรือยาหลอก ซึ่งก็คือการที่ผู้คนรับประทานยาที่ทำจากน้ำตาลหรือได้รับการฉีดน้ำเกลือ และจากนั้นความเชื่อที่มีต่อบางสิ่งในสิ่งแวดล้อมภายนอกของพวกเขา ทำให้พวกเขาดีขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นหากคนเริ่มเชื่อในตัวเอง แทนที่จะเชื่อในสิ่งที่อยู่ภายนอก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาเชื่อว่า พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ภายใน และก้าวเข้าสู่สภาวะการเป็นอยู่เดียวกับผู้ที่ได้รับพลาซิโบ การเปลี่ยนสภาวะการเป็นอยู่ของตัวเอง หากสามารถตรวจวัดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสมอง และพิจารณาข้อมูลทั้งหมดนี้ จะสามารถสอนคนให้ปรับเปลี่ยนสภาวะการเป็นอยู่ของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยปัจจัยภายนอก ไม่ต้องใช้พลาซิโบจะสามารถสอนว่า พวกเขานั้นคือพลาซิโบ กล่าวได้ว่าแทนที่จะอาศัยความเชื่อที่มีต่อสิ่งที่รู้จัก อย่างเม็ดน้ำตาลหรือการฉีดน้ำเกลือ จะสามารถโน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ และสร้างความคุ้นเคยกับมัน

ภาค 1 ข้อมูล

บทที่ 1 มันเป็นไปได้หรือ

แซม ลอนด์ (Sam Londe) คนขายรองเท้าปลดเกษียณอาศัยอยู่บริเวณนอกเมืองเซนต์หลุยส์ ในช่วงต้นปี ค.ศ 1970 เขาเริ่มมีปัญหาในการกลืนอาหารจนต้องไปพบแพทย์ในที่สุด และทำให้รู้ว่าเป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะลุกลาม แซมลอนเสียชีวิตลง อาจคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งทั่วไป ที่ตามมาด้วยการเสียชีวิตจากโรคร้ายอันน่าเศร้า อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป เมื่อโรงพยาบาลทำการชันสูตรศพของลอนด์ และพบว่าตับของชายคนนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยเซลล์มะเร็ง มีเพียงก้อนมะเร็งเล็ก ๆ ที่อยู่ที่ตับพูซ้าย และจุดที่เล็กมาก ๆ ในปอดเท่านั้น

แซมลอนด์ไม่ได้เสียชีวิตจากมะเร็งหลอดอาหาร และไม่ได้เสียชีวิตจากมะเร็งตับ นอกจากนี้เขาไม่ได้เสียชีวิตจากอาการปอดบวมเล็กน้อยตอนที่เข้าโรงพยาบาล แต่เขาเสียชีวิตเพราะทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาคิดว่า เขากำลังจะตาย แพทย์ที่ให้การรักษาในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์คิดว่าลอนด์กำลังจะตาย  หลังจากนั้นในแนชวิลล์ ดร.เมเดอร์ก็คิดว่าลอนด์กำลังจะตาย ภรรยาและครอบครัวของลอนด์ก็คิดว่าเขากำลังจะตาย และที่สำคัญไปกว่านั้นตัวลอนด์เองก็คิดว่าเขากำลังจะตายเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่ แซม ลอนด์ เสียชีวิตจากเพียงความคิดเท่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ความคิดจะมีพลังขนาดนั้น

อีกกรณีหนึ่ง เฟร็ด เมสัน (Fred Mason นามสมมุติ) นักศึกษาปริญญาโทวัย 26 ปี เริ่มเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่ตอนที่เขาถูกแฟนสาวบอกเลิก เขาเห็นโฆษณาเกี่ยวกับการทดลองยารักษาโรคซึมเศร้าตัวใหม่ และตัดสินใจเข้าร่วมการทดลอง เขามีอาการซึมเศร้ามาแล้ว 4 ปี หลังจะเข้าร่วมในงานวิจัยประมาณ 1 เดือน เขาตัดสินใจโทรหาแฟนเก่าของเขาทั้งสองคนทะเลาะกันทางโทรศัพท์ และหลังจากที่เมสันวางสายเขาคว้ายาที่ได้จากการทดลอง แล้วกลืนยาทั้ง 29 เม็ดที่เหลืออยู่ในขวดเพื่อพยายามฆ่าตัวตาย

เพื่อนบ้านได้ยินเสียงร้องของเขา และพบเขากำลังนอนอยู่บนพื้น เขาบอกกับเพื่อนบ้านพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายพูดว่า เขาทำพลาดมหันต์เพราะได้กินยาทั้งหมดเข้าไป แต่เขาไม่ได้ต้องการที่จะตายจริง ๆ เขาขอให้เพื่อนบ้านพาเขาไปโรงพยาบาล แพทย์ตรวจไม่พบอะไรผิดปกติในร่างกายของเขา นอกจากอาการความดันต่ำ หัวใจเต้นเร็ว และหายใจเร็วกว่าปกติ 4 ชั่วโมงต่อมา ผลตรวจจากห้องแลปออกมาปกติทุกอย่าง และเจ้าหน้าที่ที่เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองมาถึงโรงพยาบาล และแจ้งว่าที่จริงแล้วเมสันได้รับพลาซิโบ และสิ่งที่เขากินเข้าไปนั้นไม่มีตัวยาใด ๆ และทันใดนั้นราวกับปาฎิหาริย์ ความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจของเมสันกลับมาเป็นปกติภายในไม่กี่นาที และเขาก็ไม่มีอาการง่วงซึมอย่างหนักอีกต่อไป เมสันตกเป็นเหยื่อของโนซิโบ (nocebo) สารที่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ อันเนื่องจากความคาดหวังอย่างรุนแรงว่า ผลเสียนั้นจะเกิดขึ้น

เป็นไปได้หรือไม่ที่อาการของเมสันเกิดขึ้น เพียงเพราะสิ่งที่เขาคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น จากการกินยาโรคซึมเศร้าจำนวนมาก เช่นเดียวกับในกรณีของแซม ลอนด์ จิตใจสามารถควบคุมร่างกายของเขา และถูกขับเคลื่อนความคาดหวังต่อสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดในอนาคต จนถึงระดับที่จิตใจของเขาสร้างสถานการณ์สมมุตินั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ ความคิดสามารถทำให้ป่วยได้จริงหรือ และมีความสามารถที่จะใช้ความคิดเพื่อทำให้หายป่วยได้หรือไม่

ทัศนคติคือทุกสิ่ง ในปัจจุบันมีงานวิจัยจำนวนมาก ที่รายงานว่าทัศนคติมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งรวมถึงอายุขัยด้วย ตัวอย่างเช่น มาโย คลินิก (Mayo Clinic) ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาในปี ค.ศ 2002 ซึ่งทำการติดตามผลบุคคล 447 คนเป็นเวลา 30 ปี และรายงานว่าคนมองโลกในแง่ดีมีสุขภาพร่างกาย และจิตใจที่ดีกว่า คนมองโลกในแง่ดีหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า optimist ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าดีที่สุด หมายถึงผู้ที่มุ่งความสนใจไปยังสถานการณ์ในอนาคตที่ดีที่สุด

โดยคนมองโลกในแง่ดี มักมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันที่มีผลมาจากปัญหาสุขภาพและสภาวะทางอารมณ์น้อยกว่า เช่น รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางร่างกายน้อยกว่า รู้สึกมีพละกำลังมากกว่า เข้าสังคมได้ง่ายกว่า และรู้สึกมีความสุขสงบและใจเย็นมากกว่า ในเวลาส่วนใหญ่ผลในลักษณะเดียวกันนี้ ยังพบได้ในงานวิจัยของมาโยคลินิกอีกงานวิจัยหนึ่ง ซึ่งทำการติดตามผลบุคคลจำนวนกว่า 800 คนเป็นเวลา 30 ปี และพบว่าคนมองโลกในแง่ดี มีอายุยืนยาวกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย

เป็นไปได้อย่างไรที่กระบวนการทางความคิดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะรู้สึกสนุกสนาน และรู้สึกเป็นที่รัก หรือมีความรู้สึกไม่เป็นมิตร และอารมณ์เชิงลบ เป็นสิ่งที่กำหนดว่าจะมีอายุยืนเพียงใด เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปลี่ยนกระบวนการทางความคิดในปัจจุบัน หากเป็นไปได้กระบวนการทางความคิดใหม่ จะสามารถล้มล้างจิตใจที่ถูกกำหนดด้วยประสบการณ์ในอดีต หรือการคาดหวังที่ว่าจะมีสิ่งด้านลบเกิดขึ้น จะมีส่วนช่วยให้มันเกิดขึ้นจริง

การมีความเชื่ออย่างแรงกล้า ทำให้บุคคลเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายของตัวเอง จนไม่สะทกสะท้านต่อสภาพแวดล้อมภายนอก และเป็นไปได้หรือไม่ที่ความเชื่ออย่างแรงกล้าในทำนองเดียวกันนี้ ที่ช่วยเสริมพลังให้สามารถมีอิทธิพลในทางตรงกันข้าม ที่จะทำให้เจ็บป่วยหรือแม้แต่เสียชีวิตลงได้

บทที่ 2

ประวัติพาซิโบโดยย่อ

แนวคิดที่ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงทางกายภาพ ผ่านเพียงความคิด ความเชื่อ และความคาดหวังนั้น ไม่ว่าจะตระหนักถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่หรือไม่ ได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในโรงพยาบาลสนามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะคัมภีร์ไบเบิ้ล ต่างเต็มไปด้วยเรื่องราวของการรักษาที่น่าอัศจรรย์ และแม้กระทั่งในยุคปัจจุบัน สัตยะ ไซ บาบา (Sathya Sai Baba) ปราชญ์ชาวอินเดีย ซึ่งได้รับการนับถือจากผู้ติดตามว่าเป็นร่างอวตาร หรือเป็นร่างทรงของเทพ มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการเสกเถ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า วิภูติ (vibhuti) เมื่อรับประทานหรือผสมน้ำและทาลงบนผิวหนัง จะมีพลังในการรักษาอาการเจ็บป่วยทางกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ กระทั่งกษัตริย์ของฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่ครองราชย์ในช่วงศตวรรษที่ 4 ถึงศตวรรษที่ 9 ก็ใช้วิธีวางฝ่ามือลงบนตัวผู้ป่วยเพื่อรักษาโรค โดยเฉพาะพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ เป็นที่รู้จักกันว่าเขามีความเชี่ยวชาญในการใช้วิธีการนี้ รักษาผู้ป่วยมากถึงประมาณ 100,000 ครั้ง

อะไรคือสาเหตุของเหตุการณ์อัศจรรย์เหล่านี้ เครื่องมือในการรักษาคือความศรัทธาในเทพเพียงอย่างเดียว หรือความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติของบุคคล วัตถุ หรือแม้กระทั่งสถานที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ อะไรคือกระบวนการที่ทำให้ความศรัทธา และความเชื่อมีอิทธิพลดังกล่าว เป็นไปได้หรือไม่ที่สภาวะจิตใจของผู้ที่ได้รับการรักษาดังกล่าว ได้รับอิทธิพลหรือถูกเปลี่ยนแปลงโดยเงื่อนไขในสภาพแวดล้อมภายนอก บุคคล สถานที่ หรือสิ่งต่าง ๆ ในเวลาที่เหมาะสม จนถึงระดับที่สภาวะจิตใจใหม่สามารถส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้

มาทำความรู้จักปรากฏการณ์โนซิโบ แน่นอนว่าทุกสิ่งมักจะมีอีกด้านหนึ่งเสมอ แม้ว่าเรื่องการคล้อยตามสิ่งชี้นำ จะได้รับข้อความสนใจมากขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพในการรักษาโรค แต่เพราะเห็นได้ชัดว่าปรากฏการณ์เดียวกันนี้ อาจก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน อย่างเช่น การใช้เวทมนต์หรือคำสาปที่แสดงให้เห็นด้านลบของการคล้อยตามสิ่งชี้นำอย่างชัดเจน คำว่าโนซิโบ (คือคำภาษาลาตินหมายถึง ฉันจะทำร้าย ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่าพลาซิโบ ที่หมายถึง ฉันจะดูแล) ซึ่งหมายถึงสารที่ไม่มีฤทธิ์ใด ๆ แต่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายได้ เพียงเพราะบางคนเชื่อหรือคาดว่าสิ่งนั้นจะเป็นอันตรายต่อพวกเขา

ปรากฏการณ์โนซิโบเกิดขึ้นในการศึกษาประสิทธิภาพของยา ที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยซึ่งได้รับพลาซิโบคาดหวังว่า การได้รับยาที่ทดสอบจะก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรือเมื่อผู้เข้าร่วมการวิจัยได้รับคำเตือน เกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นผู้เข้าร่วมการวิจัยจะได้รับผลข้างเคียง ที่คาดการณ์เอาไว้จากการเชื่อมโยงความคิด ที่มีต่อยากับอาการเหล่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้รับยาจริงก็ตาม

หากร่างกายมนุษย์สามารถทำหน้าที่เป็นคลังยาของตัวเอง ที่สามารถผลิตยาแก้ปวดได้เอง มันก็อาจเป็นจริงเช่นกันหรือไม่ ที่ร่างกายมนุษย์จะสามารถผลิตยาธรรมชาติชนิดอื่น ๆ ได้ จากสารเคมีและสารที่มีฤทธิ์รักษาที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว เมื่อจำเป็นและสามารถทำหน้าที่ได้ไม่ต่างจากยาที่แพทย์สั่ง หรืออาจดีกว่าเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นจากการตอบสนองตามการวางเงื่อนไข จึงสรุปได้ว่าโปรแกรมจิตใต้สำนึกที่มีอยู่ในร่างกาย จะมีอำนาจเหนือและสามารถควบคุมจิตสำนึกได้ ในลักษณะนี้ร่างกายได้ถูกวางเงื่อนไขให้กลายเป็น หรือทำหน้าที่แทนจิตใจหรือความคิด เนื่องจากความคิดจากจิตสำนึกที่รู้ตัว ไม่ได้อยู่ในการควบคุมอีกต่อไป ระบบจิตใต้สำนึกของร่างกายที่ทำงานอยู่ภายใต้สติรับรู้ ได้ขึ้นมาแทนที่สติรับรู้ ฉะนั้นการวางเงื่อนไขจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในร่างกาย โดยการเชื่อมโยงความทรงจำในอดีต เข้ากับการคาดหวังถึงผลมากที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเราเรียกว่าความจำเชิงสัมพันธ์ จนกระทั่งทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไว้ขึ้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งการวางเงื่อนไขเข้มข้นเท่าใด จะยิ่งมีการควบคุมต่อกระบวนการเหล่านี้น้อยลงเท่านั้น และจะยิ่งมีการตอบสนองโดยอัตโนมัติจากโปรแกรมที่อยู่ภายในจิตใต้สำนึกมากขึ้น

ในปัจจุบันมีการเผยแพร่การฝึกปรมัตถ์สมาธิ (Transcendental Meditation, TM) แบบตะวันออก ที่สอนโดยกูรูชาวอินเดีย มหาริชี มเหส โยคี (Maharishi Mahesh Yogi) เข้ามาสู่สหรัฐอเมริกา เทคนิคนี้ประกอบด้วยการทำให้จิตใจสงบ และการสวดมนต์ซ้ำ ๆ ในระหว่างการทำสมาธิ เป็นเวลา 20 นาทีวันละ 2 ครั้ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ วิธีปฏิบัติเช่นนี้ได้รับความสนใจจาก เฮอร์เบิร์ต เบนสัน (Herbert Benson) แพทย์โรคหัวใจของมหาวิทยาลัยฮาวาด เบนสันได้พัฒนาเทคนิคที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเขาเรียกว่าการตอบสนองต่อความผ่อนคลาย (relaxation response) เบนสันพบว่าแค่เพียงเปลี่ยนรูปแบบความคิด ผู้คนก็สามารถปิดการตอบสนองต่อความเครียดได้ ซึ่งจะช่วยลดความดันโลหิต ปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายในระดับลึก แม้ว่าการทำสมาธิจะเป็นการทำให้มีทัศนคติเป็นกลาง แต่ก็มีความสนใจในประโยชน์ของการบ่มเพาะทัศนคติเชิงบวก และส่งเสริมอารมณ์เชิงบวกด้วยเช่นกัน การที่พลาซิโบมีประสิทธิภาพ เป็นผลมาจากที่คนส่วนใหญ่มีความคาดหวังในการรักษาโรค

ประสาทวิทยาของพลาซิโบ ไม่นานนักนักประสาทวิทยาก็เริ่มใช้การสแกนสมองที่ซับซ้อน เพื่อศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในทางประสาทชีวเคมี เมื่อผู้ป่วยได้รับพลาซิโบ งานวิจัยทางประสาทวิทยาแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่น่าทึ่งอย่างแท้จริงนั่นคือ หากบุคคลได้รับสารชนิดเดิมซ้ำ ๆ สมองก็จะส่งสัญญาณในวงจรรูปแบบเดิม และจดจำผลของสารเคมีนั้นเอาไว้ บุคคลนั้นสามารถถูกวางเงื่อนไขต่อผลกระทบของยาเม็ด หรือยาฉีดได้อย่างง่ายดาย จากการเชื่อมโยงผลกระทบของยาเข้ากับการเปลี่ยนแปลงภายในที่คุ้นเคย จากประสบการณ์ในอดีตด้วยการวางเงื่อนไขดังกล่าว เมื่อบุคคลนี้ได้รับพลาซิโบในภายหลัง วงจรสมองจะทำงานเหมือนกับที่เคย เช่นเดียวกับตอนที่ได้รับยาจริง ความจำเชิงสัมพันธ์จะดึงข้อมูลจากโปรแกรมในจิตใต้สำนึกที่สร้างการเชื่อมโยงระหว่างยาเม็ด หรือยาฉีดกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และส่งสัญญาณให้ร่างกาย ผลิตสารเคมีที่เกี่ยวข้องที่เหมือนกับยาโดยอัตโนมัติ มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์

การปูพื้นความคิด (priming) คือ เมื่อบุคคล สถานที่ หรือสิ่งต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงกับสิ่งที่ฝังลึกในสมอง ทำให้กระทำสิ่งต่าง ๆ ในทิศทางนั้นโดยไม่รู้ตัวว่า กำลังทำอะไรอยู่ สิ่งนี้เรียกว่าการปูพื้นความคิด หากกิจกรรมโดยอัตโนมัติส่วนใหญ่ที่เกิดจากการปูพื้นความคิดนั้น เกิดขึ้นจากการตั้งโปรแกรมในระบบจิตไร้สำนึก (unconscious) หรือจิตใต้สำนึก (subconscious) ซึ่งก็มักจะเกิดขึ้นอยู่เบื้องหลังการรับรู้ แสดงว่าอาจมีการถูกปูพื้นความคิดให้เผลอทำสิ่งต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่รู้ตัวเลย

สิ่งที่ถูกวางเงื่อนไขให้เชื่อเกี่ยวกับตัวเอง และสิ่งที่ถูกตั้งโปรแกรมให้คิดว่า ผู้อื่นคิดกับเราอย่างไร ส่งผลต่อประสิทธิภาพ ซึ่งรวมไปถึงความสำเร็จ เช่นเดียวกับพลาซิโบนั่นคือ สิ่งที่ถูกวางเงื่อนไขให้เชื่อว่าจะเกิดขึ้นเมื่อรับประทานยา และสิ่งที่คาดคิดว่าทุกคนรอบตัว คาดหวังว่าจะเกิดขึ้น จะส่งผลต่อการตอบสนองที่ร่างกายมีต่อยา ภายในสภาพแวดล้อมเดียวกับผู้ที่มีความคิดเชิงบวก มักจะสร้างสถานการณ์ในเชิงบวก ในขณะที่ผู้ที่มีความคิดในเชิงลบ มักจะสร้างสถานการณ์ในเชิงลบ นี่คือปฏิหาริย์ของระบบวิศวกรรมชีวเวช (biological engineering) ที่มีเจตจำนงเสรีและมีลักษณะเฉพาะตัวในแต่ละคน แม้ว่ามันอาจดูเหลือเชื่อที่จิตใจจะมีพลังมากเช่นนั้น แต่งานวิจัยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บ่งชี้ถึงความเป็นจริงบางประการนั่นก็คือ สิ่งที่คิดคือสิ่งที่จะประสบ และในกรณีของสุขภาพ ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้จากสุดยอดคลังยาที่มีอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งจะทำงานสอดคล้องกับความคิดโดยอัตโนมัติ โดยการจ่ายยาที่น่าอัศจรรย์นี้ จะกระตุ้นโมเลกุลที่มีฤทธิ์ในการรักษาที่มีอยู่แล้วในร่างกาย

บทที่ 3 ปรากฏการณ์พลาซีโบในสมอง

เมื่อเปลี่ยนแปลงสภาวะการเป็นอยู่ ร่างกายจะสามารถตอบสนองต่อความคิดใหม่นั้นได้และการเปลี่ยนสภาวะการเป็นอยู่ก็เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงความคิด เนื่องจากสมองส่วนหน้ามีขนาดที่ใหญ่มาก จึงมีความคิดที่ซับซ้อนกว่าสัตว์อื่น ๆ และนั่นคือกลไกของปรากฏการณ์พลาซีโบ เพื่อทำความเข้าใจว่ากระบวนการนี้และทบทวน มี 3 องค์ประกอบที่สำคัญด้วยกัน อันประกอบไปด้วยการวางเงื่อนไข การคาดหวัง และการให้ความหมาย แนวคิดทั้ง 3 นี้ทำงานร่วมกันในการสร้างการตอบสนองพลาซีโบ

องค์ประกอบที่ 1 การวางเงื่อนไข เกิดขึ้นเมื่อเชื่อมโยงความทรงจำในอดีต เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา การเปลี่ยนแปลงในโลกภายใน อาจกล่าวได้ว่า สภาวะภายในกระตุ้นให้คิดถึงตัวเลือกในอดีตที่เคยเลือก การกระทำที่เคยทำหรือประสบการณ์ที่มีในโลกแห่งความเป็นจริงภายนอก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกได้ ดังนั้นสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งชี้นำจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เรียกว่า แอสไพริน จึงทำให้เกิดประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจง เหตุการณ์นี้ที่บางสิ่งภายนอกเปลี่ยนแปลงบางสิ่งภายในเรียกว่า ความจำเชิงสัมพันธ์ (associative memory)

องค์ประกอบข้อที่ 2 การคาดหวัง จะมีบทบาทเมื่อมีเหตุผลที่จะคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่ต่างออกไป เช่น หากมีอาการปวดเรื้อรังจากโรคข้ออักเสบ และได้รับยาชนิดใหม่จากแพทย์ ซึ่งอธิบายว่ายาตัวใหม่นี้สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้

องค์ประกอบที่ 3 คือการกำหนดความหมาย (meaning) ให้กับพลาซีโบ นี่คือสิ่งที่ช่วยให้พลาซีโบได้ผล เพราะเวลาที่กำหนดความหมายใหม่ให้กับการกระทำ ก็จะมีจุดมุ่งหมายในการกระทำนั้น หรือกล่าวได้ว่า เมื่อเรียนรู้และเข้าใจสิ่งใหม่จะใส่ใจและทุ่มเทกับมันมากขึ้น พลาซีโบทำงานในลักษณะเดียวกันนี้ ยิ่งเชื่อมากเท่าไหร่ว่าสารเคมี หัตถกรรม หรือการผ่าตัดจะให้ผลดี เมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้ ก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่จะตอบสนองต่อความคิดที่ว่า สิ่งเหล่านี้จะสามารถปรับปรุงสุขภาพ และทำให้มีอาการดีขึ้น หรือกล่าวได้ว่าหากให้ความหมายกับประสบการณ์ที่มีต่อบุคคล สถานที่ หรือสิ่งที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมภายนอกมากขึ้น

เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมภายใน ก็จะมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงสภาวะภายในมากขึ้นจากเพียงความคิดเท่านั้น หากปรากฏการณ์พลาซีโบเป็นการทำงานของความคิด ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยาได้ อาจเรียกได้ว่ามันคือจิตเหนือกาย จึงควรที่จะศึกษาความคิดและปฏิกิริยาที่สมองและร่างกายมีต่อความคิด โดยก่อนอื่นจะเริ่มจากความคิดในชีวิตประจำวัน

จากที่การศึกษาพลาซีโบส่วนใหญ่พบว่า ความคิดเพียงอย่างเดียวก็สามารถเปิดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในร่างกาย และสร้างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้อย่างชัดเจน อย่างที่สอง หากคาดหวังว่าอนาคตจะเหมือนกับในอดีต ไม่เพียงแต่กำลังอยู่ในอดีต แต่ยังเลือกอนาคตที่รู้จักบนพื้นฐานของอดีต และยึดมั่นในความรู้สึกของเหตุการณ์นั้น จนกระทั่งร่างกายที่เป็นจิตใต้สำนึกเชื่อว่า กำลังอยู่ในสถานการณ์นั้นจริง ๆ อย่างที่ 3 หากกำหนดความหมายหรือมีวัตถุประสงค์กับการกระทำใด ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะดีขึ้น สิ่งที่บอกกับตัวเองทุกวันคือสิ่งที่มีความหมาย และจะอ่อนไหวต่อการชี้นำตัวเองมากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะกำลังพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก เพื่อสร้างสภาวะการเป็นอยู่ใหม่ หรือกำลังใช้ชีวิตแบบเดิม และติดอยู่ในสภาวะการเป็นอยู่เดิม ความจริงก็คือคุณคือพลาซีโบของตัวคุณเองมาตลอด

บทที่ 4 ปรากฏการณ์พลาซีโบในร่างกาย

ดีเอ็นเอของคนเราใช้คำสั่งที่ถูกฝังเอาไว้ ในลำดับดีเอ็นเอเพื่อสร้างโปรตีน องค์ประกอบทั้งหมดที่เซลล์เหล่านี้สร้างขึ้นคือโปรตีน ซึ่งเป็นตัวควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ระบบย่อยอาหาร รักษาบาดแผล เร่งปฏิกิริยาเคมี ส่งเสริมความมั่นคงของโครงสร้างร่างกาย สร้างโมเลกุลที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างเซลล์ และอีกมากมาย หรือกล่าวได้ว่าโปรตีนคือ การแสดงออกของชีวิตและสุขภาพของร่างกาย

เอพีเจเนติกส์ มนุษย์ธรรมดาเล่นบทเป็นพระเจ้า สิ่งที่ทำให้สามารถเข้าถึงศักยภาพเหล่านั้นได้ ศักยภาพที่อาจมีอิทธิพลมหาศาลต่อสุขภาพและสุขภาวะ ในศาสตร์สาขาใหม่ที่เรียกว่าเอพีเจเนติกส์ คำว่าเอพีเจเนติกส์ มีคำตรงตัวว่า เหนือยีน หมายถึงการควบคุมยีนที่ไม่ได้มาจากภายในดีเอ็นเอ แต่จากข้อความที่มาจากภายนอกเซลล์ หรือจากสิ่งแวดล้อมนั่นเอง สัญญาณเหล่านี้ทำให้สารหมู่เมธิล (methyl group) ยึดติดกับตำแหน่งหนึ่งบนยีน และกระบวนการนี้ที่เรียกว่าการเติมหมู่เมธิลบนดีเอ็นเอ เป็นหนึ่งในกระบวนการหลักที่เปิดหรือปิดยีน (อีก 2 กระบวนการได้แก่การดัดแปลงฮิสโตนและอาร์เอ็นเอไร้รหัสก็สามารถเปิดและปิดยีนส์ได้เช่นกัน)

เอพีเจเนติกส์ สอนว่า ที่จริงแล้วไม่ได้ถูกกำหนดชะตากรรมโดยยีน และการเปลี่ยนแปลงในจิตของมนุษย์ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้ ทั้งในเชิงโครงสร้างและการปฏิบัติการในร่างกายมนุษย์ สามารถปรับเปลี่ยนชะตากรรมทางพันธุกรรมได้ โดยการเปิดยีนที่ต้องการ และปิดยีนที่ไม่ต้องการ ผ่านปัจจัยต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมที่สร้างโปรแกรมให้กับยีน สัญญาณเหล่านี้บางส่วนมาจากภายในร่างกาย เช่น ความรู้สึกและความคิด ในขณะที่สัญญาณอื่น ๆ มาจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น มลพิษหรือแสงแดด

ความเครียดทำให้ใช้ชีวิตในภาวะเอาตัวรอด ความเครียดเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเอพีเจเนติกส์ เพราะความเครียดจะทำลายสมดุลในร่างกาย ความเครียดมีด้วยกัน 3 รูปแบบได้แก่ ความเครียดทางกายภาพ (การบาดเจ็บ) ความเครียดทางเคมี (สารพิษ) และความเครียดทางอารมณ์ (ความกลัว ความกังวล ความท้อแท้ เป็นต้น) ความเครียดแต่ละรูปแบบสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยาเคมีได้มากกว่า 1,400 ปฏิกิริยา และผลิตฮอร์โมนและสารสื่อประสาทมากกว่า 30 ชนิด เมื่อปฏิกิริยาเคมีของฮอร์โมนความเครียดถูกกระตุ้น จิตใจจะส่งผลต่อร่างกายผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ และจะสัมผัสประสบการณ์ของการเชื่อมต่อ ระหว่างจิตใจกับร่างกายในรูปแบบสูงสุด

มรดกของอารมณ์เชิงลบ การที่สร้างฮอร์โมนความเครียดไปเรื่อย ๆ นั้นเท่ากับว่า ได้สร้างที่พักพิงให้กับอารมณ์เชิงลบ ที่ก่อให้เกิดการเสพติดขึ้น รวมไปถึงความโกรธ ความไม่เป็นมิตร ความก้าวร้าว การแข่งขัน ความเกลียดชัง ความคับข้องใจ ความกลัว เวลาที่มัวแต่นึกถึงความทรงจำในอดีตอันขมขื่น หรือจินตนาการถึงอนาคตที่เลวร้ายไปหมด ร่างกายจะไม่อาจเข้าสู่สภาวะสมดุลได้ ซึ่งอันที่จริงสามารถเปิดการตอบสนองต่อความเครียดได้จากความคิดเพียงอย่างเดียว หากเปิดการตอบสนองนี้ขึ้นมาแล้วไม่สามารถปิดมันได้

แน่นอนว่ากำลังมุ่งหน้าสู่ความเจ็บป่วยหรือโรคอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดหรือโรคมะเร็ง เนื่องจากมียีนจำนวนมาก ที่ถูกปรับลดในแบบโดมิโน  จนกระทั่งเป็นไปตามชะตากรรมทางพันธุกรรมในที่สุด ไม่ว่าจะเชื่อว่าความเครียดในชีวิตนั้น เป็นเรื่องสมควรหรือถูกต้องหรือไม่ ผลกระทบของความเครียดที่มีต่อร่างกายนั้น ไม่เคยให้ผลดีหรือมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย

เวลาที่อยู่ในภาวะเอาตัวรอด ซึ่งการตอบสนองต่อความเครียดเปิดอยู่ตลอดเวลา จะสามารถจดจ่อได้กับเพียง 3 สิ่งเหล่านั้นนั่นคือร่างกาย สิ่งแวดล้อม และเวลา การจดจ่อไปที่สิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา ทำให้มีการเข้าถึงจิตวิญญาณลดลง มีการตื่นตัวลดลง และมีสติลดลง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ฝึกให้หมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง ร่างกาย และวัตถุต่าง ๆ มากขึ้น และกับปัญหาทั้งหมดที่เผชิญในโลกภายนอก

บทที่ 5 ความคิดเปลี่ยนแปลงสมองและร่างกาย

ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความเครียด ทุกเรื่องที่คิด ทุกอารมณ์ที่รู้สึก และทุกเหตุการณ์ที่ประสบ กำลังทำหน้าที่เป็นวิศวกรเอพีเจเนติกส์ให้กับเซลล์คือ ผู้ควบคุมชะตากรรม ทำการฝึกฝนจิตใจต่อไป ผ่านทางเลือก พฤติกรรม และประสบการณ์ใหม่ ที่ต้องการนี้ได้นานเพียงพอ และสร้างสภาวะระดับจิตใจใหม่นี้ซ้ำหลายครั้ง สมองจะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ สมองจะติดตั้งวงจรประสาทเพื่อคิด จากระดับจิตใจระดับใหม่ ราวกับว่าประสบการณ์นั้นได้เกิดขึ้นแล้ว จะสร้างรูปแบบเอพีเจเนติกส์ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง และการทำงานของร่างกาย โดยอาศัยความคิดเท่านั้น เช่นเดียวกับการที่มีการตอบสนองพลาซีโบ จากนั้นสมองและร่างกายจะไม่อยู่ในอดีตเดิม ๆ อีกต่อไป แต่จะเริ่มอยู่ในอนาคตใหม่ที่สร้างขึ้นจากจิตใจของตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านการซักซ้อมในใจ เทคนิคนี้ก็คือการที่หลับตาแล้วจินตนาการว่า กระทำบางสิ่งซ้ำ ๆ และทบทวนอนาคตที่ต้องการภายในใจ ในขณะที่คอยเตือนตัวเองว่า ไม่ต้องการเป็นเช่นไร และใครที่ต้องการจะเป็น กระบวนการนี้ประกอบด้วยการคิดถึงการกระทำในอนาคต การวางแผนทางเลือกภายในจิตใจ และการมุ่งเน้นความคิดไปที่ประสบการณ์ใหม่

เพื่อทำความเข้าใจว่าการซักซ้อมในใจจึงได้ผล จะต้องศึกษาเนื้อหาบางส่วนของกายวิภาคสมอง และเสริมด้วยประสาทชีวะเคมีเล็กน้อย เริ่มจากการอธิบายว่าสมองกลีบหน้า ซึ่งอยู่บริเวณหน้าผากคือศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์ สมองส่วนนี้คือส่วนที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ฝันถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ กำหนดเจตนารมณ์ เป็นต้น เวลาที่ทำการซักซ้อมในใจ จดจ่อสมาธิและความสนใจไปยังผลลัพธ์ที่ต้องการ สมองกลีบหน้าคือมิตร เพราะมันจะช่วยลดสิ่งรบกวนจากโลกภายนอก เพื่อไม่ให้วอกแวกไปกับข้อมูลที่ได้รับจากประสาทสัมผัสทั้งห้า ภาพสแกนสมองแสดงให้เห็นว่า ในภาวะสมาธิระดับสูงอย่างการซักซ้อมในใจ การรับรู้ต่อเวลาและสถานที่จะหายไป

ชายสูงอายุที่แสร้งว่าตัวเองหนุ่มขึ้น และร่างกายของชายเหล่านี้ก็หนุ่มขึ้นจริง ๆ ในตอนที่ชายเหล่านี้มาถึงอาราม พวกเขาได้ถอนตัวจากชีวิตที่คุ้นเคย พวกเขาไม่ได้ถูกย้ำเตือนจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ถึงสิ่งที่พวกเขาเคยเป็นอีกต่อไป ชายสูงอายุเหล่านี้เริ่มใช้ชีวิตราวกับว่าได้เป็นหนุ่มอีกครั้ง ในขณะที่พวกเขาเกิดความคิด และความรู้สึกใหม่ว่าเป็นหนุ่มขึ้น สมองของพวกเขาเริ่มกระตุ้นเซลล์ประสาทในลำดับใหม่ รูปแบบใหม่ และการผสมผสานแบบใหม่ การแสร้งทำว่าหนุ่มขึ้นได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

ชายเหล่านี้จึงสามารถเริ่มส่งสัญญาณ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ที่สะท้อนถึงตัวตนที่พวกเขาเป็น ร่างกายของชายเหล่านี้มีการปรับปรุงทางกายภาพตามลำดับ เมื่อพวกเขาสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางเอพีเจเนติกส์  และเปิดยีนมากขึ้น ในที่สุดชายที่เดินออกจากประตูอารามนั้น จะไม่ใช่คนเดิมที่เดินเข้ามา ผ่านประตูบานเดียวกันเมื่อสัปดาห์ก่อนอีกต่อไป

บทที่ 6 การคล้อยตามสิ่งชี้นำ

หากการจะสร้างปรากฏการณ์พลาซีโบให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องโอบรับอารมณ์ที่ยกระดับ ก่อนที่ประสบการณ์การรักษาจะเกิดขึ้น แสดงว่าเมื่อตอนที่ยกระดับการตอบสนองทางอารมณ์ กำลังกระตุ้นการทำงานของระบบจิตใต้สำนึก การปล่อยให้รู้สึกถึงอารมณ์ เป็นวิธีการเข้าถึงระบบปฏิบัติการ และตั้งโปรแกรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากในตอนนี้กำลังออกคำสั่งให้ระบบประสาทอัตโนมัติ เริ่มสร้างสารเคมีที่เสมือนกับว่ากำลังมีอาการดีขึ้นโดยอัตโนมัติ และร่างกายจะได้รับน้ำอมฤตจากสมองและความคิด เป็นผลให้ในตอนนี้ร่างกายได้กลายเป็นจิตใจผ่านทางอารมณ์

เปิดประตูสู่จิตใต้สำนึก ความคล้อยตามที่มีหลากหลายระดับนั้น สามารถแสดงให้เห็นเป็นภาพได้โดยใช้ระดับความหนาของจิตคิดวิเคราะห์ ยิ่งสิ่งขวางกั้นระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกหนามากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าถึงระบบปฏิบัติการได้ยากขึ้นเท่านั้น การทำสมาธิไม่ใช่สิ่งที่ยาก หรือน่าสับสน ขอให้คิดว่าวัตถุประสงค์หลักของการทำสมาธิก็คือ การเคลื่อนย้ายจิตให้อยู่เหนือจิตคิดวิเคราะห์ และเข้าสู่จิตในระดับที่ลึกขึ้น ในการทำสมาธิไม่เพียงเคลื่อนจากจิตสำนึกไปสู่จิตใต้สำนึก เมื่ออยู่ ณ จุดนั้น จะเข้าสู่สภาวะ ไร้ประสาทสัมผัส ซึ่งก็คือโลกของความคิดที่อยู่เหนือประสาทสัมผัส การทำสมาธินำออกจากการเอาตัวรอดไปสู่การสร้าง จากการแบ่งแยกไปสู่การเชื่อมต่อ จากความไม่สมดุลไปสู่ความสมดุล จากภาวะฉุกเฉินไปสู่ภาวะการเจริญเติบโตและการซ่อมแซม

บทที่ 7 ทัศนคติ ความเชื่อ และมุมมอง

เวลาที่รวมกลุ่มความคิดและความรู้สึกเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นนิสัย หรือสิ่งที่ทำโดยอัตโนมัติ ทัศนคติจะถูกสร้างขึ้น และเนื่องจากการที่ความคิด และความรู้สึกทำให้เกิดสภาวะการเป็นอยู่ ตัวอย่างเช่น หากมีความคิดดี ๆ ที่สอดคล้องกับความรู้สึกดี ๆ อาจจะพูดว่า วันนี้มีทัศนคติที่ดี และหากมีความคิดเชิงลบ ที่เชื่อมต่อกับความรู้สึกเชิงลบ อาจจะพูดว่า วันนี้มีทัศนคติที่ไม่ดี ถ้าเกิดทัศนคติเดิมหลาย ๆ ครั้ง มันก็จะกลายไปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หากเกิดทัศนะคติบางอย่างซ้ำ ๆ หรือมีทัศนคตินั้นเป็นเวลานานพอ และรวมทัศนคติเหล่านั้นเข้าด้วยกัน นั่นคือวิธีที่สร้างความเชื่อขึ้นมา

ความเชื่อเป็นสภาวะการเป็นอยู่ในระยะยาว ความเชื่อคือความคิดและความรู้สึกที่คิด และรู้สึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งมันฝังแน่นอยู่ในสมอง หากรวมหลายความเชื่อที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน มันจะกลายเป็นมุมมอง ดังนั้นมุมมองต่อความเป็นจริงจึงเป็นสภาวะการเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อ ทัศนคติ ความคิด และความรู้สึกที่มีมานาน เนื่องจากความเชื่อกลายเป็นสภาวะการเป็นอยู่ ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึก มุมมองหรือวิธีที่มองเห็นสิ่งต่าง ๆ กลายเป็นมุมมองความเป็นจริงที่เกิดจากอดีต ที่ฝังอยู่ภายในจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึก

ดังนั้นวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนความเชื่อและมุมมอง เพื่อสร้างการตอบสนองพลาซีโบก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาวะการเป็นอยู่จะต้องมองให้เห็นว่า ความเชื่อเก่าที่จำกัดนั้นเป็นเพียงบันทึกของอดีต และเต็มใจที่จะปล่อยความเชื่อเหล่านั้นไป เพื่อให้สามารถโอบรับความเชื่อใหม่เกี่ยวกับตัวเอง ที่จะช่วยให้สร้างสรรค์อนาคตใหม่ได้ เวลาที่เปลี่ยนแปลงความเชื่อหนึ่ง จะต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับว่ามันเป็นไปได้ก่อน แล้วจึงเปลี่ยนระดับพลังงานด้วยอารมณ์ที่ยกระดับ และหลังจากนั้นจึงปล่อยให้ร่างกายจัดระเบียบตัวเองใหม่ ไม่จำเป็นต้องคิดว่าการจัดระเบียบทางชีววิทยานั้นจะเกิดขึ้นอย่างไร หรือจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะนั่นคือการทำงานของจิตคิดวิเคราะห์ ที่จะดึงกลับสู่สภาวะคลื่นสมองเบต้า และทำให้คล้อยตามน้อยลง แต่เพียงต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด และเมื่อระดับพลังงานของการตัดสินใจนั้นสูงกว่าโปรแกรมที่ฝังลึกอยู่ในสมอง และการเสพติดทางอารมณ์ในร่างกายก็จะอยู่เหนืออดีต ร่างกายจะตอบสนองต่อจิตใจใหม่ และจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้

การเปลี่ยนแปลงพลังงาน หากต้องการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ และสร้างปรากฏการณ์พลาซีโบขึ้น เพื่อพัฒนาสุขภาพและชีวิต จะต้องทำสิ่งที่ตรงกันข้าม การยึดมั่นในเจตนาที่ชัดแจ้ง และการยกระดับพลังงานทางอารมณ์ จะต้องสร้างประสบการณ์ภายในใหม่ในจิตใจและร่างกาย ให้อยู่เหนือประสบการณ์ภายนอกในอดีต หรือกล่าวได้ว่าเมื่อตัดสินใจที่จะสร้างความเชื่อใหม่ พลังงานหรือความมุ่งมั่นของการตัดสินใจนั้น จะต้องสูงกว่าโปรแกรมที่ฝังลึก และเงื่อนไขของอารมณ์ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกาย

หากทำกระบวนการนี้ได้อย่างถูกต้อง มันจะจัดรูปแบบสมองใหม่ และเปลี่ยนแปลงระบบชีวภาพ ประสบการณ์ใหม่จะจัดโปรแกรมเก่า ซึ่งจะกำจัดร่องรอยทางประสาทของประสบการณ์ในอดีตนั้นออกไป และเมื่อพวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พลังงานของการตัดสินใจนั้นจะสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในสมองและร่างกาย ทำให้พวกเขามีภูมิคุ้มกันต่อสภาวะภายนอก ในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลาหนึ่ง พลังงานของพวกเขากำลังปกป้องพวกเขาในแบบที่ทำให้พวกเขาอยู่เหนือชีววิทยาของตัวเองในชั่วขณะนั้น

บทที่ 8 จิตควอนตัม

คนเราเคยชินกับการคิดว่าความเป็นจริงเป็นสิ่งที่คงที่และแน่นอน วิธีที่ถูกสอนกันมานั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง และหากจะเรียนรู้วิธีการที่จะเป็นพลาซีโบของตัวเอง โดยการทำให้จิตใจมีผลต่อสสารจำเป็น ที่จะต้องมีความเข้าใจในธรรมชาติของความเป็นจริงที่แท้จริง ความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจ สสาร และความเป็นจริงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรเสียก่อน หากไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเพราะเหตุใด จะไม่สามารถทำให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นตามที่ตั้งใจไว้ได้

แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นจริงนั้นมาจากที่ใด และพาเรามาถึงจุดใด ผลงานของ เรอเน เดสการ์ด (Rene Descartes) และเซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) ทำให้ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา การศึกษาเกี่ยวกับจักรวาลแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ สสารและจิตใจ การศึกษาเกี่ยวกับสสาร (โลกวัตถุ) ถูกจัดให้อยู่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว กฎของจักรวาลที่ควบคุมโลกแห่งวัตถุภายนอกนั้น สามารถคำนวณและทำนายได้ แต่โลกภายในแห่งจิตใจนั้นถือว่าไม่สามารถคาดเดาได้ และมีความซับซ้อนเกินไป

ในควอนตัมฟิสิกส์ สสารถูกนิยามว่าเป็นอนุภาค ของแข็ง และสนามพลังข้อมูลอวัตถุถูกนิยามว่าเป็นคลื่น เมื่อศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพของอะตอมอย่างเช่นมวลน้ำหนัก อะตอมจะดูเหมือนสสารทางกายภาพ ยิ่งอะตอมสั่นด้วยความถี่ที่ช้าลง มันก็จะยิ่งใช้เวลาในความเป็นจริงทางกายภาพมากขึ้น และยิ่งปรากฏในสถานะอนุภาคที่สามารถมองเห็นสสารของแข็งมากขึ้น สาเหตุที่มองเห็นสสารทางกายภาพเป็นของแข็ง แม้ว่าแท้จริงแล้วมันจะมีแต่พลังงานก็คือ อะตอมเหล่านั้นกำลังสั่นในความเร็วที่เท่ากับเรา

สนามพลังแห่งจิตที่มองไม่เห็นนี้คือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการทำงานทั้งหมดของเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ และระบบต่าง ๆ ของร่างกาย แล้วสารเคมีและโมเลกุลของเซลล์ มีการทำปฏิกิริยาที่แม่นยำรอบ ๆ ของเซลล์ มีพลังงานมีสนามพลังงานอยู่ จึงเป็นผลรวมของพลังงานจากอะตอม โมเลกุล และสารเคมี ที่ทำงานร่วมกันอย่างสมดุล และทำให้เกิดสสารขึ้นมาเป็นสนามข้อมูลที่สำคัญสำหรับสสาร ตามหลักการความเป็นจริงของทฤษฎีควอนตัมสามารถกล่าวได้ว่า โรคทุกโรคคือการลดต่ำลงของคลื่นความถี่ ในกรณีของฮอร์โมนความเครียด เวลาที่ระบบประสาทอยู่ภายใต้การควบคุมของภาวะสู้หรือหนี สารเคมีแห่งการเอาตัวรอดจะทำให้มีความเป็นสสารมากขึ้น และเป็นพลังงานน้อยลง ระบบประสาทอัตโนมัติที่มีการจัดระเบียบตัวเองคือ จุดที่เชื่อมต่อกับสติปัญญาแรกเริ่มที่ทำงานปฏิบัติการอัตโนมัติเหล่านั้น ให้คอร์เทกซ์ใหม่ที่ทำหน้าที่ในการคิด ไม่ใช่สิ่งที่รับผิดชอบต่อปฏิบัติการเหล่านั้นอย่างแน่นอน แต่เป็นสมองส่วนล่างที่อยู่ใต้คอร์เทกซ์ใหม่ ที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ อยู่ภายใต้จิตสำนึก เมื่อกลายเป็นจิตบริสุทธิ์ และไม่ใช่ร่างกายที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม หรือในห้วงเวลาที่เป็นเส้นตรงอีกต่อไป แต่อยู่ในสภาวะที่ไร้กาย ไร้ตัวตน ไร้สิ่งของ และไม่อยู่ในสถานที่และเวลาใด ๆ นั้น ก็คือช่วงที่เป็นเพียงสติรับรู้ในสนามแห่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด อยู่ที่ที่ไม่รู้จัก และจากที่ที่ไม่รู้จักนี้ คือที่ที่ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมา อยู่ในสนามควอนตัม และต่างก็มีกลไกทางชีวภาพที่จำเป็นต่อการเข้าถึงสติปัญญารับรู้อันบริสุทธิ์นี้อยู่แล้ว

บทที่ 9 เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ในบทนี้ จะได้พบกับกลุ่มคนที่ได้ใส่พลังงานแห่งจิตของตัวเองไปในโลกแห่งอวัตถุ ที่อยู่เหนือประสาทสัมผัส และโอบรับความเป็นไปได้ซ้ำ ๆ จนมันปรากฏขึ้นในชีวิต

เรื่องราวของลอรี่ ตอนที่เธออายุ 19 ปี ลอรี่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกเสื่อมหายาก ที่เรียกว่าโพลีออสโตติกไฟบรัสดิสเพลเซีย (polyostotic fibrous dysplasia) ในผู้ที่เป็นโรคนี้ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อเส้นใยที่ไม่แข็งแรงขึ้นแทนกระดูกปกติ และโปรตีนที่ทำหน้าที่รองรับโครงกระดูกจะบางและผิดปกติ กระบวนการเจริญเติบโตที่ผิดปกติจากอาการของโรคนี้ จะทำให้กระดูกบวม อ่อนแอ และแตกหักในที่สุด โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของโครงกระดูก และในกรณีของลอรี่เกิดขึ้นที่บริเวณกระดูกต้นขาขวา สะโพกขวา หน้าแข้งขวา และกระดูกอื่น ๆ บริเวณเท้าขวาของเธอ ซึ่งแพทย์ได้บอกกับเธอว่าโรคของเธอนั้นไม่มีวิธีรักษา

โรคโพลีออสโตติกไฟบรัสดิสเพลเซีย  เป็นภาวะทางพันธุกรรม ที่ปกติแล้วไม่ปรากฏจนกว่าจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น มุมมองของลอรี่ถึงขีดจำกัดของตัวเอง ทั้งที่เป็นจริงและในจินตนาการของเธอเริ่มครอบงำชีวิตของเธอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระดูกแตกหักเพิ่ม เธอจึงปฏิบัติตามคำสั่งของศัลยแพทย์ และใช้ไม้เท้าตลอดเวลา เธอต้องลาออกจากการฝึกงานด้านการตลาดที่พึ่งได้ทำกับบริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ในแมนฮัตตัน และตารางชีวิตของเธอก็เริ่มเต็มไปด้วยการนัดพบแพทย์ พ่อของเธอยืนกรานให้ลูกสาวพบผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนแม่ก็ต้องขับรถพาลอรี่ไปหาแพทย์คนแล้วคนเล่า ในช่วงหลายสัปดาห์ต่อจากนั้น ในแต่ละครั้งที่เธอพบแพทย์คนใหม่ ลอรี่จะเฝ้ารอฟังความคิดเห็นทางการแพทย์อย่างอดทน เพียงเพื่อที่จะได้รับข่าวร้ายแบบเดิม ภายในไม่กี่เดือนต่อมาเธอได้พบกับศัลยแพทย์ถึง 10 คน

เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 20 ตอนปลาย ลอรีใช้ไม้เท้าตลอดเวลา กระดูกของเธอเปราะบางมากเสียจนรอยแตกขนาดใหญ่เหล่านั้น ปรากฏให้เห็นเป็นร่องลึกมากขึ้น จนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนบนฟิล์มเอกซเรย์ เมื่ออายุ 30 ปี ลอรี่มีปัญหาเรื่องหลังมากกว่าพ่อวัย 72 ปีของเธอ และดูแก่กว่าวัยมาก เธอต้องนอนพักบนเตียงหลายวัน และขาดงานหลายสัปดาห์จนต้องออกจากงาน

กระทั่งลอรี่และผู้เขียนได้พบกันในปี ค.ศ 2009 หลังจากที่เธอได้ดูภาพยนตร์เรื่อง What the bleep Do We Know? และรู้สึกตราตรึงกับแนวคิดที่ว่า คนเราสามารถสร้างชีวิตใหม่ที่แตกต่างออกไปได้อย่างสิ้นเชิง ตอนที่ลอรี่มาร่วมสัมมนาครั้งแรก เธอได้ฟังว่ามันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะเปลี่ยนแปลงสมอง ความคิด ร่างกาย สภาพอารมณ์ และการแสดงออกของยีน ลอรี่นำหลักการที่สอนไปใช้เท่าที่จะทำได้ในทันที แม้ว่าไม่สามารถเลือกที่จะรู้สึกแตกต่างออกไปได้ โดยที่ยังคงเดินกะเผลกเข้าสัมมนา บางครั้งก็อารมณ์ไม่ดี บางครั้งก็อารมณ์ดี แต่เธอก็ยังคงพยายามต่อไป

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2012 ในระหว่างสัมมนาครั้งหนึ่ง ลอรี่มีประสบการณ์เข้าสมาธิระดับลึก เธอรู้สึกสะเทือนไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดในร่างกาย คล้ายมีคลื่นรบกวนตามด้วยการปลดปล่อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกถึงการมีอยู่ของตัวตนศักดิ์สิทธิ์ และรู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป พลังงานทั้งหมดที่เธอใช้ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย และชีวิตของเธอโดยรวมก็เริ่มผ่อนคลาย และพลังงานที่เธอเคยใช้ในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเป็นอิสระ

ลอรี่เดินโดยไม่ใช้ไม้เท้า และไม่มีอาการกะเผลกใด ๆ เธอดูมีความสุข ยิ้มและหัวเราะกับตัวเอง แทนที่จะหงุดหงิด หน้ามุ่ย และอยู่ในความเจ็บปวด เธอเริ่มเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก เมื่อเธอเป็นอิสระจากการเสพติดอารมณ์ทางลบ ขณะที่เธอก้าวไปสู่อนาคตใหม่ ร่างกายของเธอในตอนนี้จึงอยู่ในอดีตน้อยลง

ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ 2012 แพทย์กระดูกของลอรี่บอกกับเธอ ในระหว่างการตรวจประจำว่า สองส่วนสามของรอยแตกบริเวณกระดูกโคนขาที่เธอมีมาตั้งแต่อายุ 19 ปี (รอยแตกที่ปรากฏชัดเจนบนฟิล์มเอกซเรย์) นั้นหายไปแล้ว เขาไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้

ลอรี่ส่งสัญญาณไปยังยีนใหม่ ในลักษณะใหม่ ในช่วงระหว่างการทำสมาธิในแต่ละวัน โดยเพียงการเปลี่ยนแปลงสภาวะการเป็นอยู่ของเธอ ยีนเหล่านั้นกำลังสร้างโปรตีนชนิดใหม่ ที่ช่วยรักษาโปรตีนที่มีส่วนทำให้กระดูกแตกจากโรคของเธอ จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ในสัมมนาเธอ ได้ให้เหตุผลว่าเซลล์กระดูกของเธอจะต้องได้รับสัญญาณที่ถูกต้องจากจิตใจ เพื่อปิดการทำงานของยีนโพลีออสโตติกไฟบรัสดิสเพลเซีย  และเปิดการทำงานของยีนที่ผลิตเซลล์กระดูก และเธอยังเข้าสัมมนาต่อไป เธอยังคงมีอาการปวดในบางครั้ง แต่ความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาลดลงอย่างมาก คือเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเท่าที่เธอจะทำได้

ในช่วงปลายเดือนมกราคมปี ค.ศ 2013 เมื่อเธอไปพบแพทย์กระดูกอีกครั้ง เขาบอกกับเธอเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีว่าไม่พบรอยแตกในกระดูกอีกแล้ว กระดูกของเธอสมบูรณ์ และไม่มีความเสียหายแต่อย่างใด 1 เดือนหลังจากที่เธอพบกับแพทย์กระดูก ผลทดสอบเลือดและปัสสาวะของเธอออกมาแล้ว ซึ่งมันบ่งชี้ว่าโรคของเธอยังอยู่ แพทย์ของเธอแนะนำให้กลับมาบำบัดด้วยการฉีดยาบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate)  ผ่านทางเส้นเลือดอีกครั้งในรอบหลายปี

เอกซเรย์ทำให้เธอหลงดีใจว่าเธอหายดีแล้ว แต่ผลจากห้องทดลองกลับออกมาในทางตรงกันข้าม เมื่อเธอได้บอกข่าวนี้กับผู้เขียน เขาบอกกับเธอว่าร่างกายของเธอยังอยู่ในอดีต และยังต้องการเวลาเพื่อไล่ตามให้ทันจิตใจของเธอ เขาแนะนำให้เธอพยายามต่อไปอีก 2-3 เดือน และหลังจากนั้นค่อยทำการตรวจปัสสาวะอีกครั้ง ลอรี่กลับบ้านและทำการฝึกสมาธิอย่างเอาจริงเอาจัง ในสมาธิเธอรู้สึกถึงชีวิตที่เธอจะมีได้อย่างเข้มข้นและชัดแจ้งที่สุด เธอหยุดจินตนาการถึงตัวเองที่กระดูกหายดีแล้ว และจินตนาการถึงตัวเองที่มีความสมบูรณ์โดยรวมแทน ความมีชีวิตชีวา ความเปล่งประกาย ความยืดหยุ่น ความอ่อนเยาว์ การมีพลังและสุขภาพที่ดี เธอซักซ้อมในใจ และโอบรับด้วยอารมณ์ถึงการมีทุกสิ่งที่เธอต้องการ ซึ่งรวมถึงร่างกายที่ทำงานได้ดี และเดินได้อย่างคล่องแคล่ว เธอบอกกับตัวเองว่าหญิงชราที่เธอเป็นมาตั้งแต่อายุ 19-47 ปี เป็นแค่เพียงเรื่องราวในอดีต

เมื่อถึงเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ 2013 เธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการนัดหมายเพื่อทำการทดสอบในห้องทดลองอีกครั้ง เธอจึงเลื่อนนัดไปเป็นเดือนมิถุนายน หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ผลการตรวจก็ออกมา ผู้ช่วยแพทย์บอกกับลอรี่ว่า ผลการตรวจเป็นปกติดีทุกอย่าง ได้ 40 คะแนน ค่าลดลงจากค่าไม่ปกติที่สูงถึง 68 ลงมาอยู่ในระดับปกติในเวลาเพียง 5 เดือน ลอรี่ได้ก้าวข้ามแม่น้ำแห่งการเปลี่ยนแปลงมาอยู่อีกฟากของชีวิต ไม่มีร่องรอยของอดีตหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเธออีกต่อไป เธอเป็นอิสระเหมือนได้เกิดใหม่ ลอรี่ประสบความสำเร็จในภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองโดยไม่ได้ใช้ทรัพยากรจากภายนอกแต่อย่างใดเธอได้เปลี่ยนแปลงสุขภาพและภายในโดยไม่ต้องใช้ยารักษาโรคการผ่าตัดการบำบัดหรือสิ่งใดๆนอกเหนือจากจิตใจของเธอเธอได้กลายเป็นปลาซิวโบ้ของตัวเอง

บทที่ 10 ข้อมูลสู่การเปลี่ยนแปลง

หลักฐานที่พิสูจน์ว่าคุณคือพลาซีโบ

ผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถทำได้สำเร็จ พวกเธอเลือกที่จะเชื่อในตัวเองมากกว่าจะเชื่อในสิ่งอื่น พวกเธอทำการเปลี่ยนแปลงจากภายใน และเปลี่ยนไปอยู่ในสภาวะการเป็นอยู่เดียวกับที่เกิดขึ้นในผู้ที่ได้รับพลาซีโบ โดยที่ไม่ต้องใช้วัตถุใด ๆ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น นั่นคือสิ่งที่นักเรียนหลายคนทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สุขภาพของพวกเขาดีขึ้น และเมื่อพวกเขารู้ว่าพลาซีโบได้ผลจริง ๆ ยาเม็ด ยาฉีด หรือการผ่าตัด ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป โดยผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม

จากการศึกษาในสัมมนา คุณคือพลาซีโบ นักเรียนหลายคนพิสูจน์ให้เห็นว่า แทนที่จะเชื่อในสิ่งที่รู้จักพวกเขาสามารถเชื่อ ในสิ่งที่ไม่รู้จัก และทำให้สิ่งที่ไม่รู้จักนั้นกลายเป็นสิ่งที่รู้จักได้ ดังนั้นหากสามารถมีประสบการณ์รักษาหลายครั้งซ้ำ ๆ ผ่านโลกภายในแห่งความคิดและความรู้สึก ไม่นานการรักษานั้นก็จะปรากฏออกมาให้เห็นในรูปของประสบการณ์ภายนอกในที่สุด และหากทำให้ความคิดมีความสมจริงใกล้เคียงประสบการณ์ในสิ่งแวดล้อมภายนอก การเปลี่ยนแปลงก็ควรจะปรากฏขึ้นภายในร่างกายและสมองไม่ช้าก็เร็ว

หากเดินหน้าเข้าสู่สภาวะการเป็นอยู่ใหม่ทุก ๆ วัน โดยการย้ำเตือนสมองและปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับจิตใจนั้น ก็ควรจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง และการทำงานภายในร่างกาย ไม่ต่างจากการที่ได้รับพลาซีโบ เมื่อนักเรียนมีการพัฒนาทักษะของตัวเอง และผู้เขียนจะอ้างอิงถึงควอนตัมฟิสิกส์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจในความเป็นไปได้ หลังจากนั้นจะรวบรวมมันเข้ากับข้อมูลล่าสุดของประสาทวิทยา วิทยาต่อมไร้ท่อ เอพิเจเนติกส์ ชีววิทยาของเซลล์ วิทยาศาสตร์คลื่นสมอง จิตวิทยาพลังงาน และจิตประสาทภูมิคุ้มกัน ให้ได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นตาม เป็นผลมาจากการเรียนรู้ข้อมูลใหม่

เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้และโอบรับข้อมูลนี้ พวกเขาจะสามารถกำหนดความหมายให้กับการทำสมาธิ  และการฝึกพิจารณาตนเอง แต่การที่นักเรียนทำความเข้าใจข้อมูลในด้านสติปัญญา หรือด้านแนวคิดอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เพราะพวกเขาจะต้องสามารถกระทำซ้ำ ในสิ่งที่เรียนรู้ได้ตามที่ต้องการ หากนักเรียนนำความรู้ใหม่นี้ไปใช้อย่างถูกต้อง ความรู้เหล่านี้ก็จะกลายเป็นใบเบิกทางไปสู่ประสบการณ์ใหม่ เมื่อนักเรียนปรับความคิดและร่างกายของตนเอง พวกเขาจะได้รับปริญญาจากประสบการณ์ใหม่ โดยการโอบรับอารมณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ในตอนนี้นักเรียนจะเริ่มดูดซึมข้อมูลนั้น เนื่องจากพวกเขากำลังสั่งร่างกายในทางเคมี ให้เข้าใจสิ่งที่จิตใจของพวกเขาเข้าใจ ผ่านทางอารมณ์

ณ จุดนี้ นักเรียนจะเริ่มเชื่อและรู้ว่านั่นคือความเป็นจริง แต่สิ่งที่ต้องการก็คือ แทนที่จะทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียว นักเรียนจะต้องสร้างประสบการณ์นี้ซ้ำ ๆ ได้ตามที่ต้องการ จนกว่ามันจะกลายเป็นทักษะ นิสัย หรือสภาวะการเป็นอยู่ใหม่ เมื่อเข้าถึงความสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่ากำลังอยู่บนจุดเปลี่ยนของแนวทางวิทยาศาสตร์แบบใหม่ เพราะทุกสิ่งที่สามารถทำซ้ำได้ดีคือวิทยาศาสตร์ เมื่อมีความสามารถในระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะภายในของตัวเอง โดยใช้เพียงความคิดเพียงอย่างเดียว และมีการสังเกต วัดผล และบันทึกผลซ้ำ ๆ นั่นคือการที่กำลังเข้าใกล้กฎทางวิทยาศาสตร์ใหม่ และก็จะสามารถเผยแพร่ความรู้ใหม่ เกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริงนี้ ให้นำไปใช้กับหลักการวิทยาศาสตร์โดยรวม ที่โลกยอมรับในปัจจุบัน

ภาค 2 การเปลี่ยนแปลง

บทที่ 11 การเตรียมตัวก่อนทำสมาธิ

หลังจากได้อ่านและซึมซับข้อมูลทั้งหมดในภาค 1 ไปแล้ว ตอนนี้ก็พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง สิ่งที่จำเป็นต้องรู้สำหรับการเตรียมพร้อมเพื่อการทำสมาธิ การเปลี่ยนแปลงบางสิ่งในตัวเอง จะต้องเริ่มด้วยการเดินทางเข้าสู่โลกภายใน และเปลี่ยนแปลงสภาวะการเป็นอยู่ของตัวเอง ดังนั้น ขอให้คิดว่าการฝึกสมาธิเป็นวิธีที่จะได้รับพลาซีโบทุกวัน แต่แทนที่จะใช้ยาเม็ด เป็นจะเข้าสู่ภายในของตัวเองแทน และเมื่อเวลาผ่านไป การทำสมาธิจะกลายเป็นเหมือนกับความเชื่อที่มีต่อการใช้ยา

เวลาสำหรับการทำสมาธิ

เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำสมาธิมีอยู่ 2 ช่วงต่อวันได้แก่ ก่อนที่จะเข้านอนในตอนกลางคืน และทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้า นั้นเป็นเพราะว่าเวลาที่นอนหลับ  สมองจะมีการเคลื่อนผ่านทุกช่วงของสภาวะคลื่นสมอง จากเวลาที่ตื่นคลื่น สมองจะอยู่ในสภาวะเบต้า และเข้าสู่สภาวะอัลฟาที่ช้าลงเวลาที่หลับตา ไปสู่สภาวะช้ากว่าเดิมในธีตา เมื่อกึ่งหลับกึ่งตื่นและไปจนถึงสภาวะเดลตา เมื่อหลับลึกและเวลาที่ตื่นนอนในตอนเช้า ก็จะทำสิ่งเดียวกันในทางตรงกันข้าม ซึ่งก็คือเปลี่ยนจากสภาวะเดลตา ไปเป็นธีตา ไปเป็นอัลฟ่า และไปเป็นเบต้าเมื่อตื่นและรู้สึกตัวเต็มที่

ดังนั้น หากทำสมาธิตอนที่กำลังเตรียมตัวเข้านอน หรือเพิ่งจะตื่นนอนมันจะง่ายกว่าที่จะเข้าสู่คลื่นสมองอัลฟาหรือธีตา มีความพร้อมที่จะเข้าสู่สภาวะผันแปร เพราะมันคือทิศทางที่เพิ่งจะออกมา หรือกำลังจะเข้าไป อาจกล่าวได้ว่า ประตูสู่จิตใต้สำนึกจะเปิดออกในระหว่าง 2 ช่วงเวลานี้

สถานที่สำหรับการทำสมาธิ

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จำเป็นต้องพิจารณาในการเลือกสถานที่ทำสมาธิก็คือ สถานที่ที่จะไม่ถูกรบกวน เพราะจะต้องตัดขาดจากโลกกายภาพภายนอก จงเลือกสถานที่เงียบสงบที่สามารถอยู่คนเดียวได้โดยที่ไม่มีอะไรมารบกวน ไม่ว่าจะโดยคนหรือสัตว์เลี้ยง สถานที่ที่สามารถกลับไปได้ทุกวัน และใช้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการทำสมาธิเป็นประจำ ไม่แนะนำให้ทำสมาธิบนเตียง เพราะมีความเชื่อมโยงเตียงกับการนอนหลับ เลือกเก้าอี้หรือจัดพื้นที่บนพื้นที่จะสามารถนั่งได้เป็นชั่วโมง ในจุดที่ไม่มีลมพัดและในห้องที่มีอุณหภูมิที่เย็นสบาย

หากชอบที่จะทำสมาธิกับเสียงเพลง ควรเลือกเพลงที่มีเสียงนิ่มนวล ผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกเคลิ้ม และไม่มีเนื้อร้อง การมีเสียงเพลงเบา ๆ สามารถช่วยเก็บเสียงรบกวนภายนอกได้ดี หากไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบจริง ๆ และที่สำคัญอย่าเปิดเพลงที่ทำให้นึกถึงความจำเชิงสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในอดีต หรือเพลงที่รบกวนสมาธิใด ๆ สวมเสื้อผ้าที่หลวมสบาย และถอดนาฬิกาหรือเครื่องประดับที่อาจสร้างการรบกวนออกไป หากสวมแว่นตาก็ขอให้ถอดออกด้วย ดื่มน้ำเล็กน้อยก่อนนั่ง และวางน้ำดื่มไว้ใกล้ ๆ แก้วหนึ่ง ในกรณีที่อาจต้องการน้ำดื่ม ควรเข้าห้องน้ำก่อนเริ่มทำสมาธิ และพยายามจัดการเรื่องอื่น ๆ ให้เสร็จเพื่อที่จะได้ไม่ถูกรบกวนขณะทำสมาธิ

เมื่อเริ่มต้นสมาธิ ขอให้หลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ จะเปลี่ยนจากสภาวะคลื่นสมองเบต้าลงไปสู่สภาวะอัลฟา ซึ่งเป็นสภาวะที่ผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังคงมีสมาธิ สภาวะนี้จะกระตุ้นสมองส่วนหน้า เป็นการลดการทำงานของวงจรประสาทในสมอง ที่ทำหน้าที่ประมวลเวลาและสถานที่ ด้วยการฝึกฝน จะสามารถชะลอคลื่นสมองลงไปอีก ธีตาคือสภาวะคลื่นสมองที่ร่างกายหลับขณะที่จิตใจตื่น และนี่ก็คือสภาวะที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโปรแกรมอัตโนมัติในร่างกายได้

ระยะเวลาในการทำสมาธิ

ระยะเวลาโดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ควรทำจิตใจให้นิ่งก่อน หากจำเป็นต้องหยุดการทำสมาธิในเวลาที่กำหนด ควรตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ 10 นาทีก่อนถึงเวลาที่จะต้องจบการทำสมาธิ อย่าให้เวลาเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจ จำไว้ว่าขณะที่กำลังออกห่างจากประสาทสัมผัส กำลังออกห่างจากการรับรู้ถึงเวลาด้วย

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

อุปสรรคที่ผู้เริ่มต้นฝึกสมาธิมักจะพบเจอ เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิต ร่างกายที่ทำหน้าที่เป็นจิตใจ จะส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อทำการควบคุมอีกครั้ง ภายในพริบตาเดียวอาจเริ่มได้ยินเสียงด้านลบในหัว สิ่งเหล่านี้ก็คือการที่ร่างกายกำลังพยายามกลับเข้ามาเป็นจิตใจอีกครั้ง อาจจะเคยปรับสภาพร่างกายให้ไม่มีความอดทน หงุดหงิดง่าย ไม่มีความสุข รู้สึกตกเป็นเหยื่อ มองโลกในแง่ร้าย หรืออื่น ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และพฤติกรรมเหล่านี้ก็คือ สิ่งที่ถูกฝังอยู่ในร่างกายและจิตใต้สำนึก เมื่อใดที่ตอบสนองต่อสิ่งนั้นราวกับว่ามันเป็นความจริง จิตสำนึกจะจมกลับลงไปในโปรแกรมอัตโนมัติ และก็จะกลับไปมีความคิดเดิม ทำในสิ่งเดิม และใช้ชีวิตด้วยอารมณ์เดิม แต่ก็อย่าคาดหวังว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ดังนั้นเมื่อเริ่มสังเกตว่าจิตใจกำลังต้องการกลับไปในทิศทางนั้น จะต้องดึงสายบังเหียนสงบร่างกาย และนำมันกลับมายังปัจจุบันขณะ และหากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัว กระวนกระวาย วิตกกังวล หรืออื่น ๆ ขอให้จำไว้ว่า อารมณ์ใดก็ตามที่กำลังมีอยู่นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอดีตเท่านั้น

การที่ความสนใจทั้งหมดอยู่กับโลกภายนอก ซึ่งในสภาวะจิตนี้ดูเป็นจริงสำหรับเรามากกว่าโลกภายใน สมองก็จะอยู่ในสภาวะคลื่นสมองเบต้าช่วงสูงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสภาวะที่มีความผันผวน ไม่มั่นคง และแปรปรวนที่สุดในรูปแบบคลื่นสมองทั้งหมด และจากการที่อยู่ในสภาวะที่มีความตื่นตัวสูง จึงไม่อยู่ในสภาวะที่จะมีการสร้างฝันกลางวัน แก้ปัญหา เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือรักษาได้ และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่สภาวะที่จะนำไปสู่สมาธิ นอกจากการที่สมองส่วนต่าง ๆ สื่อสารกันได้ไม่ดีแล้ว สมองยังไม่สามารถสื่อสารกับส่วนอื่นของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระเบียบอีกด้วย สภาวะที่ไม่สมดุลนี้ทำให้หลุดจากภาวะธำรงดุล (homeostasis) และแน่นอนว่าสภาวะนี้จะนำไปสู่โรค

เทคนิคการทำสมาธิแบบเปิดการรับรู้ จะหลับตาลงทำความสนใจออกจากโลกภายนอก และกับดักภายนอก แล้วเปิดการรับรู้ให้ไปอยู่กับปริภูมิรอบตัว (ไปที่คลื่นแทนอนุภาค)

การค้นหาปัจจุบันขณะ

หลังจากที่ทำสมาธิแบบเปิดการรับรู้แล้ว วิธีการทำสมาธิต่อไปที่จะทำนั้น จะฝึกฝนให้ค้นหาปัจจุบันขณะ การอยู่กับปัจจุบันทำให้สามารถเข้าถึงความเป็นไปได้ในระดับควอนตัมที่ไม่เคยเข้าถึงได้มาก่อน ในสนามควอนตัม อนุภาคย่อยของอะตอมนั้นดำรงอยู่ในความเป็นไปได้มากมายไม่จำกัด และการที่สิ่งนั้นจะเป็นจริง จักรวาลควอนตัมจึงไม่สามารถมีเส้นทางการเวลาเพียงเส้นทางเดียว มันจะต้องมีเส้นทางกาลเวลาที่ไม่จำกัด และมีความเป็นไปได้ทั้งหมดนี้อยู่ซ้อนกัน ที่จริงแล้ว ประสบการณ์ทั้งหมดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของทุกสิ่ง ตั้งแต่จุลินทรีย์ที่เล็กที่สุด ไปจนถึงวัฒนธรรมที่เจริญก้าวหน้าที่สุดในจักรวาล ดำรงอยู่ภายในสนามพลังแห่งข้อมูลที่ไม่จำกัดนี้ที่เรียกว่าสนามควอนตัม

เวลาที่เริ่มต้นการฝึกสมาธิ หากเพียงใส่การทำสมาธิเข้าไปเป็นอีกเหตุการณ์ในกิจวัตร มันก็อาจกลายเป็นเพียงอีกรายการที่ต้องทำ และหากมองมันแบบนั้นจะไม่สามารถค้นหาปัจจุบันขณะเจอ การที่จะทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ ซึ่งคือการรักษาและการสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว จะต้องอยู่ในปัจจุบันอย่างสมบูรณ์ และไม่คิดถึงเหตุการณ์ที่สามารถคาดเดาได้ต่อไปบนเส้นเวลา

การที่จะเข้าถึงศักยภาพไร้ขีดจำกัดที่กำลังรออยู่ในสนามควอนตัม จะต้องลืมสิ่งที่รู้จัก (ร่างกาย ใบหน้า เพศ สัญชาติ อาชีพ และแม้แต่แนวคิดของสิ่งที่ต้องทำในวันนี้) เพื่อให้สามารถคงอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก ที่ไม่มีร่างกาย ไม่มีตัวตน ว่างเปล่า และไม่อยู่ในสถานที่และเวลาใด จะกลายเป็นจิตบริสุทธิ์

บทที่ 12 การทำสมาธิ

เพื่อเปลี่ยนแปลงความเชื่อและมุมมอง

ความเชื่อและมุมมองเป็นสภาวะการเป็นอยู่ภายในจิตใต้สำนึก มันก่อเกิดมาจากความคิดและความรู้สึกที่มีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในที่สุด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดทัศนคติ ทัศนคติหลอมรวมกันจนกลายเป็นห่วงเชื่อ และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกันจะร้อยรวมกันกลายเป็นมุมมอง เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เกิดซ้ำ ๆ นี้จะสร้างให้เกิดมุมมองต่อโลก และต่อตัวเองอยู่ภายในจิตใต้สำนึกที่มักจะไม่รู้ตัว และมันก็มีผลต่อความสัมพันธ์ กิจกรรม และทุกสิ่งในชีวิต

ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงความเชื่อหรือมุมมอง จะต้องเปลี่ยนแปลงสภาวะการเป็นอยู่เสียก่อน และการเปลี่ยนแปลงสภาวะการเป็นอยู่นั้นหมายถึง การเปลี่ยนแปลงพลังงาน เพราะการที่จะสามารถมีอิทธิพลต่อสสารได้นั้น จะต้องมีความเป็นพลังงานมากขึ้น และมีความเป็นสสารน้อยลง มีความเป็นคลื่นมากขึ้น และมีความเป็นอนุภาคน้อยลง โดยที่จะต้องใช้เจตนาที่ชัดเจนร่วมกับอารมณ์ที่ยกระดับ

การจะทำให้สิ่งนี้ได้ผล ประสบการณ์ใหม่จะต้องเหนือกว่าประสบการณ์ในอดีต หรือกล่าวได้ว่าประสบการณ์ภายในที่มีระหว่างที่ทำสมาธิ จะต้องมีระดับสูงกว่าหรือมีพลังงานมากกว่าประสบการณ์ในอดีต ภายนอกที่สร้างความเชื่อและมุมมองที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงนั้น ร่างกายจะต้องตอบสนองต่อจิตใจใหม่ จึงต้องทุ่มเทใส่ทั้งใจเข้าไปในอารมณ์ที่ยกระดับนั้น ต้องรู้สึกขนลุกจริง ๆ ต้องรู้สึกเบิกบาน รู้สึกมีแรงบันดาลใจ รู้สึกไร้เทียมทาน และรู้สึกมีพลัง การทำสมาธินี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่

ส่วนที่ 1 คือ การชี้นำ ซึ่งเป็นส่วนที่จะใช้เทคนิคการนำสมาธิแบบเปิดการรับรู้ เพื่อเข้าสู่สภาวะคลื่นสมองอัลฟา หรือธีตา

ส่วนที่ 2 จะค้นหาปัจจุบันขณะ และคงอยู่ในสนามควอนตัมที่มีความเป็นไปได้ทั้งหมดอยู่

และในส่วนที่ 3 จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อและมุมมอง

หากเป็นผู้มีประสบการณ์ในการทำสมาธิอยู่แล้ว สามารถทำสมาธิทั้งหมดจนจบได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่หากไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ควรจะเริ่มด้วยการฝึกฝนส่วนแรกทุกวันในสัปดาห์แรก และเพิ่มส่วนที่ 2 ในสัปดาห์ที่ 2 แล้วจึงทำทั้ง 3 ส่วนในสัปดาห์ที่ 3 ไม่ว่าจะทำแบบใด ขอให้ทำสมาธิทุกวันจนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิต

บทส่งท้ายเล่ม

เข้าถึงความเหนือธรรมชาติ

การตอบสนองพลาซีโบคือ การรักษาด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามความคิดเพียงอย่างเดียวนั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ในนั้น เมื่อโอบรับความคิดด้วยอารมณ์ มันจึงเริ่มที่จะกลายเป็นจริงได้ ความคิดที่ปราศจากสัญลักษณ์ของอารมณ์ จะไม่เปลี่ยนไปเป็นประสบการณ์ มันจึงหลับไหลต่อไปภายในดินแดนที่ไม่รู้จัก และรอคอยให้ทำความรู้จักมัน เวลาที่สร้างความคิดให้กลายเป็นประสบการณ์ และกลายเป็นปัญญาในที่สุด นั่นก็คือการที่กำลังวิวัฒนาการในฐานะมนุษย์

ชีวิตคือการฝึกฝนสู่ความยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองด้วยระดับของจิตที่แผ่ขยายกว้างขึ้น นั่นคือวิธีที่นักปฏิบัติมองชีวิต การละทิ้งวิธีการที่คุ้นเคยในการคิดเกี่ยวกับชีวิต เพื่อที่จะโอบรับกระบวนทัศน์ใหม่ จะทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติในตอนแรก หรือกล่าวได้ว่ามันต้องใช้ความพยายามนั่นเอง และก็น่าอึดอัด แล้วจะเข้าถึงความเหนือธรรมชาติได้ก็ต้องเริ่มจากการทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ นั่นก็คือ การให้ในยามวิกฤต ในเวลาที่ทุกคนรู้สึกขาดแคลนและยากจน การรักในเวลาที่ทุกคนโกรธแค้น และตัดสินผู้อื่น การแสดงความกล้าหาญและความสงบในเวลาที่ทุกคนตกอยู่ในความหวาดกลัว การรู้จักยิ้มในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และการสร้างความรู้สึกเติมเต็มในเวลาที่ถูกวินิจฉัยว่าป่วย มันดูเป็นเรื่องผิดธรรมชาติที่จะเลือกทางเลือกเหล่านี้ ในสถานการณ์เหล่านั้น แต่หากทำสำเร็จหลายครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปจะก้าวข้ามความปกติ และเข้าถึงความเหนือธรรมชาติเช่นกัน

ลองจินตนาการถึงโลกที่มีประชากรหลายพันล้านคนที่อยู่ร่วมกัน ทุกคนโอบรับความคิดในแง่ดีที่เชื่อมโยงกับความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด และความคิดเหล่านี้ทำให้คนเลือกทางเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น แสดงพฤติกรรมที่เห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น และสร้างประสบการณ์แห่งการรู้แจ้งมากขึ้น ผู้คนจะไม่ใช้ชีวิตอยู่ในอารมณ์เอาตัวรอดที่คุ้นเคยกัน ที่คนรู้สึกเป็นสสารมากกว่าพลังงาน และแยกจากความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดอีกต่อไป แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ผู้คนจะใช้ชีวิตในความรู้สึกที่เปิดกว้าง เสียสละ และจริงใจ ทุกคนจะรู้สึกเป็นพลังงานมากกว่าสสาร และเชื่อมต่ออยู่กับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า หากสามารถทำได้สำเร็จ โลกที่แตกต่างจากตอนนี้ จะถือกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอน.