สั่งซื้อหนังสือ “แด่เธอคนสำคัญ” (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ แด่เธอคนสำคัญ

เธอไม่มีคุณค่า เธอไม่เก่ง ต้องพยายามมากกว่านี้ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สังคมปัจจุบันพยายามบอก และเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทว่าโตแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ และดูเหมือนว่าจะไม่มีวันดีพอสำหรับทุกคนเลย ซึ่งนั่นไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงเรื่องหลอกลวงเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ที่สังคมและผู้คนต่างเชื่อกัน อาจเพราะยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขัน และผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้รับสิ่งที่ต้องการ

การบอกคนอื่นว่าไม่มีคุณค่าและไม่ดีพอ ก็เหมือนการทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีคุณค่ามากกว่า อย่าไปเชื่อเรื่องพวกนั้นเลย มันเป็นเพียงคำโกหกของคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอก็แค่นั้น ชีวิตของแต่ละคนนั้นใช้การเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะทุกคนมีต้นทุนต่างกัน และเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน นายกรัฐมนตรีไม่ได้ดีกว่าแม่บ้าน เศรษฐีพันล้านไม่ได้ดีกว่าคนรับจ้างรายวัน ผู้ใหญ่ไม่ได้ดีกว่าเด็ก ต่างคนก็มีคุณค่าเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

การเปรียบเทียบในเรื่องนี้ใช้ไม่ได้ ทุกคนล้วนมีข้อดีและมีคุณค่าในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องการใช้ชีวิตหรือความรัก โปรดจำไว้ว่าทุกคนมีคุณค่า เก่ง และดีเพียงพอแล้ว แล้วจะยิ่งดีขึ้นได้ในทุกวัน เพราะเป็นคนสำคัญที่สุดของตัวเอง

Part 1

นิทานแด่เธอ

นิทานเบียร์น้อย

กาลครั้งหนึ่งมีเบียร์น้อย 1 แก้ว มันเป็นแก้วทรงน่ารัก และมีเบียร์เย็น ๆ ในนั้น เบี้ยน้อยชอบสร้างความสุขให้คนอื่น แคร์ความรู้สึกของคนอื่น และอยากให้คนชอบเขาเยอะ ๆ เบียร์น้อยจึงหัวอ่อน จึงชอบรับฟัง จึงชอบปรับตัวเพื่อคนอื่น เมื่อมีคนแนะนำเบียร์น้อยว่า ควรจะมีส่วนผสมของกาแฟ น้ำส้ม โกโก้ และเพิ่มความซ่าด้วยโซดา เบียร์น้อยรับฟังและทำตาม มันเทเบียร์ออกจากตัวเองส่วนหนึ่ง แล้วเติมกาแฟ น้ำส้ม โกโก้ และเพิ่มความซ่าด้วยโซดา เบียร์น้อยสีเปลี่ยนไป กลิ่นเปลี่ยนไป รสชาติเปลี่ยนไป คนแนะนำเห็นแล้วก็พอใจที่เบียร์น้อยทำตามเขาบอกและเดินจากไป สุดท้ายตอนที่เบียร์น้อยเทส่วนผสมออกจากตัว มันก็สงสัยว่าไอ้ส่วนผสมตรงหน้านี้เป็นอะไรกันแน่ ทำไมมันดูแปลกไม่เคยเห็น กลิ่นไม่คุ้น รสก็ไม่คุ้น ทั้ง ๆ ที่มันเป็นส่วนผสมที่อยู่ในตัวเบียร์น้อยเองแท้ ๆ แต่เบียร์น้อยก็นึกถึงสิ่งที่ทุกคนแนะนำ ทุกคนหวังดี ทุกคนบอกว่ามันจะดี ทุกคนบอกว่าคนจะชอบเบียร์น้อย ตอนนี้ในแก้วของเบียร์น้อยมีเบียร์ที่เหลือน้อย มีกาแฟ มีน้ำส้ม มีโกโก้ และมีโซดา ตอนนี้สีของเบียร์น้อยเปลี่ยนไป จนอธิบายสีตัวเองไม่ถูก กลิ่นของเบียร์น้อยก็เปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ สัมผัสของเบียร์น้อยก็เปลี่ยนไปจนไม่คุ้น วันถัดมาเบียร์น้อยพบเจอเพื่อนเก่า เพื่อนที่ชอบดื่มเบียร์

เบียร์น้อยก็ชวนเพื่อนให้ดื่มเบียร์ แต่เพื่อนก็เห็นว่าเบียร์เปลี่ยนไปแปลก ๆ เลยไม่กิน เขาจะกินเบียร์แบบเดิมมากกว่าที่จะเติมอะไรลงไปแบบนี้ แล้วบอกว่านี่ไม่ใช่เบียร์อีกต่อไปแล้ว บางครั้งเราเทตัวเองทิ้ง แล้วพยายามรับเอาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มาไว้ในตัว เพื่อให้คนไม่เกลียด เพื่อให้คนชอบเยอะเกินไป จนตัวเราเหลือนิดเดียว แล้วที่เหลือในตัวเราเป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนเบียร์น้อย

ปรัชญาจากกระเป๋าสตางค์ที่โจรไม่เอา

“รู้สึกเหมือนไม่มีคุณค่าอะไรเลย เขาทำเหมือนเราไม่มีค่าอะไร แล้วจะให้เรารู้สึกอะไรนอกจากไร้ค่า” เพื่อนผู้เขียนพูด ผู้เขียนยื่นกระเป๋าตังค์ของตัวเองให้เพื่อนแล้วพูดว่า ถ้ายกใบนี้ให้จะเอาไหม เพื่อนทำหน้างง ผู้เขียนเริ่มเล่าว่า เคยทำกระเป๋าตังค์ใบนี้หายในยิม กระเป๋าตังค์ใบที่ว่าคือใบที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เป็นกระเป๋าหนังสานใบยาวสีน้ำตาล ที่ผู้เขียนซื้อตอนไปเที่ยวอิตาลี ซึ่งมันมีราคาเป็นหลักหมื่น ตอนนั้นในกระเป๋ามีเงินอยู่ 500 บาท

พอผ่านไป 2 ชั่วโมงก็มีคนบอกว่าเจอแล้ว ตกอยู่ในถังผ้าใช้แล้ว ก็ตามสูตรในนั้นทุกอย่างมีครบหมดยกเว้นเงิน บัตร ATM และบัตรเครดิต พอรู้ว่ากระเป๋าตังค์หายก็ทำการอายัดทันที สรุปคือเสียเงินในนั้นไป 500 เท่านั้น แต่ดีใจที่สุดที่ได้กระเป๋าตังค์คืนมา

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือ คุณค่าของกระเป๋าตังค์ไม่ได้ลดลง เพราะโจรมันไม่เห็นค่า  คุณค่าของใคร ๆ มันก็ไม่ได้ลดลงเพียงเพราะอีกคนไม่มีความสามารถพอที่จะมองเห็นได้เหมือนกัน ถ้าใครมองไม่เห็นคุณค่า ถ้าใครทำเหมือนเธอไม่มีคุณค่าอะไร ถ้าใครทิ้งเธอเหมือนกับของที่เอาไปทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว มันเป็นปัญหาของเขา มันไม่ใช่ปัญหาของเธอเลย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีหรือไม่มีคุณค่า แต่อยู่ที่ความสามารถในการมองเห็นของเขาต่างหาก เขามองไม่เห็นเอง เขาไม่มีความสามารถพอที่จะเห็น และนั่นเป็นปัญหาของเขาไม่ใช่ของเรา

นิทานเรือใบและทะเล

กาลครั้งหนึ่ง มีเรือใบน้อยลำหนึ่งที่เพิ่งถูกสร้างเสร็จใหม่ ๆ ถูกนำมาผูกไว้ที่ท่าเรือในอ่าว ทะเลทักทายพร้อมกับชักชวนให้เรือใบน้อยออกท่องทะเล แล้วทะเลก็ใช้คลื่นค่อย ๆ ซัดพาเรือใบให้ลอยออกมาจากฝั่ง และเริ่มการเดินทาง ระหว่างทางทะเลคุยเป็นเพื่อนกับเรือใบน้อยตลอด ทั้ง 2 รู้จักกันมากขึ้น เรือใบน้อยแม้จะรู้สึกกังวลบ้างแต่ก็ไม่เหงา และอุ่นใจเพราะมีทะเลคอยดูแลปลุกปลอบตลอดเวลา

เป็นธรรมดาของการเดินทางในทะเล บางครั้งมีคลื่นลมแรง บางครั้งก็แดดจ้าแทบเผาไหม้ เรือใบน้อยก็เริ่มมีชิ้นส่วนหลุดลอยไปตามน้ำ เป็นเสาบ้าง เป็นไม้ประกอบท้องเรือบ้าง ทะเลก็พยายามใช้คลื่นซัดเอาเศษไม้เท่าที่หาได้มาให้เรือใบน้อยซ่อมแซมตัวเอง เพื่อที่จะได้ลอยต่อไปในทะเลได้ ตอนแรกเรือใบน้อยก็ไม่อยากได้ สุดท้ายเรือใบน้อยยอมซ่อมแซมตัวเองด้วยชิ้นส่วนใหม่ ๆ ที่ทะเลพยายามหามาได้ มันจึงยังสามารถลอยอยู่ในทะเลได้เรื่อย ๆ

แม้จะเสียบางส่วนไปบ้าง แต่ก็ได้ส่วนใหม่ ๆ มาซ่อมแซมตลอด ทะเลเริ่มคุยกับเรือใบน้อยน้อยลง กระแสคลื่นที่ช่วยเรือใบน้อยให้ไปข้างหน้าก็มีบ้างไม่มีบ้าง บางวันก็เงียบหาย ปล่อยเรือใบน้อยลอยเท้งเต้งแบบนั้น ถ้าเรือใบน้อยไม่กลางใบให้ลมพัด ก็คงไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากอยู่กับที่ เพราะไม่มีกระแสคลื่นคอยส่งจากทะเลเหมือนแต่ก่อนแล้ว

เรือใบน้อยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันพยายามหาทางเรียกทะเล แต่ทะเลก็ตอบรับเพียงแค่คลื่นซัดมากระทบกับเรือทีสองที พอให้รู้ว่าได้ยิน แต่ไม่ได้คุยอะไรต่อ เรือใบน้อยจึงลอยอยู่กลางทะเลแบบนั้น วันหนึ่งเมื่อเห็นว่าทะเลไม่ตอบอะไรเรือใบน้อยแล้ว ความโกรธและความเหงาก็พุ่งขึ้นถึงที่สุด เรือใบน้อยตะโกนต่อว่าทะเล มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันไม่เหมือนเดิมแล้ว มันเป็นเพราะเธอ เธอต้องรับผิดชอบเรา โผล่มาตอบเรา มาคุยกับเราสิ

ทุกอย่างมีพบก็ย่อมมีจากลาเสมอ ชีวิตหลังการจากลา มันไม่ใช่การทิ้งสิ่งที่เขาทำกับเรา แล้วตามหาสิ่งที่เราเสียไประหว่างทาง แต่มันคือการปรับตัวให้อยู่ให้ได้ ปรับตัวกับสิ่งใหม่ที่เราได้มาจากเขา และปรับตัวกับสิ่งเก่า ๆ ที่เราเสียไประหว่างทาง เมื่อเขาจากไปแล้ว เขาเอาบางส่วนไปจากเราเสมอ แต่เขาก็ทิ้งบางส่วนไว้ให้เราเสมอเช่นกัน อย่าไปคิดถึงสิ่งที่เสียไป อย่าไปรอให้มันกลับมา อย่าไปทิ้งสิ่งที่ได้รับมาใหม่ เพราะตอนนี้ทุกอย่างนั้นมันคือตัวเอง

อยู่กับมันให้ได้ เวลารักษาทุกสิ่งได้ แต่ไม่ได้รักษาให้ตัวตนคนเก่ากลับมา เวลารักษาใจ ให้เลิกเสียดายสิ่งที่เสียไป และปรับตัวกับสิ่งใหม่ที่ได้มา

ปรัชญาจากการช้อปปิ้งต้นคริสต์มาส

ระหว่าง Shopping ในห้าง ผู้เขียนบอกให้แม่ยืนรอเพราะจะไปซื้อต้นคริสต์มาส แม่ดึงแขนไว้ก่อนผู้เขียนจะเดินไปแล้วถามว่า จะซื้อมันไปทำไม ผู้เขียนบอกว่า มันใกล้เทศกาลคริสต์มาสแล้ว ก็อยากแต่งห้องด้วยต้นคริสต์มาสบ้าง แม้จะไม่ใช่คนคริสต์ก็เถอะ เอาไปไว้ตรงไหนของห้อง แล้วพอหมดเทศกาลจะเอาไปเก็บที่ไหน แม่ถามต่อ ผู้เขียนหันไปมองป้ายเซลล์ต้นคริสต์มาส มองไฟประดับออนาเม้นสวย ๆ แล้วหันกลับมามองหน้าแม่ แม่ส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า ลูกยังไม่พร้อมสำหรับต้นคริสต์มาส เพราะความพร้อมที่จะมีอะไรสักอย่าง มันไม่ได้ตัดสินจากการที่มีเงินพอซื้อหรอก ความพร้อมที่จะมีอะไรสักอย่าง มันหมายถึงมีพื้นที่ให้มันอยู่ในชีวิตได้ไหมต่างหาก

มีน้องคนหนึ่งมาปรึกษาว่า จะบอกเลิกแฟนยังไงดี ตอนจีบเขา เพราะอยากจีบ เขาสวย ใคร ๆ ก็คิดว่าน้ำหน้าอย่างนี้ไม่น่าจะจีบคนสวยแบบนั้นได้ ก็เลยพยายามทุกอย่างจนได้คบกัน แต่เพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าไม่ได้อยากมีแฟน ยังอย่าใช้เวลาส่วนตัวเยอะ ๆ ยังอยากใช้เวลากับเพื่อนเยอะ ๆ ยังไม่อยากโดนปลุกด้วยข้อความทุกเช้า ไม่ชอบการต้องโทรหาแฟนวันละครั้ง จำวันคบกันไม่ได้ จำวันเกิดแฟนไม่ได้ และรู้สึกว่าการเจอกันสัปดาห์ละครั้งมันเยอะเกินไป

สรุปว่ายังไม่พร้อมสำหรับการมีแฟน น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่มีใครเตือนเขาว่า ความพร้อมที่จะมีแฟนมันไม่ใช่ความสามารถในการจีบใครสักคน แต่มันคือการที่สามารถจัดการพื้นที่ชีวิต เพื่อให้มีอีกคนเข้ามาใช้ร่วมกันได้ ไม่อย่างนั้นมันก็คงเหมือนต้นคริสต์มาส ที่ผู้เขียนมีเงินพร้อมจะซื้อมาประดับห้อง แต่ไม่รู้จะวางตรงไหน และไม่รู้จะเก็บตรงไหน สุดท้ายมันก็รกพื้นที่ชีวิต แล้วก็คงต้องยอมตัดใจทิ้งไป

ในวันที่เศร้าไม่มีใครห้ามเรายิ้ม

“หนูเข้าใจนะว่าเราเลิกกัน แบบเข้าใจกัน แบบตกลงกันแล้ว แต่มันก็ต้องเศร้าบ้างไม่ใช่หรือ แต่เลิกกันไปแค่ 2 สัปดาห์เขาก็ไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกสนาน” น้องคนหนึ่งมาปรึกษากับผู้เขียน

สมัยเรียนเฉพาะทาง ผู้เขียนเป็นพวกผอมลงพุงคือ ตัวเล็ก ๆ แต่พุงยื่นเพราะว่ากินแต่อาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ เอาเร็วเข้าว่า กินดึก นอนดึก และไม่ออกกำลังกาย หลังจากที่ปวดหลังมานานเลยตัดสินใจว่า ต้องออกกำลังกาย ง่ายสุดสะดวกสุดก็ว่ายน้ำ ไปว่ายน้ำทุกวัน สระมันยาว 100 เมตรก็ว่ายไปกลับวันละ 20 รอบ ตอนแรก ๆ ที่ว่ายก็เหนื่อยมาก หลัง ๆ เริ่มเหนื่อยไม่มาก และเก่งขึ้น

พอเก่งขึ้นก็เกิดนึกสนุก นึกคึกมากกว่าว่า จะลองว่ายยาว 100 เมตร โดยไม่ฮุบอากาศว่ายยาวรวดเดียวให้มันได้ 100 เมตรไปเลย ตอนนั้นคิดว่าตัวเองว่ายมานานแล้วและเก่งแล้วไม่น่ามีปัญหา ปรากฏว่าว่ายไปได้ 75 เมตรลมที่ฮุบมาตอนแรกในปอดหมด ใจก็อยากจะโผล่ขึ้นมาหายใจสักเฮือก แต่ไม่ได้ ตั้งใจแล้วว่าจะลองให้ได้ 100 เมตร แบบดื้อ สุดท้ายพอร่างกายทนไม่ไหวเพราะอ๊อกซิเจนตกลดลงเรื่อย ๆ ระบบหายใจอัตโนมัติ จะสั่งการให้ฮุบอากาศเองโดยที่ขัดขืนไม่ได้ หายใจเข้าอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่หน้ายังมุดอยู่ในน้ำ ทำให้น้ำเข้าจมูก ผ่านคอ แล้วไหลลงปอด ทำให้สำลัก พอสำลักน้ำสิ่งที่ตามมาคือไอ แต่อยู่ในน้ำ การฮุบอากาศก่อนไอยิ่งทำให้สำลักน้ำเข้าไปอีก นึกว่าจะตายแล้ว ดีว่าไลฟ์การ์ดที่ข้างสระมาช่วยทัน

เวลาที่วนไปวนมาในความทุกข์ มันก็เหมือนกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระกว้าง มีตัวเราคนเดียว ว่ายด้วยแรงของเราคนเดียว จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่ง ความทุกข์ยิ่งมากระยะทางยิ่งไกล แรงที่ใช้เพื่อให้ข้ามมันไปได้ก็ยิ่งต้องเยอะ และแน่นอนระยะเวลาเพื่อให้ข้ามไปได้ก็นานขึ้น ถ้ามันไกลขนาดนั้น ต้องว่ายไปพลางพักหายใจไปพลางด้วย ต้องรู้จักเร็วสลับช้า รู้จักหายใจเพื่อให้ไปถึงอีกฝั่ง

ไม่สามารถจ้วง ๆ โดยที่หน้าจุ่ม ๆ อยู่ในน้ำ แล้วไปรวดเดียวจากฝั่งหนึ่งถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ เพราะถ้าทำแบบนั้น ผลสุดท้ายจะสำลักและจมลงไป และในชีวิตจริงไม่มีไลฟ์การ์ดมาดึง ในเมื่อไม่สามารถกลั้นหายใจว่ายได้ตลอดทาง ไม่สามารถผ่านความทุกข์ได้โดยไม่พักเช่นกัน ดังนั้น มันไม่ผิดที่เขาจะไปสนุกสนานเฮฮากับเพื่อน แม้จะเลิกกันไปแล้วแค่ 2 สัปดาห์ ความทุกข์มันเป็นสมบัติส่วนตัว ไม่มีทางเข้าใจรับรู้ แบ่งปัน หรือลดความทุกข์ของใครได้ ต้องผ่านมันไปเอง ต้องว่ายข้ามฝั่งไปเอง

ทั้งหนูทั้งเขาไม่ต่างกันเลย เขาอาจจะทุกข์อยู่ก็ได้ เขาอาจจะกำลังว่ายอยู่ในสระแห่งความทุกข์ก็ได้ แต่เขาแค่โผล่ขึ้นมาฮุบอากาศหายใจ เพื่อให้ว่ายต่อไปได้ โดยที่ไม่หมดลมสำลักน้ำจนจมตายไปก่อน เขาทำถูกแล้ว มันไม่ผิดถ้าจะสนุกในขณะที่ยังทุกข์ใจ มันคือการพักหายใจ เพื่อให้ผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ มันก็แค่เป็นการฮุบอากาศเพื่อให้มีแรงว่ายน้ำข้ามทุกข์ไปได้อย่างปลอดภัยไม่จมน้ำ

Part 2

ข้อความแด่เธอ

ข้อความจากความสำเร็จ

เป็นคนล้มเหลว ทำแล้วมันไม่สำเร็จ แม้รู้ว่าเริ่มใหม่ได้ แต่ลบคำว่าล้มเหลวออกจากความคิดไม่ได้เลย มันกลายเป็นตราประทับในความคิด คนเราอาจจะชินและเผลอคิดเชื่อมโยงไปว่าไม่สำเร็จเท่ากับล้มเหลว แต่แท้จริงแล้วไม่สำเร็จก็คือยังไม่สำเร็จ ส่วนล้มเหลวมันกินความหมายอีกแบบหนึ่ง รู้สึกไม่ดีเพราะยังไม่สำเร็จก็ได้ แต่อย่าตีตราประทับตัวเองว่าล้มเหลวเลย มันคนละเรื่องกัน

ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้อง มันควรทำ ก็ทำมันต่อไป แล้วเดี๋ยวจะเห็นความสำเร็จตอนมันเข้ามาใกล้ ๆ เอง ไม่สำเร็จกับล้มเหลวมันคนละคำ ถึงช้ากับไปไม่ถึงมันก็คนละความหมาย ถ้าวันนี้ยังไม่สำเร็จ สิ่งที่ต้องทำคือพักผ่อนเอาแรง แล้วพอมีแรงค่อยทำต่อไป ไม่ใช่การตีตราตัวเองว่าล้มเหลว เพราะมันคนละคำ เพราะมันคนละความหมาย ไม่ได้ล้มเหลวแค่อยู่ระหว่างทาง

ในวันที่เราเจอกับคนที่ไม่ชัดเจน

ในเรื่องคนไม่ชัดเจน ที่สุดท้ายไปชัดเจนกับคนอื่น และถูกทิ้งไว้กับความเจ็บ โจทย์คำถามในใจว่ารู้สึกตัวเองคนเดียวใช่ไหม วนไปวนมาไม่หยุด

มีนิทานเรื่องหนึ่ง บนโต๊ะทำงานมีอาณาจักรแห่งเครื่องเขียน มีประชากรเป็นกระดาษ ปากกา ไม้บรรทัด เทปใส แม็กซ์เย็บกระดาษ กรรไกร คลิปหนีบกระดาษ สีไม้ พู่กัน และอื่น ๆ อีกมากมายเท่าที่จะนึกออกได้ สำหรับเครื่องเขียนเหล่าเครื่องเขียนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสงบดี ปากกามันก็ต้องทำงานใกล้ชิดกับกระดาษ ดังนั้นปากกากับกระดาษมันจะถูกวางไว้ใกล้ ๆ กัน แบบเห็นกันตลอดเวลา และก็ธรรมชาติอีกเหมือนกัน ที่ความใกล้ชิดนำไปสู่ความรู้สึกที่มากขึ้น มากขึ้น

กระดาษรู้สึกไปอีกขั้นกับปากกา แต่ปากกาเป็นของที่ใช้กับเครื่องเขียนหลายอย่าง และปากกาเองก็เป็นคนที่ใจดี สุภาพกับเครื่องเขียนอื่น ๆ ในอาณาจักรบนโต๊ะทำงานนั่นด้วย กระดาษก็แอบรู้สึกไม่ได้ว่าถึงแม้กระดาษจะใกล้ชิดกับปากกา แต่ปากกาเองก็ดีกับทุก ๆ คน ปากกาหันมายิ้มกับกระดาษพร้อมกับพูดว่า “กับเธอเรารู้สึกแล้ว…” จากนั้นปากกาก็เขียนตัวเองลงไปบนกระดาษรู้สึกได้ว่าประโยคที่เขียนนั้นคือ มากกว่าเพื่อน แต่ปากกาด้ามนั้นไม่มีหมึก มันจึงไม่มีคำอะไรทิ้งให้เห็นบนกระดาษ แต่กระดาษรู้สึกได้ว่ามันคือคำว่ามากกว่าเพื่อน

คนอาจจะมองว่ากระดาษนั้นว่าง และพร้อมสำหรับการถูกเขียน แต่แท้จริงแล้วบนกระดาษมีร่องรอยที่มองไม่เห็น จากปากกาไร้หมึกทิ้งคำว่ามากกว่าเพื่อนเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไปปากกาด้ามใหม่อาจจะวนมาบนอาณาจักรโต๊ะทำงาน กระดาษจะเจอกับปากกาที่มีหมึก และสามารถเขียนคำที่เขียนเครื่องเขียนอื่น ๆ มองเห็นได้เสียทีบนกระดาษ

คนที่ไม่ชัดเจนมันเหมือนปากกาไร้หมึก ใจเราเป็นกระดาษ ส่วนเขาเป็นปากกาที่ไร้หมึก เขียนคำอะไรลงไปมันก็ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ แต่เขารู้ว่าเขาเขียนอะไรลงไป และเธอก็รู้สึกได้ถึงรอยที่ทิ้งไว้ แม้ไม่มีหมึก แม้เวลาจะผ่านไปนาน และแม้คนจะมองว่าเราเป็นกระดาษว่างพร้อมใช้ แต่เธอรู้อยู่เต็มใจว่า ในความว่างนั้นมันมีรอยที่เขาฝากไว้ รอยที่ไร้หมึก แต่รู้สึกได้ทุกคำที่ฝาก

อย่าทำแบบนี้ อาจคิดว่าไม่ได้เขียนอะไร กระดาษไม่เสียหายเสียหน่อย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กระดาษเขามีรอย

ไม่ใช่เขาหรือเราที่ผิด

ตอนผู้เขียนเรียนจบแพทย์ เพื่อนได้ทิ้งของขวัญไว้ให้ผู้เขียนชิ้นหนึ่งคือต้นกล้วยไม้ ด้วยความที่เป็นต้นไม้ที่เพื่อนรักให้มา กลัวมันจะตายก็เลยประคบประหงมเต็มที่ ใส่ปุ๋ยเช้าเย็น รดน้ำเช้าเย็น เอามาหลบแดดกลัวแดดแรงจะเผาต้นไม้ ดูแลอย่างดี ตอนกลางคืนอยู่ห้องด้วยกันเปิดแอร์ให้อยู่ สัปดาห์ถัดมาต้นกล้วยไม้ตาย ตอนนั้นก็เสียใจระดับหนึ่ง

เมื่อพ่อผู้เขียนทราบก็ได้บอกว่า ต้นกล้วยไม้ไม่ได้ชอบน้ำขนาดนั้น แล้วให้น้ำขนาดนั้นมันสำลักน้ำตายไปแล้ว นี่ยังไม่นับปุ๋ยเช้าเย็น พ่อพูด ผู้เขียนไม่ได้ผิด กล้วยไม้ก็ไม่ผิด พ่อว่า ถ้าจะผิดก็ผิดที่ลูกมาจับคู่กับกล้วยไม้มากกว่า นี่ถ้าเปลี่ยนจากกล้วยไม้เป็นต้นอย่างอื่น มันคงดีใจมาก เพราะได้รับการรดน้ำเช้าเย็น แล้วก็ให้ปุ๋ยตลอดแบบนี้ ป่านนี้มันคงสูงยืนต้นทะลุเพดาน ออกดอกออกผลให้แล้ว

แต่มันเป็นกล้วยไม้ กล้วยไม้คงไม่ชอบคนขยันรดน้ำ กล้วยไม้คงไม่ชอบคนขยันใส่ปุ๋ย ประเด็นสำคัญมันมีต้นไม้ที่ชอบน้ำเยอะ ๆ มันมีคนที่ชอบให้ดูแลเยอะ ๆ และมันก็มีต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำ และก็มีคนที่ไม่ชอบให้ดูแลด้วย การจับคู่ที่พลาดมันก็เลยทำให้ต้นไม้ตาย ต้องหาต้นไม้ที่เหมาะกับเราแล้วกัน จะได้รดน้ำใส่ปุ๋ยให้สะใจ แล้วรอดูมันออกดอกออกผล

ความสำคัญของน้ำแข็ง

น้ำแข็งทำให้ดื่มเครื่องดื่มที่ชอบได้อร่อยขึ้น ทำให้ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ได้แบบเย็น ๆ อย่างมีความสุข น้ำแข็งก็คือน้ำแข็ง ไม่ใช่เครื่องดื่ม หรือไม่ใช่นางเอกในแก้ว น้ำแข็งสำคัญมากเพราะมันเป็นตัวประกอบความสุข แต่น้ำแข็งไม่เคยได้เป็นสิ่งสำคัญ คนเราไม่ได้สั่งน้ำแข็งใส่เครื่องดื่ม แต่สั่งเครื่องดื่มใส่น้ำแข็ง สิ่งที่น้ำแข็งเป็นคือคนสร้างความสุข อยู่ในสถานะคนสร้างความสุขให้คนดื่มมีความสุขกับเครื่องดื่ม

คนสำคัญที่ไม่เคยได้ที่นั่งสำคัญมันก็คือน้ำแข็ง และเมื่อคนดื่มมีความสุขกับเครื่องดื่มแล้ว เมื่อเขาดื่มจนหมดแก้ว เขาก็จะวางแก้ว แล้วน้ำแข็งก็อยู่ค้างต่อไปในแก้ว ค่อย ๆ ละลาย เมื่อน้ำแข็งละลายกลายเป็นแค่น้ำธรรมดา อดีตน้ำแข็งก็จะโดนเทออกจากแก้วไป ไม่มีน้ำแข็งก้อนไหนเป็นน้ำแข็งตลอดกาล ไม่มีน้ำแข็งก้อนไหนสร้างความสุขให้คนอื่นได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาน้ำแข็งก็จะละลายกลายเป็นน้ำเสมอ

ถ้ารู้ตัวว่าอยู่ในสถานะน้ำแข็ง ของสำคัญที่ไม่เคยได้ที่นั่งสำคัญ ก็จงออกมาเถิด ก่อนจะใช้พลังความเย็นทั้งหมดที่มี สร้างความสุขให้เขาแล้วตัวเราละลายกลายเป็นน้ำ เพราะท้ายที่สุดน้ำแข็งที่เย็นยังไงก็ละลายเป็นน้ำ และน้ำที่ค้างอยู่ในแก้วมันก็โดนเททิ้ง

ความแฟร์แด่เธอ

ถามหาความแฟร์ถามได้ แต่ก่อนจะถามมองรอบตัวให้ดี ๆ ก่อนว่าอยู่ที่ไหน ว่าอยู่ในกรงของตัวอะไร เราไม่กินเสือไม่กินจระเข้ แต่ลองตกไปในกรงเสือบ่อจระเข้ เสือก็จะตะปบเรากิน จระเข้ก็จะงับเรากิน การที่ไปบอกเสือว่าอย่ากินเพราะเราไม่กินมันมันไร้สาระ แน่นอนจระเข้ก็เหมือนกัน ดังนั้น ก็อย่าคาดหวังว่าคนอื่นจะแฟร์กับเราเพราะเราแฟร์กับเขา มันไม่เกี่ยวกับเรา มันไม่เกี่ยวว่าแฟร์หรือไม่แฟร์ มันเกี่ยวกับว่าเราอยู่ในกรงของตัวอะไร บางครั้งสังคมไม่ได้หมุนด้วยกฎของความแฟร์ แต่มันหมุนด้วยระบบห่วงโซ่อาหาร ดังนั้น มองรอบตัวดี ๆ ก่อน ก่อนจะถามหาความแฟร์ ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ตอนนี้อยู่ในกรงตัวอะไร

แด่เธอ ต้นไม้ที่รอเติบโต

ต้นไม้อยู่ในกระถาง มันก็มีชีวิต มันก็ไม่ตาย ปลอดภัยก็จริง แต่ถ้าถึงเวลากระถางมันเล็กเกินไปสำหรับต้นไม้ ต้นไม้ก็จะไม่โตไปมากกว่านั้น ถ้าต้นไม้มีความคิดมันอาจจะโทษตัวเองก็ได้ว่ามันไม่ดี ว่ามันไม่เก่งมันเลยไม่โตกว่านี้ มันเลยเป็นได้แค่นี้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงต้นไม้มันพร้อมโต แต่มันโดนกักเก็บไว้ในกระถาง ต้นไม้ไม่ผิดเลย มันแค่อยู่ในกระถาง ต้องยอมเสี่ยงให้ต้นไม้ได้ลงดิน เพราะถ้าผ่านความเสี่ยงไปได้ ต้นไม้จะโตและใหญ่มากขึ้นไปอีก

จะเติบโตมันก็ต้องเสี่ยง ต้องเหนื่อยหน่อย การมีชีวิตมันเรื่องหนึ่ง แต่การเติบโตมันอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าวันนี้ไม่ได้เติบโต ถ้าวันนี้ไม่ได้ก้าวหน้า ก็ไม่ต้องโทษตัวเองว่าไม่เก่งหรือไม่ดี ลองดูก่อนว่ากำลังโดนจำกัดอยู่ในกระถางหรือเปล่า ว่าเป็นต้นไม้พร้อมโตที่โดนกักไว้ในกระถางหรือเปล่า การเติบโตนอกจากตัวเราแล้ว พื้นดินที่เราอยู่ก็สำคัญ กระถางเล็ก ๆ มันคงไม่เหมาะกับที่พร้อมจะเติบใหญ่

บางทีความเหนื่อยการอยู่กับที่ในงานหรือในชีวิต มันอาจจะไม่ได้เพราะไม่เก่ง ไม่ดี หรือทำผิด มันอาจจะเพราะว่าแค่อยู่ในกระถางที่จำกัดไว้ก็ได้ การย้ายออกจากกระถางไปลงดิน บางทีมันก็เสี่ยง แต่ถ้าไม่เสี่ยงมันก็จะไม่ได้เติบโต การมีชีวิตอยู่มันเรื่องหนึ่ง แต่การได้เติบโตในชีวิตมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

Part 3

จากเธอ แด่เธอ

แด่เธอ รีโอเดจาเนโร

รีโอเดจาเนโรเคยเป็นเมืองหลวงของ 2 ประเทศ ตอนแรกคือปี ค.ศ. 1565 ชาวโปรตุเกสค้นพบรีโอเดจาเนโร จากนั้นก็เข้าครอบครอง และตั้งชื่อเมืองคล้าย ๆ กับเป็นอาณานิคม ตอนนั้นรีโอเดจาเนโรก็เริ่มปรากฏในแผนที่ ต่อมาปี ค.ศ. 1808 นโปเลียนบุกโปรตุเกส ราชวงศ์ของโปรตุเกสก็หนีออกมาจากกรุงริสบอนก่อน แล้วก็มาอยู่ที่เมืองรีโอเดจาเนโร ตอนนั้นก็แต่งตั้งให้รีโอเดจาเนโรเป็นเมืองหลวงของโปรตุเกสแบบชั่วคราวไปก่อน แบบรัฐบาลพลัดถิ่น นี่เป็นครั้งแรกที่รีโอเดจาเนโรได้เป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่เป็นประเทศโปรตุเกส

จนกระทั่งปี ค.ศ. 1822 ก็มีสงครามปลดปล่อยเพื่ออิสรภาพของประเทศบราซิล หลังจากนั้นบราซิลก็เป็นประเทศอิสระ และเมืองหลวงของบราซิลก็คือรีโอเดจาเนโร นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ และครั้งนี้ก็เป็นเมืองหลวงของประเทศบราซิล จนกระทั่ง 21 เมษายน ค.ศ. 1960 เมืองหลวงของบราซิลก็ย้ายไปเป็นเมืองบราซิลเลีย รีโอเดจาเนโรหมดวาระหมดหน้าที่ในฐานะเมืองหลวงของบราซิล จบบทบาทการเป็นเมืองหลวงแต่เพียงเท่านี้

ปัจจุบันนี้รีโอเดจาเนโรไม่ได้เป็นเมืองหลวงของบราซิลแล้ว แต่รีโอเดจาเนโรก็ยังคงเป็นรีโอเดจาเนโรเช่นเดิม เพราะยังคงมีหาดโคปาคาบาน่า ยังคงมีงานไปงานไพรด์ งานมาร์ดิกราส์ และยังคงเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวอยากไป แม้ไม่ได้เป็นเมืองหลวงแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ของรีโอเดจาเนโรไม่ได้เปลี่ยนไป เมื่อหมดวาระการเป็นเมืองหลวง รีโอเดจาเนโรไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้จมทะเล ยังคงอยู่ที่เดิม และทำตัวแบบเดิม เป็นรีโอเดจาเนโร ในแบบที่รีโอเดจาเนโรเคยเป็น สิ่งที่รีโอเดจาเนโรโดนพรากไป ก็แค่สถานการณ์เป็นเมืองหลวง ถ้ามีคนเข้ามาแล้วหายไป พวกเธอก็บอกตัวเองไว้แล้วกันว่าเราเป็นรีโอเดจาเนโร แล้วก็จงทำตัวให้ภาคภูมิใจในความเป็นรีโอเดจาเนโร

แด่เธอ คนคิดไปเอง

การที่เห็นว่าการใช้เวลาด้วยกัน การไปไหนด้วยกัน การคุยเรื่องส่วนตัวของกันและกัน การลูบหัวเท่ากับการจีบ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นอย่างอื่นได้อีกเยอะ ทั้ง ๆ ที่มันมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีกมาก แต่คำตอบที่เราพุ่งใส่ คำตอบที่วาบขึ้นมาในหัว มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังตั้งแต่เริ่ม แต่มันคือสิ่งที่เราคิดหวังไว้ตั้งแต่แรกหรือเปล่า

การที่เรามองว่าใช้เวลาด้วยกัน ไปไหนด้วยกัน คุยนู่นนี่กันและลูบหัวเท่ากับเขาจีบเรา บางครั้งมันอาจจะเป็นกระจกสะท้อนความต้องการในใจเรา ไม่ใช่คำตอบของการกระทำอีกฝ่ายก็ได้ บางทีทั้งหมดมันก็แค่เท่ากับมีโมเม้นดี ๆ ร่วมกัน และคำว่าโมเม้นดี ๆ ร่วมกันมันไม่เท่ากับจีบ บทเรียนที่อยากจะสื่อก็คือให้เขาบอกก่อนเถอะว่าจะจีบ เราค่อยคิดถึงว่าเขาจะจีบ บางทีมันอาจจะดีกว่าก็ได้

เพราะความพยายามและความรักไม่ได้

ทำไมพยายามเท่าไหร่เขาก็ไม่รัก ก็เพราะเราไม่ใช่ พยายามยังไงก็ไม่ได้ผล ความพยายามมันแลกความรักไม่ได้ 0.9 เลขที่ใกล้ 1 แต่ไม่ใช่ 1 เลขที่ค่าเกือบ 1 แต่ก็ยังไม่เต็ม 1 ยิ่งยกกำลังยิ่งค่าน้อยลง ยิ่งยกกำลังยิ่งไกลจากหนึ่งไปเรื่อย ๆ ถ้าสิ่งที่เขาต้องการมันคือ 1 แต่เธอเป็น 0.9 เธอคือคนที่ไม่ใช่ พยายามยังไงก็ยิ่งไกลจากใช่ไปเรื่อย ๆ

ถ้าหยุดพยายามไว้ตรงนี้ตรงที่ยกกำลัง 5 จาก 0.9 มันยังเหลือ 0.59 ยังเหลือหัวใจติดตัวไว้บ้าง ยังพอมีแรง แต่บางคนก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังไม่ท้อ ยังคงมีหวัง และยังพยายามต่อไป มันก็เหมือนยกกำลังต่อไปอีก ถ้าตอนนี้พยายามมาจนถึงยกกำลัง 9 จะมีค่า 0.38 เหลือแค่ราว ๆ 1/3 ของตัวเธอแต่เดิม ทั้งที่พยายามมาไกลจนถึงขนาดนี้

0.9 มันไม่ใช่ 1 ถึงมันจะใกล้ 1 มากอีกแค่ 0.1 แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่ 1 อยู่ดี พยายามกี่ครั้งก็ไม่ใช่ ดังนั้น ถ้าเริ่มต้นที่ไม่ใช่ พยายามยังไงก็ไกลกว่าเดิม

การบอกเลิกก็เหมือนรัดปากถุงดำ

คำบอกเลิกมันก็เหมือนขยะในถุงดำ มันคือภาพรวมสุดท้ายของความสัมพันธ์ที่จบ เขารวบรวม เก็บใส่ถุง และมัดปากเรียบร้อย เอาไปวางไว้ที่ถังหน้าบ้าน รอให้รถขยะมาเก็บ ไม่ว่าในนั้นมันจะมีอะไรก็ตาม แต่ให้รู้ไว้เลยว่ามันคือสิ่งที่เขาไม่เอาแล้ว มันคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว การที่พยายามหาสาเหตุ หวังว่าจะได้แก้ไข และกลับมาคบกันใหม่ได้นั้น มันก็เหมือนกับการนั่งคุยขยะในถุงดำ แล้วถามนั่นนี่ว่ายังใช้ได้ไหมนั่นแหละ และสุดท้ายไม่ว่าจะเสนออะไรก็ไม่เอาอยู่ดี

1 ล้านการบอกเลิก มันมาจากสาเหตุหนึ่งเดียวเท่านั้นนั่นคือ เขาไม่ต้องการในฐานะคนรักอีกต่อไป เขาอาจจะพูดเหตุผลอะไรก็ได้จากเรา จากเขา จากครอบครัว จากใครหรืออะไรก็ตาม แต่ลองนึกดูถ้าเขายังต้องการอยู่ ถ้าเขายังต้องการให้เป็นคนรักของเขา มันจะไม่มีวันบอกเลิก เขาจะไม่มีวันบอกเลิก ดังนั้น ทุกการบอกเลิก ทุกเหตุผลที่เขาอธิบาย มันก็ไหลมาลงที่ตรงนี้จุดเดียวหมด เขาไม่ต้องการเราในฐานะคนรักอีกต่อไป

ถ้ากำลังมองถุงดำนั้นจงหยุดเถอะ ไม่ต้องคุ้ยหาสาเหตุ แล้วเก็บมือไว้อย่าให้มันเลอะเลย เพราะสุดท้ายก็ต้องใช้มือเลอะ ๆ คู่นั้นเก็บขยะที่เขาไม่ต้องการแล้ว ใส่ถุงดำผูกมัดปากถุงแล้วรอให้รถขยะมาเก็บไปอยู่ดี

แรงใจที่จะจากไป

ลูกโป่งงานวัดหรือลูกโป่งสวรรค์คือ ลูกโป่งอัดก๊าซที่เบากว่าอากาศ มันถึงเป็นลูกโป่งที่ลอยได้ และพร้อมลอยขึ้นฟ้า เวลาได้ลูกโป่งมาจะถือไว้แน่น ๆ ถ้าเป็นเด็กก็อาจจะผูกสายกับข้อมือ กันไม่ให้มันลอยหนีไป แต่ทันทีที่ไม่มีอะไรยึดลูกโป่ง ลูกโป่งจะลอยขึ้นฟ้าเป็นอิสระ ลูกโป่งไม่เคยต้องออกแรงเพื่อไปสู่อิสระ เพราะแค่ไม่มีอะไรถ่วงไว้มันก็เป็นอิสระ มันเป็นธรรมชาติของลูกโป่ง

ลูกโป่งไม่ได้ลอยขึ้นฟ้าเพราะออกแรงส่ง หรือออกแรงดันลูกโป่งลอยขึ้นฟ้าได้ เพราะปล่อยมือจากมันหรือเมื่อไม่มีอะไรดึงมันไว้ อันนั้นมันคือลูกโป่ง แต่ถ้าหันกลับมามองตัวเรา บางครั้งมันเศร้า เพราะเหตุผลที่ลูกโป่งไม่สามารถลอยเป็นอิสระได้คือ มีคนดึงสายมันไว้ มีคนรั้งมันไว้

แต่เหตุผลที่ใจไม่เป็นอิสระกลับเป็นเพราะเราเอง เราคือคนที่ใช้แรงทั้งหมด แบกรับภาระความสัมพันธ์เดิมไว้ เราคือคนที่ใช้ความพยายามทั้งหมด ยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์เดิมไว้ เราคือมือที่จับสายลูกโป่งไว้เอง เราคือมือที่เหนี่ยวรั้งตัวเองเอาไว้ ใช้แรงหมดตัว ใช้ความพยายามหมดใจ เพื่อให้ยังอยู่กับคนเดิม ๆ ความสัมพันธ์แบบเดิม ๆ ใช้กำลังใจทั้งหมดบอกตัวเองว่า ถูกเขาเหนี่ยวรั้งไว้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมือที่รั้งไว้มันก็คือมือเรา แรงเรา และความพยายามของเรานั่นเอง

ความสัมพันธ์มันถูกออกแบบมาให้ทั้งสองฝ่ายช่วยกันแบก ถ้าต้องแบกคนเดียวมันก็ไม่แปลกที่จะเหนื่อย มันก็ไม่แปลกที่จะไม่เหลือแรงเดินออกไป แต่รู้ไหมถ้ามีแรงที่จะแบกความสัมพันธ์นี้ไว้ เชื่อสิว่าแค่หยุดแบกความสัมพันธ์ จะมีแรงเดินออกไปแน่นอน และเอาจริง ๆ อาจจะไม่ต้องออกแรงเดิน เพราะทันทีที่ปล่อยมือจากการเหนี่ยวรั้ง จะพบว่าลอยขึ้นฟ้าแบบเดียวกับลูกโป่งนั่นเอง ตอนอยู่ ๆ แบบน้ำแข็ง แต่ตอนจะออกไปจงไปแบบลูกโป่ง

ความเจ็บจากการตัด

ทุกการตัดมันเจ็บเสมอ ไม่ว่าจะตัดอวัยวะที่รักออกไป หรือว่าจะตัดเนื้องอกที่คุกคามชีวิต ไม่ว่าสิ่งที่ตัดจะเป็นสิ่งที่รักหรือสิ่งที่เกลียดออกไป ยังไงมันก็มีแผลผ่าตัด ยังไงมันก็เจ็บ แต่ต้องรู้ว่าตัดเพื่อรักษาชีวิต เพื่อให้ยังไปต่อได้ หรือตัดเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น ทุกการตัดมันเจ็บเสมอ แม้จะเป็นการตัดที่ดี แม้จะเป็นการตัดเพื่อเริ่มต้นใหม่ ยังไงการตัดมันก็เจ็บ แต่รู้ว่าสักวันจะหายเจ็บ

การรู้ว่าพลาดก็คือการเปิดโอกาสให้แก้ไข

ไม่ชอบเวลาที่ตัวเองทำผิดพลาด มีวิธีการจัดการความรู้สึกตัวเองยังไงบ้าง ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดผู้เขียนชอบไปร้านเครื่องเขียน ในร้านเครื่องเขียนจะมีมุมสมุดบันทึก มุมกระดาษ มีมุมปากกาหลากสีหลายแบบให้เอาไปเขียน และมีมุมที่ขายยางลบ ลิควิดและเทปแปะคำผิด นั่นคือที่ที่ผู้เขียนชอบไปเวลาที่เผลอทำพลาดอะไรไปในชีวิต เพราะถ้ายังมีมุมที่ขายยางลบ ลิควิดและเทปแปะคำผิดแปลว่า โลกนี้ยังให้โอกาสคนที่เขียนผิดได้แก้ไข

โลกนี้ขายกระดาษ ขายสมุด ให้บันทึกลงไปบนนั้น โลกนี้ขายปากกา ดินสอ และสีให้ใช้มันเขียนบันทึก และโลกนี้ขายอุปกรณ์การลบทั้งหลายแหล่ เพราะโลกนี้รู้ว่าเขียนผิดได้ทั้งนั้น ก็เลยให้โอกาสผ่านการมีอยู่ของอุปกรณ์การลบ และต่อให้ไม่ลบจริง ๆ ก็เขียนใหม่ได้ และถ้าสมุดหมดเล่มแล้วก็ซื้อใหม่ได้ และถ้าปากกาหมึกหมดก็หาใหม่ได้

ทุกคนก็ทำผิดพลาดได้ โลกนี้ให้โอกาสคนทำผิดพลาด ขอแค่รู้ว่าเขียนผิด และหาวิธีการลบ เธอก็เขียนใหม่ได้ ดังนั้น การทำผิดพลาดไม่เกี่ยวกับคำผิด แต่เกี่ยวกับว่ารู้ตัวและยอมรับใช่ไหมว่าทำผิด แค่รู้ตัวว่าทำผิดพลาด โอกาสก็เปิดให้เริ่มใหม่แล้ว เหมือนที่ร้านเครื่องเขียนขายยางลบ ยางลบมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อรู้ตัวว่าเขียนผิด.

สั่งซื้อหนังสือ “แด่เธอคนสำคัญ” (คลิ๊ก)