สรุปหนังสือ WHO NOT HOW

ความสำเร็จเริ่มจากรายล้อมตัวเองด้วยคนที่ใช่

WHO NOT HOW คืออะไร? ทำไม? ถึงสำคัญ ไมเคิล จอร์แดน ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นนักบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ไม่เคยคว้าแชมป์ในช่วง 6 ปีแรกที่เขาเล่นในการแข่งขัน NBA ได้สักครั้งเดียว เขาต้องการใครสักคน ไม่ได้ต้องใช้วิธีการอะไรสักอย่าง

ในปี 1987 ทีม Chicago Bulls แลกพูดเล่นหน้าใหม่อย่าง สก็อตตี้ พิพเพน เข้ามา สก็อตตี้นับเป็นคู่หูที่เข้ากับไมเคิลได้ดีมาก ไม่นานเขาก็ปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นที่ดุดันของไมเคิลได้ สก็อตตี้ผลักดันไมเคิล ลับฝีมือทั้งด้านรุกและรับ และช่วยให้ไมเคิลพัฒนาจากที่เคยฉายเดี่ยวมาเล่นร่วมกันเป็นทีมได้

ในฤดูกาลแรกที่พวกเขาได้ลงเล่นด้วยกัน พวกเขาเอาชนะเพลย์ออฟรอบแรกมาได้ ในปี 1989 ฟิล แจ็กสัน ได้ขึ้นเป็นโค้ชใหญ่ของ Chicago Bulls เขารู้ว่าทีมต้องมีกลยุทธ์ที่เล่นกันเป็นทีมมากกว่านี้ และไม่ควรพึ่งพาความสามารถยอดมนุษย์ของไมเคิล นั่นทำให้เขาคิดค้นวิธีสามเหลี่ยมโดยสร้างพื้นที่ให้ผู้เล่นส่งลูก หรือวิ่งตัดลูกได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสทำคะแนนได้

ในปีแรกที่แจ็คสันได้เป็นหัวหน้าโค้ชทีมก็แกร่งขึ้นมาก ปีถัดมา Chicago Bulls ก็จบฤดูกาลปี 1991 ของ NBA ด้วยคะแนนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังล้มศัตรูคู่อาฆาตอย่าง Dtroit Pistons ไปได้อย่างราบคาบ ทีม Chicago Bulls ครองแชมป์ได้อีก 5 ครั้งในอีก 7 ปีต่อมา โดยมี ฟิล แจ็กสัน คอยคุมทีม ปรับแต่งยุทธวิธีสามเหลี่ยมที่นำโดยผู้เล่นชั้นนำอย่างไมเคิลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ระหว่างปี 1991-1998 ทีม Chicago Bulls คว้าแชมป์ไปได้ 6 ครั้ง และกลายเป็นหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬา บางคนจึงกล่าวว่า ไมเคิล จอร์แดน เป็นผู้เล่นบาสเกตบอลที่เก่งที่สุด และถ้าไม่ใช่ก็นับว่าเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค แต่ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าไมเคิลพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ก็แน่ว่าเขาอาจจะได้แชมป์ไปสัก 1 หรือ 2 สมัย อาจทำสถิติได้น่าเชื่อถือ แต่ก็คงไม่สามารถเป็นตำนานแห่งวงการกีฬาได้แน่นอน

ที่ ไมเคิล จอร์แดน ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะเขาเปลี่ยนมาเล่นแบบทีม มีผู้เล่นคนอื่นสนับสนุน และได้โค้ชที่ดีมาคอยวางแผนให้ เรื่องราวของ ไมเคิล จอร์แดน ให้ข้อคิดสำคัญหลายข้อ ที่คนซึ่งอยากประสบความสำเร็จต้องรู้ แต่บทเรียนที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเรื่องที่ ไมเคิล จอร์แดน ไม่สามารถพึ่งแค่ตัวเองคนเดียวได้ ศักยภาพของเขาไม่ใช้สิ่งที่มีมาแต่เกิด หรืออะไรที่ตายตัว แต่มันปรับเปลี่ยนและเป็นไปตามสภาพแวดล้อม ไมเคิล จอร์แดน เปลี่ยนแปลงและเติบโตผ่านเพื่อน ๆ ในทีม ผ่านโค้ช และผ่านประสบการณ์ เขาจึงเป็นได้มากกว่าที่ตัวคนเดียวจะทำได้

คนส่วนใหญ่มักสนใจวิธีการหรือ HOW เพราะมันควบคุมง่ายกว่า แค่ต้องควบคุมตัวเองก็พอ แต่คนฝันไกลที่อยากไปให้ถึง จะต้องยอมเชื่อใจคนอื่นด้วย เพื่อขยายขอบเขตสิ่งที่ทำได้ สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ไม่ใช่ความพยายาม ถ้าอยากประสบความสำเร็จขั้นสูงสุดจะต้องปรับความคิดจากทำอย่างไร ไปเป็นต้องใช้ใคร หนังสือเล่มนี้เชื่อว่ายิ่งก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น ผลลัพธ์ที่ทำได้จะมาจากคนรอบตัว (WHO) มากกว่าวิธีที่ใช้ (HOW) คือให้สนใจที่คนไม่ใช่วิธีการ

จะทำการอธิบายให้เข้าใจก็คือ พอคิดถึงอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและดีขึ้นกว่าเดิม มันก็มักมีปัญหาตามมา เพราะจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ถึงจะไปจุดหมายนั้นได้ อาจจะนึกภาพไม่ออกเพราะมันใหญ่เกินสภาพการณ์ในปัจจุบันมาก ถ้าหากเป็นเหมือนกับคนส่วนมาก เวลาคิดถึงอะไรแบบนั้น สิ่งแรกเลยคือจะถามตัวเองว่า จะทำมันได้ยังไง? นี่เหมือนจะเป็นคำถามปกติที่ใคร ๆ ก็ถาม แต่จริง ๆ มันเป็นคำถามที่แย่ที่สุดที่ใช้ถามตัวเอง

ระบบการศึกษาทั้งหมดของเราสอนแต่คำว่ายังไง หรือคำว่า HOW ถูกสอนแต่เด็กว่าต้องทำทุกอย่างเอง ถูกสอนว่าการให้คนอื่นช่วยเป็นการโกง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ถ้าถามคำถามที่ต่างออกไป อย่างวันไหนมีจุดหมายใหม่ขึ้นมา แทนที่จะผัดวันไปเรื่อยและรู้สึกหงุดหงิด แทนที่จะค่อย ๆ ไปให้ถึงจุดหมายอย่างช้า ๆ เหงา ๆ เพียงลำพัง ไม่ลองมาสัมผัสพลังและความตื่นเต้นแบบทันตาดูบ้าง ถ้าสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีและทรงพลังกว่าโดยไม่ต้องทำทุกอย่างเอง ถ้าคิดและทำฝันใหญ่ ๆ หลายอย่างไปพร้อมกันได้ นั่นแหละต้องใช้ WHO NOT HOW

คนสร้างผลลัพธ์แต่วิธีสร้างปัญหา ในบางสถานการณ์จะรู้สึกทึ่ง บางครั้งก็ถึงกับน้ำตาคลอเลยว่า WHO มีความมุ่งมั่นมากขนาดไหน จะรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้คนมากมายในชีวิต ต่อผลลัพธ์มากมาย และอิสรภาพที่ได้รับเลยทีเดียว ทุกคนล้วนต้องการใครสักคน หนังสือเล่มนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนที่มีความฝันและความมุ่งมั่นแค่เล็ก ๆ แต่เหมาะกับคนที่ชีวิตนี้อยากทำสิ่งที่พิเศษไม่เหมือนใคร ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในชีวิตนี้ ต้องใช้คน (WHO) ไม่ใช่ใช้วิธีการ (HOW) ถ้าพยายามหา HOW เอง ก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด HOW ไม่ได้ให้อะไรพิเศษแต่ WHO ที่ถูกคนจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นราวกับมีเวทมนต์ ถ้ามุ่งมั่นอยากได้ผลลัพธ์ที่พิเศษ สุดท้ายก็จะรู้ว่าสิ่งที่สร้างผลลัพธ์คือคนไม่ใช่วิธีการ

การมอบหมายงานไม่ใช่การเอารัดเอาเปรียบ นอกจาก WHO ต้องลงมือทำ HOW เองแล้ว ยังต้องมีอำนาจเด็ดขาดในการทำแบบนั้นด้วย ถ้าอยากเอาการทำงานร่วมกันขั้นสูงมาใช้ในชีวิต ต้องทิ้งอำนาจควบคุมการทำงานทั้งหลายไปด้วย ต้องเชื่อใจฝีมือของ WHO ให้อำนาจเขาทำ HOW อย่างเต็มที่ เมื่อทำแบบนี้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดออกมาจากคนคนนั้น ซึ่งผู้นำที่ดีจะบอกวิสัยทัศน์แล้วปล่อยให้ทุกคนทำงาน หลักสำคัญของความเป็นผู้นำคือ การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ยิ่งชัดเจนว่าต้องการอะไร ก็จะยิ่งดึง WHO ที่ใช่มาช่วยทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงได้เร็วขึ้น ผู้นำอธิบายอะไรและทำไม แล้วปล่อยให้ WHO (คน) เป็นผู้ทำ HOW (วิธีลงมือ) นั่นเอง

เล่นหมากฮอสหรือหมากรุก คนส่วนมากและผู้ประกอบการทั้งหลายมักจะเล่นหมากฮอสกัน พวกเขาเน้น HOW (วิธีการ) ทำให้ไม่สามารถเกิดมุมมอง และการพัฒนาตนเองขึ้นได้ แต่เมื่อรู้จักนำ WHO NOT HOW มาใช้จะเปลี่ยนจากเล่นหมากฮอสมาเล่นหมากรุกแทน และแทนที่จะไปเล่นในเกมคนอื่น แต่จะเป็นคนออกแบบเกมของตัวเองแทน จะเป็นคนกำหนดว่าทำไปเพื่ออะไร ต้องใช้งานหมากตัวไหนบ้าง

พอเริ่มใช้ WHO NOT HOW เก่งขึ้นแล้ว คราวนี้จะเล่นได้หลายเกมในคราวเดียว ทุก ๆ เป้าหมายหรือโปรเจ็กต์ที่สร้างขึ้น จะนับเป็นการเริ่มเกมใหม่ในแต่ละเกม ก็ต้องใช้หมากและผู้เล่นแตกต่างกันไป หรือก็คือใช้ WHO ที่แตกต่างกันพอเชี่ยวชาญมากขึ้นเกมก็จะยิ่งดุดัน ยิ่งให้ผลลัพธ์มากก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยิ่งจะต้องมี WHO ที่แกร่งขึ้นและมีคุณค่ามากขึ้นบนกระดานเช่นกัน ทุก ๆ คนล้วนมีโอกาสเป็นพันธมิตรกันได้หมด

เมื่อมองเห็นแบบนี้แล้ว จะยิ่งกล้ามองไกลขึ้น มีความสามารถในการดึงดูด WHO เก่ง ๆ มากขึ้นตามไปด้วย สุดท้ายก็จะทำงานเป็นทีมได้ดีและเก่งขึ้น ทำให้มีอิสระมากขึ้นตามไปด้วย ทุกครั้งที่ใช้ WHO NOT HOW ด้วยการคิดภาพเป้าหมายใหม่ขึ้นมา และหา WHO มาช่วยไปให้ถึงเป้า จะมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น เพิ่มรายได้ ขยับขยายความสัมพันธ์ และมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่สูงขึ้นกว่าเดิม ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า

Part 1 อิสระทางด้านเวลา

บทที่ 1 WHO ทำให้ทำอะไรก็ได้

พลังของการมี WHO มันคือการที่ได้เข้าถึงความรู้ วิธีคิด ข้อมูลเชิงลึก ทรัพยากร และความสามารถที่ไม่มีในปัจจุบันได้ทันที HOW จะเป็นเส้นตรงและเชื่องช้า WHO จะไม่เป็นทางตรงมันเร็วกว่าและโตแบบก้าวกระโดด อิสระทางเวลานั้นไร้ขอบเขต ไร้ขีดจำกัด WHO ทำให้ได้พัฒนาอิสระทางเวลาอยู่ตลอด เพราะแนวคิดนี้ไม่ใช่แค่การมีเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำเท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวกับการใช้เวลาไปกับสิ่งที่มีคุณภาพมากขึ้นอีกด้วย

คนเราต่างก็มี WHO ที่คอยพึ่งพิงกันทั้งนั้น พวกเขาเป็นคนที่คอยช่วยให้ไปถึงฝัน และสนับสนุนในหลากหลายทาง ลองคิดเรื่อง WHO ในชีวิตดู ถ้าชีวิตนี้ไม่มีพวกเขาแล้วมันจะเป็นยังไง? จะมีชีวิตแตกต่างออกไปแบบไหน? และถ้าชีวิตมี WHO ผู้เก่งกาจจำนวนมาก คอยให้แรงสนับสนุนชีวิตจะเป็นยังไง? WHO NOT HOW คือการนำความสัมพันธ์มาทำให้เกิดประโยชน์ และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับชีวิต

เลี่ยงกับดักการใช้ HOW เมื่อคุณมีบริษัทที่ดำเนินกิจกรรมไปได้เอง เพราะมี WHO มากความสามารถแล้ว ก็จะทำให้คุณทำงานน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น ในบริษัทเหล่านี้ WHO ทั้งหลายจะคอยจัดการตัวเอง ไม่ใช่ให้ไปคอยจัดการพวกเขา พวกเขารับผิดชอบตัวเองได้ เพราะคุณได้อธิบายวิสัยทัศน์ออกไปได้อย่างชัดเจนและน่าตื่นเต้น แล้วได้มอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้พวกเขาได้ลงมือ และพาวิสัยทัศน์นั้นไปถึงฝันในแบบที่เหมาะสมกับพวกเขาได้ ทีมควรจะทำงานได้ดีโดยไม่ต้องมีคุณ ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายของคนที่ทำธุรกิจทุกคน

คนที่มีอิสระจะผ่อนคลาย ฟื้นตัว เที่ยวเล่น หรือทำในสิ่งที่ต้องการได้ ทั้งหมดนี้ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ความสำเร็จ และอายุที่ยืนยาวขึ้น มันไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน งานวิจัยบอกว่าความคิดสร้างสรรค์เพียง 16% เท่านั้นจะเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน แต่ไอเดียมักจะมาตอนอยู่บ้านหรือตอนเดินทาง หรือระหว่างที่ทำอะไรเพลิน ๆ อยู่มากกว่า จึงต้องมีเวลาว่างสำหรับคิด และเว้นระยะห่าง ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ผ่อนคลาย และได้ฟื้นฟูตัวเอง เพื่อให้เกิดไอเดียและคิดหาแนวทางมาใช้ทำงานได้ ทุกคนมีเวลาจำกัดซึ่งต่างก็มีเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนที่จะเป็นอิสระในด้านอื่น ๆ ต้องเป็นอิสระเรื่องเวลาของตัวเองให้ได้ก่อน

WHO จะช่วยให้ขยายตัวตน คำว่าความเก่งคือการที่สร้างผลลัพธ์ที่ต้องการได้ ซึ่งไม่ได้มองแค่สิ่งที่ทำได้จริง ๆ แต่มองไปถึงศักยภาพที่ทำได้ แต่ความเก่งของคนเราไม่ใช่สิ่งที่ทำได้เองเพียงคนเดียว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถโดยกำเนิดหรือส่วนตัว แต่หมายถึงการที่จะไปหาทรัพยากรจากไหนก็ได้ เพื่อให้ทำเป้าหมายได้สำเร็จ จะขยายตัวตนหรือเพิ่มความเก่งได้จากการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้แสวงหาทรัพยากรทางด้านสิ่งของ คน มุมมอง และความคิด มันเป็นเรื่องจำเป็นที่เวลาอยากทำอะไรให้สำเร็จ

ที่สุดแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จขั้นสูงได้ ก็ทำได้ผ่านความสัมพันธ์มากมายทั้งนั้น ยิ่งโตขึ้นความสำเร็จซึ่งเกี่ยวกับ WHO มากกว่า HOW ด้วย ซึ่งยังไงก็หนีความจริงข้อนี้ไม่พ้น ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเปลี่ยนจาก HOW เป็น WHO ถ้าอยากหาอิสระในชีวิตได้มากขึ้น จะทำมันโดยเป็นคนทำ HOW ทุกอย่างคนเดียวไม่ได้ ต้องมี WHO อาจจะเป็นคนรัก เป็นพ่อแม่ เป็นที่ปรึกษา เป็นครู เป็นโค้ช เป็นคู่หู และเป็นคู่คิด

สุดท้ายเมื่อพร้อมเมื่อไหร่ก็อาจจะมี WHO เป็นพนักงาน และคนอื่น ๆ ที่คอยช่วยงานก็ได้ พนักงาน คู่หู และที่ปรึกษานั้น ทำงานให้ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นลูกน้อง แต่เพราะพวกเขาเชื่อมั่น จึงกลายเป็น WHO คนสำคัญในชีวิต พวกเขามอบภารกิจให้ พวกเขาได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน มอบงานให้พวกเขาทำเพื่อหาเลี้ยงตัวและครอบครัว มอบหนทางเติบโตและสร้างความมั่นใจให้เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งเป็น WHO ของใครมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น

บทที่ 2 ความจริงเรื่องการผัดวันและวิธีหยุดนิสัยนี้

เรื่องน่าเศร้าคือคนส่วนมากเอาเวลาส่วนใหญ่ หรือไม่ก็ทั้งหมดเลยในชีวิตไปผัดวันประกันพรุ่ง สิ่งที่มีคุณค่าต่อตัวเองที่สุดไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ตัวเลขที่ว่ามาจะสูงมากแล้ว ตัวเลขนี้กลับกำลังเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการติดเทคโนโลยี และอินเตอร์เน็ตนั่นเอง การผัดวันประกันพรุ่งยังส่งผลเสียต่อจิตใจได้ การผัดวันประกันพรุ่งไม่เพียงจะทำให้ความมั่นใจหยุดชะงัก แต่มันยังปิดกั้นความคิด จึงไม่สามารถมองหาเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้อีก ดังนั้น การผัดวันประกันพรุ่งจึงนำไปสู่การด้อยค่าตัวเอง และด้อยค่าอนาคตของตัวเองด้วย

การนำ WHO NOT HOW ไปใช้เพื่อเลิกนิสัยการผัดวันประกันพรุ่ง มีสิ่งที่ต้องทำ 2 อย่างคือ

ข้อที่ 1 มีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก ๆ เรื่องแรกที่ต้องรู้คือการกำหนดสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจนก่อน นั่นคือเป้าหมายและเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใช่ขึ้นมา ก็ต้องชัดเจนในสิ่งที่ต้องการด้วย ไม่ใช่ว่าแค่รู้ว่าอยากได้อะไร แต่ต้องสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจให้ได้ดีด้วย และแน่นอนว่า WHO ที่ใช่ด้วยวิสัยทัศน์นั้นถึงสำคัญเรียกมันว่า Impact Fillter ซึ่งจะช่วยอธิบายวิสัยทัศน์ และความสำคัญของสิ่งที่จะทำเพื่อให้ WHO ทั้งหลายมีข้อมูลที่ต้องใช้เพื่อทำงานให้สำเร็จ Impact Fillter ที่ว่านี้คือเอกสารหน้าเดียว ที่จะช่วยแก้ปัญหาการเป็นผู้นำที่เจอกันบ่อยที่สุดได้ ซึ่งประกอบด้วยคำถามต่อไปนี้

  1. มันเป็นโปรเจ็กอะไร?
  2. จุดมุ่งหมาย อยากทำอะไรให้สำเร็จ?
  3. ความสำคัญ สิ่งนี้จะมีประโยชน์อะไรกับใคร?
  4. ผลลัพธ์ที่ต้องการ โปรเจ็กที่เสร็จสมบูรณ์แล้วหน้าตาเป็นแบบไหน?
  5. ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทำเต็มที่แล้วจะเป็นยังไง?
  6. ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ถ้าพลาดจะเกิดอะไรขึ้น?
  7. เกณฑ์ความสำเร็จจะต้องเกิดอะไรขึ้นบ้างเพื่อทำให้โปรเจ๊กนี้สำเร็จ?

ถ้าตอบคำถามใน Impact Fillter แล้วจะสามารถอธิบายให้คนอื่น ๆ เข้าใจได้ว่าอยากได้อะไร และอธิบายความสำคัญของมันได้ ทุก ๆ ครั้งที่ตั้งเป้าขึ้นมาใหม่ หรือมีโปรเจคไหนที่อยากทำให้เกิดขึ้น มาลองทำ Impact Fillter หน้าเดียวนี้ดู ทำความคิดให้ชัดเจนขึ้นออกมา และให้มันช่วยตามหา WHO ที่จะทำให้โปรเจ็กนี้สำเร็จได้

ข้อที่ 2 ลองถามตัวเองดูว่า ใครจะช่วยให้ทำมันได้สำเร็จบ้าง? เมื่ออธิบายเป้าหมายตัวเองได้ชัดเจนแล้ว ต้องพยายามไม่ไปนั่งหาว่าต้องทำยังไง หรือหา HOW เพื่อทำงานให้สำเร็จ การดึงเอาคนอื่นมาทำงานด้วย ต้องใช้ทั้งความกล้าและความเป็นผู้นำ เป้าหมายของ Impact Fillter คือการทำให้ตัวเองเชื่อมั่นในมุมมองนั้นก่อน ไม่อย่างนั้นก็ทำให้คนอื่นเชื่อไม่ได้ ยังมีคนเก่ง ๆ ที่น่าทึ่งอยู่อีกมากมายที่อยากช่วย สิ่งที่ต้องทำก็แค่อธิบายความต้องการออกไปเท่านั้น อธิบายให้เขาเข้าใจซึ่ง Impact Fillter ช่วยงานส่วนนี้ให้ แล้วจากนั้นลองถามตัวเองดูว่า ใครจะช่วยให้ทำมันได้สำเร็จบ้าง?

เมื่อหาคนที่จะช่วยสานฝันให้สำเร็จได้แล้ว ก็ถึงเวลาทำให้พวกเขาทำตาม HOW ที่จำเป็นกันแล้ว และเพื่อการนั้นจะต้องมั่นใจก่อนว่ามุมมองตรงกัน หนึ่งในความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดที่ผู้ประกอบการและผู้นำมักพลาดกันคือ การบริหารงานแบบจู้จี้จุกจิกว่า WHO ต้องทำงานแบบนี้เท่านั้น ทั้งที่สิ่งสำคัญสุดท้ายก็คือผลลัพธ์เท่านั้น พอชัดเจนกับจุดหมายแล้ว พยายามอย่าไปอยากรู้ อย่าไปสนว่าเขาทำ HOW กันยังไงเลย ห่วงแค่ว่ามันจะเสร็จไหมเป็นพอ ปล่อยให้ WHO ทำ HOW รูปแบบของเขาไปเลย

บทที่ 3 หา WHO มาช่วยทุกด้าน

WHO NOT HOW นั้นเน้นผลลัพธ์ไม่ยึดติดกับกระบวนการ ปล่อยให้ WHO หัวหมุนกับ HOW ของเขาไป และเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถทำผลลัพธ์ ภายในกรอบเวลาที่กำหนดได้ เลิกใช้เวลาอันมีค่าไปกับสิ่งที่น่าเบื่อ และเสียเวลาได้แล้ว ทุกวินาทีในชีวิตล้วนสำคัญ อดทนอยู่กับสิ่งไหนก็จะได้สิ่งนั้นมา เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก็ได้ พอชนะจุดเล็ก ๆ ได้ก็จะมั่นใจ และรู้สึกว่าสามารถสร้างชีวิตที่ต้องการได้สูงขึ้นกว่าเดิม เริ่มต้นจากการกำจัดงาน หรือสิ่งรบกวนสมาธิทั้งหลาย ที่ไม่จำเป็นต่อตัวเองในอนาคตก่อนก็ได้ บางครั้งก็ทำงานบางอย่างไปด้วยความเคยชิน แต่ถ้าสามารถกำจัดมันทิ้งได้ก็ทำเสีย แล้วตัวคุณในอนาคตจะขอบคุณตัวคุณในวันนี้

ใช้เวลาให้คุ้มค่าและสร้างความคืบหน้าทุก 90 วัน คนเราไม่สามารถทำเป้าหมายยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้ในวันเดียว เป้าหมายบางอย่างมันอาจจะใหญ่มาก จนต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ กว่าจะสำเร็จได้ แต่ก็สามารถสร้างความคืบหน้าครั้งใหญ่ ๆ ได้ในทุกช่วง 90 วัน พอแบ่งเป้าหมายออกเป็นช่วงละ 90 วัน จะทำให้มีสมาธิและแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้น เมื่อแบ่งส่วนมันออกมาเป็นขั้นเล็ก ๆ ได้แล้ว จะสามารถพุ่งสมาธิไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ แล้วก็จะก้าวหน้าได้เร็วในระยะสั้น ๆ จากนั้นก็มองย้อนไปดูงานทุก 90 วัน แล้ววัดความก้าวหน้าที่จับต้องได้ดู มันจะทำให้รู้สึกถึงความก้าวหน้าและแรงผลักดัน กระบวนการนี้เรียกว่า Moving Future ที่จะช่วยให้ใช้เวลา 90 วันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขึ้นมาซึ่งก็น่าสนใจมาก Moving Future ที่ว่านี้เริ่มจากการมองย้อนกลับไปว่าในช่วง 90 วันที่ผ่านมา ทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง ซึ่งจะทำให้รู้สึกถึงความก้าวหน้า และแรงผลักดันขึ้นมาได้ เหล่านี้คือคำถามของกระบวนการ Moving Future ที่ใช้พื้นที่เพียงหน้ากระดาษเดียวคือ

  1. มีความสำเร็จอะไรบ้างที่ทำให้ภาคภูมิใจที่สุด เมื่อมองย้อนกลับไปใน 90 วันที่ผ่านมา
  2. จุดที่สนใจและก้าวหน้าในปัจจุบัน จุดไหนทำให้รู้สึกมั่นใจมากที่สุด
  3. แล้วใน 90 วันถัดไปมีการพัฒนาโปรเจ็ก หรือเป้าหมายอะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้มากที่สุดบ้าง
  4. มีการก้าวกระโดด (ความคืบหน้า) ใหม่ 5 อย่างในเรื่องใดบ้างที่ทำได้เลยตอนนี้ ซึ่งจะทำให้อีก 90 วันข้างหน้าเป็นไตรมาสที่ยอดเยี่ยมได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามบ้าง

ทุก ๆ 90 วันพอตั้งใจใช้เวลาได้ดีขึ้น ก็จะประสบความสำเร็จได้มากขึ้น ลองตอบคำถามจากกระบวนการ Moving Future ดูจากนั้นลองถามตัวเองดูว่า ใครจะช่วยให้ทำมันได้สำเร็จบ้างจงเพิ่ม WHO เข้าไปในเป้าหมาย ทุก 90 วันใหม่อย่างน้อย 1 คน ในพื้นที่ไหน ๆ ในชีวิตก็ได้ พอเพิ่ม WHO เข้ามาแล้วความมุ่งมั่นก็จะเพิ่มขึ้น ชีวิตก็จะดีขึ้น เป็นผลให้มั่นใจขึ้นว่า จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ในพื้นที่นั้น ๆ ได้ในระยะเวลา 90 วัน

Part 2 อิสระทางการเงิน

บทที่ 4 เวลาหาเงิน

เมื่อลงทุนใน WHO แล้ว ไม่เพียงจะได้ใช้เวลาและทรัพยากรของพวกเขา แต่ยังได้ปลดปล่อยตัวเองให้มีอิสระได้ จดจ่อสนใจกับสิ่งที่มีมูลค่าสูงสุด แล้วยังจะหารายได้เพิ่มขึ้นอีก นี่คืออิสระทางการเงิน อีกทั้งยังหมายความว่ามีเงินมาแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตด้วย ถ้ามีเงินพอใช้แก้ปัญหาก็จะไม่มีปัญหา นี่คือรายการเพื่อให้มีอิสระทางการเงิน

จะรู้ว่าตัวเองประสบความสำเร็จได้เมื่อ

  1. สามารถตื่นมาทุก ๆ วันแล้วถามได้ว่า วันนี้อยากทำอะไร?
  2. รายได้มาจากทรัพย์สินต่าง ๆ มันเกินกว่าหลายสไตล์
  3. สามารถอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกนี้ถ้าต้องการ
  4. ทำโปรเจ็กที่ทำให้ชีวิตตื่นเต้นและทำมันให้ออกมาดีที่สุดได้
  5. สามารถนอนเฉย ๆ ได้หลายเดือนโดยไม่กระทบต่อรายได้
  6. ไม่มีคนขี้บ่นในชีวิต
  7. ใส่นาฬิกาไว้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น
  8. ไม่มีข้อมูลถูกมากเรื่องเวลาหรือกำหนดเวลา
  9. ใส่ชุดที่อยากได้ตลอดเวลา
  10. ลาออกตอนไหนก็ได้

ปัญหาในธุรกิจมีอยู่ 2 ประเภทคือ ปัญหาทางเทคนิคและปัญหาแบบปรับเปลี่ยนได้ เมื่อรู้คำตอบแล้วแค่ต้องหาทางลงมือทำเท่านั้น อันนี้เรียกความหาทางเทคนิค มันมีคนที่สอนและมีธุรกิจมากมายที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ในฐานะคนคนหนึ่งจะมีเวลาและพลังความคิดจำกัด มีอยู่แค่เท่าที่มี ดังนั้น ถ้าถามตัวเองว่า HOW?  ปัญหาของ HOW? คือการบอกตัวเองว่า เต็มใจเอาพลังความคิดทั้งหมดไปลงกับงานนี้

การคิดแบบนั้นส่งผลกระทบต่อการใช้เวลา ซึ่งกระทบต่ออิสระทางการเงินเต็ม ๆ อิสระทางการเงินจะเกิดขึ้นได้ ถ้าเอาเวลาและพลังความคิดไปลงกับกิจกรรม ที่สำคัญกว่าจะหาเงินได้มากขึ้น ถ้าไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ จะทำแบบนั้นได้ก็ต้องลงทุนใน WHO เพื่อช่วยปลดปล่อยออกจากงานย่อยที่มูลค่าต่ำให้ได้ เอาพลังที่ได้เอาความสนใจไปลงกับสิ่งที่จะช่วยหาเงินได้มากขึ้นจริง ๆ HOW จะต้องใช้เวลาและพลังความคิดของตัวเอง ส่วน WHO จะใช้ของคนอื่น ปัญหาแบบปรับเปลี่ยนได้จะไม่เหมือนกับปัญหาทางเทคนิค เพราะมันไม่มีคำตอบมาก่อน ด้วยความที่ไม่มีคำตอบมาก่อน เลยต้องหาคนคิด ดังนั้น ทุกอย่างที่เคยถูกคิดค้นล้วนมาจากมันสมองของ WHO ที่ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสรรค์ เพื่อคิดค้นหาวิธีแก้ปัญหาแบบปรับเปลี่ยนได้

ปล่อยใจและกายให้เป็นอิสระ ด้วยการทำงานให้น้อยลง พอวางมือจากงานหลาย ๆ อย่างลงได้ ไม่เพียงจะได้เวลากลับคืนมา แต่จะยังได้ปล่อยใจจากเรื่องจุกจิกทั้งหลายไปคิดเรื่องอื่น ๆ ได้ พอปล่อยใจให้ว่างขึ้นได้ วิสัยทัศน์ก็จะขยับขยายไปอย่างสร้างสรรค์ได้ จะออกตามหาโอกาสใหม่ ๆ ที่ก่อนหน้าไม่เคยนึกถึงได้ สามารถทุ่มเทให้กับการเรียนรู้ หาที่ปรึกษาหรือร่วมมือกับคนอื่น ๆ ได้

ตราบใดที่ไม่สามารถหาเวลาว่างได้ ใจก็จะถูกขังไว้อยู่แบบนั้น แต่เมื่อหาเวลาว่างได้ ใจก็จะถูกปล่อยเป็นอิสระ พอใจเป็นอิสระความคิดก็จะยกระดับ จะเชื่อในตัวเองมากขึ้น มีความคิดใหม่ที่ดีกว่าเก่า จะมีทั้งพลังและเวลาไปพัฒนาตัวเอง ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ไปฝึกฝนทักษะและฝีมือ จะมีเวลาไปคิดถึงช่องทางหาเงินเพิ่ม หรือธุรกิจใหม่ หรืออาจจะขยับขยายสิ่งที่มีอยู่เดิมก็ได้ ดังนั้น ถ้าอยากเติบโตต่อไปจะต้องมี WHO คอยช่วยเหลือเพื่อให้ทำงานและส่งอิทธิพลไปถึงผู้คนให้มากกว่าเดิม

ยิ่งประวิงเวลาลงทุนใน WHO ไปนาน ความคิดก็จะยิ่งถูกจำกัดไปเรื่อย ๆ ถ้าอยากได้อิสระมากขึ้นก็ต้องยอมลงทุน จะต้องมุ่งมั่นว่าจะใช้เวลาให้ดีขึ้น และให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่แค่ทำงานหนักขึ้นเฉย ๆ บางคนก็ไม่อยากลงเงินไปกับ WHO เพราะไม่ได้มองว่ามันเป็นการลงทุน แต่มองเป็นต้นทุน พวกเขากังวลว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ แทนที่จะคิดว่า WHO จะทำให้เขาไปได้ไกลขึ้น ทำให้มีเวลามากขึ้นได้ WHO เลยนับเป็นการลงทุน ยิ่งกว่านั้นมันคือการลงทุนในตัวเอง ทุกครั้งที่ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระด้วยการจ้าง WHO มันคือการลงทุนครั้งใหญ่ในตัวเอง

เวลาคือเงินตรา เงินมักจะไม่เข้าหาคนที่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา มีแต่คนที่พยายามใช้เวลาให้เกิดผลมากขึ้น เห็นค่ามัน และใช้มันให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นเท่านั้น ถึงจะสัมผัสอิสระทางการเงินได้ พอเพิ่ม WHO เข้ามาช่วย HOW ทั้งหลายที่ต้องทำแล้ว จะเอาเวลาไปลงกับสิ่งที่ยังผลมากที่สุดได้ คนเราส่วนใหญ่มักไม่ค่อยให้ค่าเวลาตัวเองเท่าไหร่ แต่อยากถูกหวยเสียมากกว่า พวกเขาอยากได้อิสระทางการเงิน โดยไร้อิสระทางเวลา

คนเราอยากได้อิสระทางการเงินมาง่าย ๆ แต่อิสระมันไม่ได้มาแบบนั้น อิสระทั้งหลายมาจากเป้าหมาย มาจากการลงทุน และมาจากการทำงานเป็นทีมต่างหาก การมีเงินมากแต่ไม่รู้จักค่าของเวลาทำให้เกิดความโลภขึ้นสูง นำไปสู่ความย่อยยับและการตัดสินใจแย่ ๆ ได้ สุดท้ายเงินที่มีก็หายวับไปกับตา มีแต่คนที่รู้คุณค่าของเวลา ถึงจะมีอิสระทางการเงินขึ้นมาได้

บทที่ 5 มุ่งมั่นให้เกิดผล

ทุกครั้งที่ลงทุนกับอะไรบางอย่าง จะทุ่มเทให้มันมากขึ้น ยิ่งมุ่งมั่นหา WHO ที่ดีขึ้นให้ได้ ก็จะมีวิสัยทัศน์ในตัวเอง และมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนขึ้น พอวิสัยทัศน์ชัดเจนแล้ว ก็สร้างทีม WHO ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ สิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า ผู้นำการเปลี่ยนแปลง แนวคิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงนี้จัดว่า เป็นเรื่องความเป็นผู้นำอันดับ 1 ซึ่งมีลักษณะ 4 อย่างด้วยกัน คือ

  1. พิจารณาเป็นรายคน คนที่เป็นผู้นำควรดูแลลูกน้องแต่ละคนในทีม ให้คำปรึกษา เป็นโค้ชให้ และรับฟังปัญหาของแต่ละคน โดยคิดถึงนิสัยที่แตกต่างกัน
  2. ให้คิดเองบ้าง ผู้นำต้องท้าทายวิธีคิดของแต่ละคน กล้าเสี่ยง และขอความคิดเห็นต่าง ๆ จากคนในทีม ต้องส่งเสริมให้ทีมกล้าคิดสร้างสรรค์ ให้ทีมรู้จักคิดเองทำเอง ต้องช่วยสร้างความมั่นใจให้ทีม พวกเขาจะได้ตัดสินใจเอง
  3. สร้างแรงบันดาลใจ ผู้นำมีหน้าที่แสดงวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นเต้น และสร้างแรงบันดาลใจ ท้าทายให้ทีมยกระดับมาตรฐานตัวเองให้สูงขึ้น
  4. เป็นแบบอย่างที่ดี ในฐานะผู้นำต้องทำตัวเป็นคนที่ผู้อื่นชื่นชม ต้องมั่นใจในตัวเอง สร้างวัฒนธรรมขึ้นมา

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ต้องมุ่งมั่นกับเป้าหมายของตัวเองให้เต็มที่ แล้วยังต้องทำให้ WHO มุ่งมั่นไปพร้อม ๆ กันด้วย ถึงแม้ทีมจะต้องเผชิญปัญหา พวกเขาก็มั่นใจและยืดหยุ่นพอจะรับมือสถานการณ์ยาก ๆ ได้

แสดงความมุ่งมั่นและความมั่นใจให้ WHO ได้เห็น คนทำธุรกิจคือคนที่ได้ข้ามสะพานความเสี่ยง จากได้เงินตามเวลาที่ทำงานไปเป็นได้เงินตามผลลัพธ์มาแล้ว ไม่มีอะไรรับประกันรายได้ให้พวกเขา ไม่มีใครจ่ายเงินให้พวกเขาทุกสิ้นเดือนอีกต่อไป พวกเขาอยู่ได้เพราะรู้จักสร้างโอกาส สร้างมูลค่าให้ลูกค้าของเขา บางครั้งพวกเขาก็ลงแรงและเวลาไปตั้งมากมาย แต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลย

บางครั้งพวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่กลับได้ผลลัพธ์ดีเกินคาดเสียอย่างนั้น สิ่งที่พวกเขาสนใจคือผลลัพธ์ ไม่งั้นก็จะไร้รายได้เข้ามาเดินงานต่อ ถ้าอยากได้อิสระที่มากขึ้น ต้องเน้นมองที่ผลลัพธ์ ต้องปล่อยให้ WHO เป็นคนสร้างผลลัพธ์ให้ ต้องให้อิสระเพราะเขาได้ทำงานและหาวิธีแก้ปัญหาให้แบบของตัวเองไป

จากทฤษฎีการค้นหาตัวตน (Self-Determination Theory) มนุษย์ทุกคนจะมี 3 อย่างที่อยากได้จากการทำงานคือ

  1. การให้แสดงความสามารถ
  2. อิสระในการทำงาน
  3. ความสัมพันธ์เชิงบวกที่มีความหมาย

สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริม 3 ข้อนี้ จะทำให้คนเรามีแรงจูงใจ มีสุขภาพกายและใจที่ดี และทำงานได้เต็มศักยภาพ ผู้นำมีหน้าที่บอกเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วให้อิสระกับคนทำงาน มุ่งมั่นกับผลลัพธ์ ยืดหยุ่นกับกระบวนการ คนเป็นผู้นำมีหน้าที่บอกว่าอยากได้อะไร ก็คือกำหนดว่าจะเอาผลลัพธ์อะไร เป้าหมายคืออะไร แล้วคอยชี้แนะเวลาลูกน้องต้องการ ผู้นำไม่ได้มีหน้าที่อธิบายว่าต้องทำงานยังไง WHO ต่างหากที่รู้ดีที่สุดว่าจะทำงานให้เสร็จยังไง พวกเขาแค่ต้องรู้ว่างานที่เสร็จหน้าตาแบบไหนก็เท่านั้น

จุดนี้ที่ Impact Filter มีบทบาทสำคัญ เพราะมันจะช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน เวลาเจอปัญหาใด ๆ พอสร้างเกณฑ์ความสำเร็จที่ชัดเจนขึ้นมาได้ ทีนี้ WHO ก็จะไม่หลงทางแล้ว พร้อมกันนั้นก็มอบอิสระให้พวกเขาทำเกณฑ์ความสำเร็จนั้น ๆ ให้เกิดขึ้นจริงได้

บทที่ 6 ถ้ามีเงินพอแก้ปัญหาได้ ชีวิตนี้ก็ไร้ปัญหาอีก

ทุกการลงทุนแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ อย่างเงินแค่ไม่เท่าไหร่ก็เป็นการลงทุนให้กับตัวเองทั้งนั้น จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ก็พยายามทำ HOW ทั้งหลายเองทั้งนั้น เพราะวัฒนธรรมมันล้างสมองให้เลี่ยงเสียต้นทุน แทนที่จะยอมลงทุนเพื่อตัวเองและอนาคต ผลก็คือยอมทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพหรือยุ่งยากเอง ทั้งที่ไม่ได้เชี่ยวชาญหรือสนใจ แล้วก็เชื่อว่าการมุมานะทำงานหนัก หรือการทำงานเหล่านั้นมันคุ้มค่าแล้ว แม้ว่าการมีจรรยาบรรณในการทำงานจะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร แต่ก็ต้องระวังด้วย ความสำเร็จไม่ได้มาจากเวลาและแรงที่เสียไป แต่ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ บ่อยครั้งที่คนเรามองงานหนักเป็นเหมือนสิ่งแสดงความภาคภูมิใจ แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังนั่งงม HOW ทั้งที่สามารถปล่อยให้ WHO คนอื่นทำออกมาได้ง่ายกว่าและดีกว่าได้

เรื่องใจที่คิดแต่ต้นทุน ต้องเรียนรู้ค่าเสียโอกาสของ HOW ว่า ถ้าทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะทำให้พลาดโอกาสในการเติบโต ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนใน WHO ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ามหาศาลทีเดียว แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ลงทุนกับอะไรแบบนั้น พวกเขาไม่เห็นว่าการลงทุนนั้น ๆ จะนำไปสู่เงินที่มากกว่านั้นได้ ถ้าคิดว่ามันเป็นต้นทุนก็จะยึดติดกับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และมุ่งเน้นผลลัพธ์ระยะสั้น จะมอง WHO เป็นต้นทุน หมายความว่าจะไม่สามารถสร้างความร่วมมือเจ๋ง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย ถ้าเลือกคนดี ๆ ให้เหมาะกับวิสัยทัศน์ WHO จะไม่เป็นต้นทุน เมื่อเปลี่ยนโฟกัสจากต้นทุนไปเป็นการลงทุน จะเลิกกังวลว่าเสียอะไรไป แต่จะรู้ว่าการตัดสินใจที่ทรงพลัง จะสร้างผลกำไรมหาศาลได้

Part 3 อิสระทางความสัมพันธ์

บทที่ 7 เป็น WHO ที่ดีได้ยังไง

มีวิธีเข้าหาคน พัฒนาคน และวิธีรักษาความสัมพันธ์ ถ้าอยากท่องไปในเครือข่ายได้อย่างราบรื่น และอยากประสบความสำเร็จไปพร้อมกับคนเก่ง ๆ ระดับนั้นแล้ว ต้องเข้าใจก่อนว่าความสัมพันธ์ที่ทุกคนส่งเสริมกันมันเป็นยังไง นี่เป็นขั้นตอนที่ละเอียดไม่น้อยเลย จะต้องผ่านมันไปก่อน และถ้าอยากให้ได้ประโยชน์สูงสุด พอเข้าไปได้เมื่อไหร่ก็ต้องสร้างความสัมพันธ์ในแบบที่ตรงข้ามกับความสัมพันธ์ปกติในสังคม

เมื่อเข้าใจวิธีการเข้าหาความสัมพันธ์ในระดับที่สูงขึ้น มีกลยุทธ์และมีสติแล้ว ก็จะทำความรู้จักคนได้แทบจะทุกคนเลย จะสร้างการร่วมมือกันที่ใหญ่กว่าเดิมถึง 10 เท่า 100 เท่าหรือมากกว่านั้นก็ได้ หรือก็คือจะได้สานสัมพันธ์ที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็จะให้ผลตอบแทนที่ก้าวกระโดดพุ่งขึ้น จะได้เติบโตขึ้นอีกมากในแบบที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง

มารู้จักวิธีลับคมประสาทสัมผัส เพื่อที่จะได้สัมผัสอิสระทางความสัมพันธ์อย่างแท้จริง จะไม่เพียงรู้วิธีผูกมิตร WHO ที่จำเป็นต่อการทำเป้าหมายให้สำเร็จ แต่จะยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และมีคุณภาพมากขึ้นกับทุกคน ด้วยโอกาสสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนรอบตัว เมื่อมีอิสระทางการเงินและเวลามากขึ้นแล้ว จะมี WHO มากขึ้น ซึ่งไม่ได้แค่เข้ามาช่วยทำเป้าหมายให้สำเร็จเท่านั้น แต่ยังทำให้ชีวิตรู้สึกมีเป้าหมายและมีความหมายมากขึ้นด้วย อิสระทางความสัมพันธ์ก็จะวัดจากความสามารถที่จะรู้จักคนและสร้างความสัมพันธ์ ยิ่งมีอิสระก็ยิ่งเข้าถึงคนได้มาก แต่ไม่ใช่เท่านั้น ยังจะเก่งคนและมีเหตุผล ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับ WHO ที่เลือกได้ด้วย

ต้องสร้างมูลค่าขึ้นมาก่อน แทนที่จะถามว่าทำแล้วได้อะไร? ให้ถามกลับว่าทำแล้วพวกเขาได้อะไร? การถามว่าทำแล้วได้อะไรเป็นการเข้าหาคนที่แย่มาก จะสร้างความสัมพันธ์ที่ทุกคนส่งเสริมกันขึ้นมาไม่ได้เลย ถ้ายังคิดเห็นแก่ตัวยังเป็นฝ่ายรับอยู่แบบนี้ การคิดว่าทำแล้วได้อะไรแบบนี้คือความคิดแบบแคบ ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งก็จะดึงคนประเภทเดียวกันเข้ามา จงหนีคนประเภทนี้ให้ไกลเลย พวกเขาเป็นผู้รับไม่ใช่ผู้ให้ เป็นปรสิตที่อยู่เพื่อดูดเอามูลค่าที่ตัวเองหมายตาไว้ จากกลุ่มคนหรือความสัมพันธ์ทั้งหลายจนหมด แล้วโดดไปหาเหยื่อรายต่อไป

ก่อนที่จะทำความรู้จักกับใคร ให้ทำการบ้านก่อน ให้รู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร ชีวิตเป็นแบบไหน คิดว่าเรื่องอะไรสำคัญ ใส่ใจเรื่องอะไร และอยากทำสิ่งใดให้สำเร็จบ้าง ถึงตอนนั้นค่อยเข้าไปสานความสัมพันธ์อย่างมีสติ เข้าไปเพื่อไปสร้างมูลค่าให้กับอีกฝ่าย คติสอนใจก็คืออย่าเพิ่งติดต่อกับใคร จนกว่าจะมีคุณค่าที่มอบให้อีกฝ่ายได้ และสิ่งนั้นก็จะต้องทำได้จริง และเกี่ยวข้องกับเขาด้วย ไม่ใช่แค่ไปยืนชื่นชมเยินยอเขาเฉย ๆ จงจริงใจและจงมีประโยชน์ที่แท้จริง และถ้าอยากให้ความสัมพันธ์นั้นอยู่ต่อไป ก็ต้องสร้างมูลค่าต่อด้วย เมื่อสานความสัมพันธ์กับ WHO ขึ้นมาแล้ว ลองถามตัวเองดูว่าเขาได้อะไรบ้าง เวลาคิดวิสัยทัศน์อะไรขึ้นมาสักอย่าง จงมั่นใจว่ามันตรงกับจุดประสงค์ของ WHO และช่วยให้พวกเขาทำตามสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จได้

หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์นั้นต่อไป เมื่อเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ ๆ การเป็นผู้ให้มันง่าย ปกติแล้วก็เป็นเพราะรู้ว่าจะได้อะไรจากความสัมพันธ์นั้น ๆ ตอนเพิ่งเริ่มทำงานแรก ๆ ก็ได้เงินเดือนตอบแทน แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงขึ้นมา จะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งที่เป็น อาจจะเริ่มหลงตัวเองขึ้นมาได้ ต้องระวังว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ไว้ด้วย หลาย ๆ คนอยากให้คนอื่นชอบ อยากมีคนยกย่องเกินกว่าที่ทำดีไป พอเน้นอยากได้อะไรแบบนั้นเมื่อไหร่ที่ได้มันมาครอง ก็จะเหลิงกับความสำเร็จนั้น ถ้าอยากรู้ว่าจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นในแบบที่มีสติ และได้ประโยชน์ร่วมกันได้ยังไง งานอาสาสมัครก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง เรียนรู้ที่จะมอบให้ผู้อื่นโดยไม่ต้องหวังอะไรตอบแทน รู้จักอุทิศตัวเองให้กับบางอย่าง ให้กับเป้าหมายของผู้อื่น ถึงอาจจะไม่มีใครเห็นความดีก็ตาม ถ้ามีประโยชน์และทำตัวมีน้ำใจต่อไปเรื่อย ๆ โลกก็จะใจดี จะมีโอกาสทั้งหลายเข้ามาไม่หยุด เพราะมีอิสระทางความสัมพันธ์ จงทำตัวให้มีประโยชน์ต่อ WHO ต่อไป โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในชีวิตมานานมากแล้ว

ความสำคัญของการรู้คุณ การรู้คุณนี่สำคัญมาก แน่นอนว่าต้องรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ก่อนแต่ก็ต้องให้สม่ำเสมอด้วย เวลารู้สึกแบบนั้นคนอื่นเขาก็อยากเข้ามาช่วยมากกว่าเดิม อยากทำงานด้วย อยากอยู่ใกล้ คนเรามีความต้องการลึก ๆ คืออยากได้รับคำชื่นชม จงเห็นค่าคนอื่น เมื่อขอบคุณพวกเขาด้วยใจจริง และในแบบที่ไม่เห็นแก่ตัวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกเขาทำ ก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน จะทำให้ใจดีขึ้น ถ่อมตัวขึ้น และเป็นคนที่มีความสุขมากขึ้นด้วย จะดึง WHO เข้ามาในชีวิตมากขึ้น จะดึงดูดคนดี ๆ เข้ามา และสร้างความมั่งคั่งขึ้นได้

บทที่ 8 เลี่ยง WHO ที่แม้จะหน้าเย้ายวนใจ

แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่คนที่ใช่

ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนที่ทำงานหนักเกินไป ติดบ่วงให้ทำมากขึ้นกว่าเดิมตลอดเวลา เชื่อว่าการทำงานมากขึ้น มีลูกค้ามากขึ้น จะเพิ่มรายได้และความสำเร็จให้ แต่การทำงานเยอะเกินไปเหมือนทรมานตัวเอง ให้พยายามทำได้เหมือนตัวตนที่แสดงออกให้ลูกค้าเห็น ว่าสำเร็จมากแค่ไหน การพยายามทำงานหนักเกินไป สุดท้ายมันก็จบไม่สวย การหา WHO และจ้างคนภายนอกจึงเป็นสิ่งจำเป็น ช่วยให้ใช้เวลาได้มีค่ากว่าเดิม โดยที่เสียเวลาไปน้อยนิดเท่านั้น ซึ่งก็เพิ่มรายได้ทำให้มีเวลามากขึ้น

เรียนรู้จากผู้นำให้มากขึ้นได้จากการสังเกตสิ่งที่พวกเขาบอกปฏิเสธ สัญชาตญาณจะบอกให้รู้ว่าคุณที่จะต้องตึงมือแน่ ๆ คือ อีกฝ่ายจะวางท่าใหญ่โต และจากนั้นเขาก็เอารายการที่ต้องทำตามหากได้ร่วมงานจริง ๆ ให้ดู นี่เหมือนกับการไปหาหมอ แล้วไปบอกหมอว่าต้องสั่งยาอะไรให้บ้าง และบ่อยครั้งแค่ไหนแบบนั้นเลย คนนี้ไม่ได้อยากได้ WHO เก่ง ๆ มาช่วยทำ HOW ให้ เขาอยากสั่ง WHO ว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ต่างหาก ความคาดหวังพวกนี้นอกจากจะไร้เหตุผลแล้ว ยังไร้ประสิทธิภาพด้วย

การบอกปฏิเสธทำให้ได้ความเชื่อใจ และความมั่นใจมหาศาลจากทีม ทุกคนล้วนแต่โล่งใจที่เลือกในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าเงิน เรื่องน่าปวดหัวเลยหายไป ทำให้ทีมมีความสุขและมีความชัดเจน ได้พัฒนากับการสร้างอิสระทางความสัมพันธ์ขึ้นมา จะสามารถทำแบบนั้นได้ต้องเคยเห็นผลกระทบจากการทำงานกับลูกค้าที่ไม่เหมาะกับทีมมาแล้ว

เวลาเจอลูกค้าแบบนั้นก็มักจะเป็นความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด และมีแต่ความเคืองใจทั้งนั้น วิสัยทัศน์และค่านิยมของสองฝ่ายไม่ตรงกัน ซึ่งก็ไม่มีใครแก้อะไรตรงนั้นได้ ในกรณีที่ต้องทำงานกับลูกค้าที่ไม่เหมาะกัน สุดท้ายความสัมพันธ์ก็จะจบลง จากการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกลากันอยู่ดี การจะมีทั้งอิสระทางเวลาและอิสระทางการเงิน ผลลัพธ์ก็คือจะต้องชัดเจนกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ และสิ่งที่บริษัทต้องการ เลือกคนที่อยากทำงานด้วย และเลือกคนที่อยากใช้เวลาด้วยได้

จงเป็นคนซื้อ จากงานวิจัยโดยนักจิตวิทยาฮาวาร์ด ดร.แดเนียล กิลเบิร์ต ทั้งบุคลิกภาพ ความชอบ และทัศนคติของเราจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ดร.กิลเบิร์ตพบว่า คนเรารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่มักจะเป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิตตัวเองได้เวลามองย้อนกลับไปหาตัวเองในอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน ลองใช้เวลานั่งคิดกับคำถามเหล่านี้ดู

  1. 5 ปีที่ผ่านมานี้เปลี่ยนไปยังไงบ้าง ในเรื่องประเภทคนที่เลือกคบหาด้วย
  2. มีสิ่งไหนบ้างที่ไม่ทนกับมันแล้ว
  3. เป็น WHO ที่ดีขึ้นให้คนอื่น ๆ ได้ยังไง

จงเป็นผู้ซื้อ หมายความว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ควรจะเป็นคนที่ซื้อไม่ใช่คนที่ขาย คนซื้อปฏิเสธคนขายได้ แต่คนขายปฏิเสธคนซื้อไม่ได้ และนั่นคืออิสระทางความสัมพันธ์ จะเป็นผู้ซื้อในทุก ๆ ด้านของชีวิตตัวเองได้ ด้วยการกล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่ตรงกับหลักการของตัวเอง การจะเป็นผู้ซื้อได้ต้องมีความกล้า แต่ยิ่งนานจะยิ่งมองหาความสัมพันธ์แบบนั้น จะเลือกคบคนเพราะรู้แล้วว่าอนาคตตัวเองจะเป็นแบบไหน วิสัยทัศน์จะเป็นยังไง อะไรสำคัญหรือไม่สำคัญกับตัวเอง

พอเริ่มกล้าปฏิเสธคนที่ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่อยากทำ สถานการณ์ที่รู้สึกไม่ถูกต้อง ตอนนั้นจะเริ่มมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองมีเป้าหมายมากขึ้น จากนั้นก็จะสนใจแต่ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ แบบที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และช่วยให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นได้

บทที่ 9 วิธีสร้างความร่วมมือที่ดี

เวลาเห็นงานเจ๋ง ๆ สักงานออกมา มันมาจากการทำงานร่วมกัน เช่น การเล่นกอล์ฟ กอล์ฟดูเหมือนจะเป็นกีฬาเล่นคนเดียว แต่ถ้าลงลึกจริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย นักกอล์ฟควรจะลงเล่นคนเดียว แต่นักกอล์ฟจะสามารถเอาแคดดี้ไปได้ด้วย แคดดี้จะคอยถือถุงกอล์ฟและไม้กอล์ฟให้ แต่ก็ยังคอยแนะนำและเป็นกำลังใจ แคดดี้เป็นคนที่คอยช่วย เป็นครู เป็นนักกลยุทธ์ และนักจิตวิทยาไปพร้อมกัน ถึงแม้พวกเขาจะดูไม่สำคัญ แต่แคดดี้เก่ง ๆ จะเป็นจุดตัดสินอาชีพนักกอล์ฟระดับสูงได้เลย

จงเปิดใจและยอมฟังคำแนะนำผู้อื่น หลักสำคัญแรกในการมีทีมเวิร์คที่ดีก็คือ อย่าคิดว่าตัวเองรู้ดี ต้องเปิดใจรับฟังความคิดคนอื่น ๆ ต้องยอมรับว่าความคิด วิธีแก้ปัญหา หรือกลยุทธ์ของคนอื่น ๆ อาจเหนือกว่ามากก็ได้ และมันเป็นเรื่องที่ดี เฮนรี่ ฟอร์ด ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล และเป็นนักคิดสร้างสรรค์ได้ เพราะเขารู้ว่าตัวเองไม่รู้ แทนที่เขาจะต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องเอง หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญทุกอย่าง เขากลับรู้จัก WHO เขายอมรับและใฝ่หามุมมองจากคนอื่น เขามีคนเก่ง ๆ มาออกแบบ สร้าง ผลิต ขาย และจัดจำหน่ายรถยนต์ให้ หากมีแค่ตัวคนเดียวถึงจะเก่งกาจแค่ไหน ยังไงก็มีมุมมองจำกัด เมื่อรวมมุมมองและฝีมือของตัวเองเข้ากับคนอื่น ๆ แนวคิดและผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะยิ่งดีขึ้น

ฟังคำวิจารณ์ให้เร็วพร้อมกับให้กำลังใจ (ใช้กฎ 80%) ความคิดสร้างสรรค์ ทีมเวิร์ค และนวัตกรรม มันต้องกลับไปกลับมา ไม่ใช่นั่งคิดคนเดียวแล้วจะคิดออก แทนที่จะนั่งอยู่คนเดียวเพื่อทำให้ไอเดียออกมาสมบูรณ์แบบ โดยไร้เสียงตอบรับใด ถ้าโยนไอเดียออกมาลองเร็ว ๆ รับฟังเสียงตอบรับจากทีม แล้วปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จะทำได้เร็วกว่ามาก ยิ่งเอางานที่ยังไม่สมบูรณ์ออกไปฟังเสียงตอบรับเร็วแค่ไหน มันก็จะยิ่งเปลี่ยนไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้เร็วขึ้น

ตามกฎ 80% ซึ่งคนเราสามารถเข็ญงานไปให้ถึง 80% ได้ไวมาก แต่การจะดันจาก 80% ไปให้ถึง 90% นี้มันยากกว่าการทำจาก 0 ถึง 80% อีก แล้วการจะก้าวจาก 90% ไป 100% ก็คืองานหินมาก ๆ ให้ผู้รับหน้าที่เป็น WHO ทำเท่าที่ทำได้ แล้วรีบส่งมันไปหา WHO คนต่อไป ยิ่งพยายามทำมันให้สมบูรณ์แบบก่อนได้รับเสียงตอบรับก็จะยิ่งทำช้าลงไปด้วย เอา WHO เข้ามาช่วย อย่าทำทุกอย่างเพียงลำพัง ยิ่งเอาทีมเข้ามาช่วยได้เร็วขึ้น งานก็จะออกมาเร็วขึ้นและดีขึ้น อีกทั้งพอมีกำลังใจแล้ว จะฟันฝ่าความท้าทายไปได้ แทนที่จะผัดวันมันไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็คือจะชินกับการเผยแพร่ หรือส่งงานชิ้นที่ยังไม่สมบูรณ์ออกไป มันไม่มีอะไรที่เสร็จสมบูรณ์ มีแต่เสร็จก็เท่านั้น ทำเสร็จย่อมดีกว่าทำได้สมบูรณ์แบบ

สื่อสารอย่างเปิดกว้างและรวดเร็ว (และขอความช่วยเหลือ) ระหว่างที่กำลังไขว่คว้าหาเป้าหมาย สักวันก็ต้องเจอกับอุปสรรค HOW ทั้งหลายที่ทำอยู่อาจจะยาก หรืออาจจะเกิดเรื่องที่คุมไม่ได้ขึ้นมา ยิ่งเปิดใจซื่อตรงกับคนรอบตัวว่า รู้สึกยังไงได้เร็วก็จะเดินหน้าไปได้ไวขึ้น เวลาติดหรือไปไหนไม่ได้ ที่เลวร้ายที่สุดคือการเก็บเรื่องนั้นไว้คนเดียว เมื่อกล้าซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง จะเห็นอารมณ์ตัวเองต่างออกไป พอได้สื่อสารมันออกมาแล้ว ก็จะได้เดินหน้าต่อด้วย เพราะแทนที่จะเลี่ยงความรู้สึกเจ็บปวด กลับมีความมุ่งมั่นที่จะมุ่งหน้าเดินต่อไป ทุกความก้าวหน้าเริ่มขึ้นได้ด้วยการพูดความจริง

สิ่งแรกที่ต้องแก้ก่อนเลยคือ สภาพอารมณ์ การที่ใครสักคนจะเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาได้ เขาต้องเห็นเส้นทางข้างหน้าที่ชัดเจนเสียก่อน หลายครั้งที่ต้องมี WHO มาช่วยกรุยทางนั้นจะได้เดินหน้าต่อได้ การกล้าสื่อสารมันออกไปให้เร็ว แล้วจงเรียนรู้ให้หนักว่า ประสบการณ์ที่เจอไม่ว่าจะมีภาระหน้าที่หรือความท้าทายอะไร ยิ่งสื่อสารสิ่งที่อยากได้ออกไปได้เร็วก็ยิ่งดี นอกจากจะโล่งใจแล้ว จะยังได้ความชัดเจน ทำให้มีแรงบันดาลใจทำงานต่อได้ จะรู้ซึ้งถึงเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นอย่างหนึ่งนั่นคือ คนรอบตัวและทีมต่างก็รักและเห็นใจ

จงเป็นฮีโร่ให้ทีม ถ้าอยากเป็นฮีโร่ให้เพื่อนร่วมงานจริง ๆ จงเคียงข้างพวกเขาทำงานตัวเองให้ดีที่สุด แล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ถ้ามุ่งประโยชน์ส่วนตัว เน้นแต่ผลงานของตัวเอง ก็จะประสบความสำเร็จในระยะสั้น แต่จะไม่อาจฝ่าฟันอุปสรรคใหญ่บางอย่างที่จะต้องเกิดขึ้นในโปรเจ็กใหญ่ ๆ ได้เลย ถ้าอยากเอาชนะความยุ่งเหยิงในโปรเจ็กใหญ่ได้ ต้องเล่นให้เป็นทีมและพาทุกคนไปข้างหน้าด้วยกันทุกคน ในทีมควรอยากเป็นฮีโร่ให้กันและกัน

Part 4 อิสระทางเป้าหมาย

บทที่ 10 เลิกแข่งหันมาร่วมมือ

อิสระแห่งเป้าหมายคือ การรู้ถึงวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเอง เมื่อมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำอยู่ได้ ก็จะมีชีวิตให้เติมเต็มกลายเป็นคนที่สมบูรณ์และมีความสุข ยิ่งรู้จุดมุ่งหมายของตัวเอง ชีวิตก็จะยิ่งมีความหมายขึ้นเท่านั้น และก็จะทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายนั้นให้ได้ เพื่อสร้างมูลค่าหรือผลกระทบบางอย่างให้คงอยู่ไว้ได้ ต้องเลิกแข่งและหันไปร่วมมือ ต้องเลิกทำงานคนเดียว แล้วเอาความเครียดจากการลงมือทำ HOW ทั้งหมดมาลงที่ตัวเอง ต้องหา WHO ที่เหมาะสมมาทำงานให้ในแบบที่ดีกว่าที่ทำเอง นี่คือผลที่ได้จากการมี WHO เข้ามาช่วย โปรเจ็กจะสำคัญขึ้นและน่าประทับใจขึ้น นี่คือตัวอย่างของการขยายอิสระทางเป้าหมาย ผ่านการใช้ WHO NOT HOW ซึ่ง WHO ที่ดีจะมีลักษณะและมุมมองที่เหนือกว่า เมื่อนำ WHO มาช่วยงานที่ทำอยู่ เป้าหมายที่วาดออกมาทีแรกก็จะถูกพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ผลลัพธ์จะออกมาดีกว่าที่ทำได้เอง

หยุดวิ่งตามเป้าหมายคนเดียว ในโลกแห่งธุรกิจและความเป็นจริง การร่วมมือคือทุกสิ่งอย่าง การได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้สร้างความสำเร็จในชีวิตได้ แต่ยังทำให้รู้สึกมีคุณค่า รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างได้ ถ้าเน้น HOW จะออกห่างจากเป้าหมายทันที การเอาแต่มอง HOW มาจากความเข้าใจผิดว่า ต้องเป็นคนทำงานทุกอย่างเองแบบ 100% มันอาจจะเป็นจรรยาบรรณในการทำงานที่ดี แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่วิธีที่ชาญฉลาด การทำงานเยอะหรือทำงานจนตัวตาย ไม่ได้การันตีว่าจะได้รางวัลอะไรกลับมาเลย เขามองกันที่ผลลัพธ์

ถ้าวิ่งไล่เป้าหมายอยู่คนเดียว มันจะทำลายมุมมองได้ ยาแก้เรื่องนี้คือการถามว่าใครจะช่วยให้ทำมันได้สำเร็จบ้าง ประเด็นคือไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ที่ไม่ได้ทำทุกอย่างด้วยมือตัวเอง การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่ได้ด้อยค่าลงเลย และไม่ได้โกงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนเก่ง ๆ อีกมากที่อยากช่วยให้บรรลุเป้าและจุดมุ่งหมายทั้งหลาย แทนที่จะเอาเวลาไปนั่งรู้สึกผิดและหงุดหงิด ถูกขีดจำกัดตีกรอบ ก็สามารถรู้สึกปลื้มที่มีคนเก่ง ๆ ที่จะเข้ามาช่วยได้ แถมเขายังอยากช่วยด้วย

การแข่งขันเกิดจากอีโก้และกรอบความคิดแบบขาดแคลน มนุษย์เราอยู่รอดและสร้างอารยธรรมมาได้ เพราะเราสื่อสารและร่วมมือกับผู้อื่น กระนั้นคนส่วนมากก็ไม่ได้พัฒนาความสามารถ ในการสร้างวิสัยทัศน์ตัดสินใจเป็นผู้นำหรือสร้างทีมขึ้นมา วัฒนธรรมกว่า 100 ปีที่ผ่านมาต่างเน้นย้ำ และส่งเสริมให้มีการแข่งขัน และลงมือทำ HOW กันทั้งนั้น

ระบบการศึกษาของเราถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อป้อนคนเข้าโรงงาน นักเรียนไม่ได้ถูกสอนให้ร่วมมือกัน ให้เป็นผู้นำ ให้ทำงานเป็นทีม แต่กลับถูกสอนให้ชินชากับการทำ HOW และทำข้อสอบที่ไร้ความหมาย ซึ่งจับต้องไม่ได้แทน ระบบนี้ส่งเสริมให้แข่งขันกัน โดยตัดสินค่าตามคะแนนสอบหรือการบ้าน แทนที่จะมองจากสิ่งที่เขาทำได้ จึงไม่แปลกที่วัฒนธรรมในสังคมสมัยใหม่ จะส่งเสริมให้แข่งขันกัน โดดเดี่ยว และทำงานคนเดียว แทนที่จะให้ร่วมมือกัน

วัฒนธรรมในที่ทำงานส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เรียกกันว่า วัฒนธรรมระดับ 3 ซึ่งมีลักษณะที่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเอาตัวรอด และแข่งขันกัน ทุกคนพร้อมจะแทงข้างหลัง นินทา หรือทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมงานให้ได้ ที่หายากกว่าคือวัฒนธรรมระดับ 4 ที่เน้นให้ทำงานร่วมกันและร่วมมือกัน โดยจะเน้นความสำเร็จของทั้งกลุ่มไม่ใช่รายบุคคล วัฒนธรรมระดับ 4 นั้นได้ผลกว่า และสร้างความสำเร็จได้มากกว่าวัฒนธรรมระดับ 3 ในธุรกิจและกีฬา

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ข้อมูล และโลกาภิวัตน์แล้ว ตอนนี้โลกเองก็กำลังก้าวข้ามกรอบความคิดธรรมดา ๆ และแนวคิด HOW ที่มีข้อจำกัดไป ระบบการศึกษาถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังถูกปรับปรุงให้เหมาะกับโลกยุคใหม่ คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อยากทำงานที่ได้ร่วมมือกัน ยืดหยุ่น และมีความหมาย คนที่สร้างสายสัมพันธ์กับที่ปรึกษา ครู เพื่อน และพันธมิตรเก่ง ๆ ก็จะมีศักยภาพในการสร้างเงินและอิสระได้มาก

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากความเร็วในความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแล้ว HOW ที่เคยทำโดยบุคคลที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน กำลังถ่ายไปเป็นการจ้างจากภายนอก และมอบหมายงานทั้งหลายให้กับเครื่องจักรแทน ไม่ว่าจะคิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถแค่ไหน อีกไม่กี่ปีถัดจากนี้ทักษะเหล่านั้นจะไม่มีมูลค่าอีกต่อไป แต่ความสามารถในการเชื่อมถึงผู้คน เรียนรู้ และร่วมมือกับคนอื่น ๆ จะยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นในสังคมวันนี้ เพราะไม่ได้อยู่ในโลกของ HOW ที่มีข้อจำกัดอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ในโลกที่ WHO และเทคโนโลยีทำให้ดึงเอาผลลัพธ์ออกมาได้เร็วกว่า และมากกว่า มีอิสระได้มากกว่าที่เคย ยุคแห่งการแข่งขันกันและเน้น HOW กำลังจะตาย ด้วยเหตุนี้เลยสร้างอิสระทางเป้าหมายได้มากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น มีโอกาสมากขึ้น สร้างทีมมาสนับสนุนง่ายขึ้น และสร้างผลกระทบที่จับต้องได้ต่อผู้คนทั่วโลกง่ายขึ้น

บทที่ 11 WHO ขยายวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมาย

นักจิตวิทยาเรียก อคติหาสาเหตุ (Correspondence Bias) ว่ามันคือการที่ผู้คนมีแนวโน้มเน้นอธิบายการกระทำต่าง ๆ ว่าเกิดจากนิสัย บุคลิก หรือตัวตนของคนนั้น ๆ มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับปัจจัยแวดล้อมรอบข้าง คนเรามักเน้นให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมาก จนมีอคติมองคนว่า การกระทำของเขาขึ้นอยู่กับนิสัยของเขาล้วน ๆ แทนที่จะมองว่าเป็นผลมาจากปัจจัยทางสังคม และสภาพแวดล้อมด้วย เพราะมี WHO เลยสามารถขยับขยายจุดมุ่งหมายของตัวเองขึ้นมา และส่งอิทธิพลไปถึงคนอื่น ๆ ได้ ตัวตนและจุดมุ่งหมายจะพัฒนาขึ้น เมื่อได้สัมผัสแรงผลักดันและแรงสนับสนุนจากครูที่ใช่ อีกทั้งการมี WHO มาช่วยคว้าเป้าหมาย และช่วยเรื่องวิสัยทัศน์ จะทำให้วิสัยทัศน์นั้นเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังมีอีกอย่างที่สำคัญมาก เวลาที่มีWHO เข้ามาในทีมคือ นอกจากจะทำให้ทุกคนมีแรงจูงใจ และจุดมุ่งหมายมากขึ้นแล้ว มันยังทำให้มีความมั่นใจที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ใหญ่ขึ้นด้วย

อยากเป็นฮีโร่ของใคร บริษัททำความสะอาด JANCOA ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 เดิมมันเป็นธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ แต่ใน 6 ปีที่ผ่านมามันได้โตขึ้นเกือบ 2 เท่า ทั้งที่ไม่มีทีมฝ่ายขายและไม่ได้โฆษณาอะไรเลย บริษัท JANCOA ครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 80% ของบริการทำความสะอาดออฟฟิศในเมืองซินซินเนติ จนคู่แข่งแทบงงงวยกับวิธีที่ JANCOA ใช้ทำธุรกิจมาก แมรี่ มิลเลอร์ CEO และเจ้าของบริษัท JANCOA เล่าว่า สาเหตุหลัก ๆ ที่พวกเขาสำเร็จได้นั้น เป็นเพราะพวกเขาเห็นคุณค่ามนุษย์ในตัวพนักงาน และใช้ JANCOA เป็นแพลตฟอร์มเพื่อช่วยให้ทุกคนทำตามฝัน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดใน JANCOA เมื่อแมรี่กับโทนี่สามีผู้ก่อตั้งได้ทำความรู้จักกับพนักงานของตัวเองขึ้นมาจริง ๆ คุณภาพชีวิตพนักงานเป็นเรื่องที่สำคัญต่อแมรี่กับโทนี่มาก พวกเขามุ่งมั่นอยากทำลายอุปสรรคทั้งหลาย ที่ขัดขวางความสำเร็จของพนักงานทุกอย่างไปให้ได้ พวกเขาอยากพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงานให้ดีขึ้นในทุกแง่มุม ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เพียงกำจัดอุปสรรคแต่ยังมุ่งมั่นช่วยให้พนักงานพบความหมายและเป้าหมายในชีวิตอีกด้วย พวกเขาสนับสนุนให้พนักงานมีความทะเยอทะยานให้เหนือไปกว่า JANCOA ให้พวกเขาใช้บริษัท JANCOA เป็นทางผ่านเพื่อไปให้ถึงฝันนั้นได้ บริษัทนี้มีวัฒนธรรมที่ใส่ใจกัน แต่ที่มากกว่านั้นคือพนักงานของ JANCOA เก่งขึ้น และพัฒนาตนเองได้มากขึ้นจากการทำงานที่นี่

ถ้าคนเราไร้จุดหมายงานจะออกมากลวง เพราะมองแค่ว่าเป็นการทำงานแลกเงินเท่านั้น แต่ถ้าคนเรามีจุดหมายจะไม่ทำงานแบบขอไปที จะลงลึกไปกว่านั้น จะกลายเป็นผู้สร้าง จะเต็มใจยอมทำเหนือกว่าหน้าที่ จะใส่จิตวิญญาณลงในงาน จะพยายามแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ จะใส่ใจคนที่ทำงานให้อย่างแท้จริง พนักงานที่ JANCOA ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและมีเกียรติเป็นครั้งแรกในชีวิต พวกเขาถูกท้าทายให้ต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เปิดวิสัยทัศน์ให้กว้างไกล และใช้โอกาสนี้วาดอนาคตตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าที่ JANCOA ให้ได้

แมรี่กับโทนี่ มิลเลอร์ เน้นลงทุนกับ WHO คนสำคัญคือพนักงานของพวกเขานั่นเอง ผลก็คือลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่แตกต่าง ได้สัมผัสระดับการบริการและความใส่ใจที่มากล้น แมรี่กับโทนี่เองก็ได้เจอจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ ที่จะเปลี่ยนแปลงคน และธุรกิจของทั้งสองก็เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

บทสรุป

นำ WHO NOT HOW มาใช้กับชีวิต

วันที่ 15 สิงหาคม 1978 แดนล้มละลายเป็นครั้งแรก เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้าโดยทำงานก่อนจ่ายทีหลัง และลูกค้าหลายรายก็จ่ายเงินช้า การทำงานแล้วไม่ได้เงินมันเจ็บปวดมาก แต่หนักกว่านั้นคือวันเดียวกันกับที่เขาล้มละลาย เขาโดนภรรยาหย่า และด้วยประสบการณ์ปวดใจนี้ นับตั้งแต่นั้นแดนจึงบอกตัวเองว่า จะทำสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจน เขาเริ่มเขียนบันทึก What I Want (สิ่งที่ฉันต้องการ) ขึ้นมา และ 25 ปีถัดจากนั้น เขาก็ฝึกเขียนทุกอย่างที่เขาต้องการในชีวิตนี้มาตลอด

4 ปีให้หลัง แดนก็ได้พบกับแบ็บส์ ซึ่งในตอนนั้นเธอเป็นนักนวดบำบัด ที่เปิดคลินิกของตัวเอง ทั้งสองคนได้เป็นเพื่อนกัน หลังจากนั้นในปีเดียวกัน แดนก็สร้างกลุ่มนักธุรกิจชื่อ Strategy Circle ขึ้นมา ซึ่งตอนหลังได้กลายเป็น Strategy Coach ในปัจจุบัน แดนก็ปรับปรุง Strategy Circle มาเรื่อย ๆ ในช่วงปีแรก แดนกับแบ็บส์คอยสนับสนุนกัน และสนุกกับการได้ร่วมวางกลยุทธ์ธุรกิจร่วมกัน แดนพาแบ็บส์มาวิเคราะห์ธุรกิจของเธอผ่าน Strategy Circle เพื่อช่วยเธอพัฒนาธุรกิจที่เธอทำอยู่

แบ็บส์ถูกดึงดูดทันทีด้วยแนวคิดของแดน ที่เธอมองว่าช่างโดดเด่น น่าสนใจ และชวนหลงไหล เธอเห็นศักยภาพในงานของแดนว่าจะไปได้ไกลกว่านี้มาก แล้วเธอก็กำลังตกหลุมรักแดน ด้วยความสัมพันธ์ของทั้งสองคน จึงมากกว่าเรื่องงาน พวกเขาเป็น WHO ให้แก่กันทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่น ๆ ด้วย ในที่สุดแดนก็ต่อยอดแนวคิด Strategy Circle จนกลายเป็น Strategy Coach ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่คอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือกัน

กระบวนการพัฒนานั้นค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สร้างสรรค์ และอาจไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ หลังจากนั้นไม่นานแบ็บส์ก็ส่งต่องานคลินิกให้คนอื่นทำแทน ตั้งแต่นั้นมาแดนกับแบ๊บส์ก็มีวิสัยทัศน์ และจุดมุ่งหมายชีวิตด้านต่าง ๆ ร่วมกันมาตลอด ตอนแรกแบ็บส์เห็นว่าแดนทำทุกอย่างเองหมด เธอเลยหา WHO เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระงานเขา เรื่องนี้ทำให้แดนมีสมาธิทำงานที่ใหญ่กว่าเรื่อย ๆ ได้ ในปี 2020  Strategy Coach ก็มีพนักงานถึง 107 คน และโค้ชอีก 17 คน แดนกับแบ๊บยังคงพัฒนาวิสัยทัศน์ของ Strategy Coach ต่อไป สำหรับทั้งสองคนแล้วฮีโร่ตัวจริงของเรื่องนี้ก็ยังคงเป็น WHO NOT HOW ตลอดมาและตลอดไป

ตอนนี้ถึงตาคุณแล้ว ผู้ประกอบการทั้งหลายที่ประสบความสำเร็จ และมีวันนี้ได้ล้วนนำWHO NOT HOW ไปใช้กันอย่างไม่รู้ตัวทั้งนั้น ทุกความสำเร็จในโลกธุรกิจล้วนเกิดขึ้นได้ เมื่อผู้ประกอบการตามหา WHO มาช่วย แทนที่จะทำ HOW ทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อนำ WHO NOT HOW ไปใช้ได้สำเร็จแล้ว มันจะกลายเป็นวิธีการทำงานเดียวแบบที่เปลี่ยนไม่ได้อีกต่อไป จะได้รับอิสระและประสบการณ์ที่จะทำให้ตื่นตาตื่นใจ ประโยชน์จากการใช้ WHO NOT HOW มันมากจนประเมินค่าไม่ได้ เพราะมันช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้อิสระที่มีทั้งด้านเวลา เงิน ความสัมพันธ์ และจุดมุ่งหมายนั้น ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบที่ใช้ทำงาน

การใช้ WHO NOT HOW ไม่เพียงจะทำให้เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่ยังเปลี่ยนชีวิตใครได้อีกหลายคน WHO ทุกคนจะพัฒนาตัวเอง วิสัยทัศน์ดึงดูด WHO ได้ต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองต้องการอะไร อาจจะต้องเขียนว่าตัวเองต้องการอะไรไป 25 ปีเหมือนอย่างแดน ในบันทึก What I Want ของเขาก็ได้ พอรู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร และมีไฟที่จะทำมันให้สำเร็จ ให้เริ่มลงมือเดินตามเป้าหมายนั้น และช่วยเหลือคนที่ตั้งใจอยากช่วย

จงเป็นฮีโร่ให้คนอื่น ๆ ช่วยให้พวกเขาเดินไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้ การเป็นฮีโร่ช่วยดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดออกมาได้ แล้วจะประหลาดใจกับสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่เกิดขึ้น จะซาบซึ้งกับความใส่ใจที่คนอื่นมี รวมถึงความรักและความชื่นชมที่พวกเขามีต่อผลงานที่ทำ ทำแบบนี้ให้ชินแล้วชีวิตจะพาเดินไปยังเส้นทางที่มีความสุข และมีความหมายเหนือกว่าที่จะจินตนาการถึง.