สรุปหนังสือ THE RULES OF LIFE

ปรับองศาความคิด ชีวิตมีคุณภาพ

กฎกติกาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า สุขกว่า และประสบความสำเร็จมากกว่า

ชีวิตคนทั่วไปจะมีอยู่ 2 แบบ โดยคนเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ดังนี้

แบบแรกคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คำว่าประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยล้นฟ้า หรือก้าวสู่ความเป็นสุดยอดในวิชาชีพ แล้วอยู่แบบยิ่งสูงยิ่งหนาว หากแต่เป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย คุ้มค่า พอเพียง มีความสุขในทุก ๆ วัน

ส่วนแบบที่ 2 คือคนที่ยังดิ้นรนแสวงหาความสำเร็จในชีวิต ซึ่งเป็นคนที่ไม่พอใจกับอะไรสักอย่าง และไม่มีความสุขในชีวิตเท่าที่ควรจะเป็น

เคล็ดลับของความสุขที่แท้มันคือ ความสามารถในการเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ซึ่งทุกท่านได้รับสิทธินี้ทุกวันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับการเลือกนั้นจะทำในสิ่งที่เป็นความสุข หรือจะทำในสิ่งที่เป็นทุกข์ ผลใด ๆ ย่อมเกิดแต่เหตุ ถ้าใครนำกฎพื้นฐานของหนังสือเล่มนี้ไปลองใช้ดู ก็จะพบว่าชีวิตมีความสุขความเจริญ เคราะห์ภัยใด ๆ ไม่ค่อยจะเข้ามาแผ้วพาน และไม่ว่าจะไปแห่งหนใดก็มีสง่าราศี และมีกระแสแห่งความเผื่อแผ่ให้กับคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา มีความสดชื่นในชีวิต และแก้ปัญหาได้เก่งขึ้น

กฎที่จะต้องทำตามในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ยากจนทำไม่ได้ ไม่ใช่เคล็ดลับที่ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย เนื้อหาทั้งหมดล้วนประมวลมาจากการสังเกตชีวิต ของคนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุข อันที่จริงแล้วคนเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้ตัวหรือใส่ใจว่าตัวเองทำตามกฎอยู่หรือเปล่าด้วยซ้ำ คนพวกนี้ทำตามกฎได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาบอก ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

กฎในเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องของการสร้างตัวในชั่วข้ามคืน หรือสร้างฐานะทางการเงินให้ร่ำรวยมาก ๆ แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ว่าหัวใจรู้สึกอย่างไร และก่อผลกระทบอย่างไรต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คู่ครอง และพ่อแม่ แล้วสร้างผลกระทบต่อเนื่องอะไรทิ้งไว้ให้คนรอบข้าง ลูกหลาน และโลกใบนี้

กฎเพื่อตัวเอง

มาเริ่มกันที่กลุ่มกฎสำคัญที่สุดในบรรดากฎทั้งหมด ซึ่งก็คือกฎต่าง ๆ สำหรับตัวเอง กฎเหล่านี้จะช่วยให้มีแรงลุกขึ้นจากเตียงในตอนเช้า ตื่นขึ้นมาเผชิญโลกกว้างด้วยความรู้สึกสดชื่น และนำทางชีวิตให้เป็นไปโดยสวัสดิภาพ พ้นภัยพาลได้ตลอดทั้งวัน ช่วยลดระดับความเครียด ช่วยให้มีทัศนคติที่ถูกที่ควร ปลุกใจให้ยึดมั่นในหลักการของตัวเอง และมีจุดมุ่งหมายที่จะพิชิตชัย ไม่ว่าใครก็ต้องมีกฎเกณฑ์และหลักการส่วนตัวทั้งนั้น กฎต่าง ๆ ต่อไปนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของมาตรฐาน กฎเกณฑ์ที่ตายตัวแก้ไขไม่ได้ มันเป็นแค่กฎของความรื่นเริงบันเทิงใจ ความสนุกสนานเบิกบาน และช่วยสร้างความมั่นคงในชีวิต

กฎข้อที่ 1

เก็บกฎไว้ในใจ

กฎข้อแรกในหนังสือเล่มนี้ก็คือห้ามสั่งสอนเผยแพร่แนวคิด และโน้มน้าวใครให้เปลี่ยนวิถีความเชื่อ หรือแม้แต่พูดเรื่องกฎกับใครทั้งสิ้น จริง ๆ แล้วไม่ได้มีใครเขาอยากรู้นักหรอก ที่เขาไม่อยากรู้อะไรมากนักก็เพราะขี้เกียจ จะมาช่วยปลอบอกปลอบใจ หรือแก้ปัญหาให้ใครต่อใคร เช่นเดียวกับการเป็นนักเล่นกฎ ไม่มีใครเขาอยากรู้อยากเห็นด้วยแม้แต่น้อยว่า จะทำตามกฎข้อไหนอย่างไร ดังนั้น เรื่องนี้เก็บเงียบไว้แล้วดำเนินชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างปกติสุข แต่อาจแอบหัวเราะในใจบ้างก็ไม่ได้ผิดกติกา ขออย่างเดียวเท่านั้นว่าอย่าบอกใครถึงเรื่องที่ใช้กฎ

กฎข้อที่ 2

อายุมากขึ้นไม่จำเป็นต้องฉลาดขึ้นเสมอไป

คนเราชอบทึกทักกันไปเรื่อยเปื่อยว่า พอแก่ตัวลงแล้วจะฉลาดขึ้นตามอายุที่มากขึ้นไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่จริงเลย เพราะทุกคนมีความโง่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จะอายุมากแค่ไหนก็ทำผิดพลาดกันได้ เคล็ดวิชาสำหรับเรื่องนี้มีอยู่ว่า ให้ยอมรับความจริง และไม่โกรธตัวเองที่ขยันหาเรื่องมาทำผิดทำพลาดกันได้อยู่เรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องเมตตาและให้อภัยตัวเอง เพราะความผิดพลาดเป็นวิถีแห่งการเติบโตขึ้น ตราบใดที่กลับไปทบทวนดูว่า ได้ทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง และแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ก็จะมีโอกาสผิดพลาดน้อยลงในที่สุด

กฎข้อที่ 3

ยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

คนเราสามารถทำผิดพลาดกันได้ตลอดเวลา แถมบางครั้งความผิดนั้นก็จัดอยู่ในขั้นร้ายแรง ซึ่งถ้าจะมองกันจริง ๆ แล้วเกือบครึ่งหนึ่งของความผิดทั้งหมด ไม่ได้เกิดจากกมลสันดาน หรือความจงเกลียดจงชังส่วนตัว แต่เป็นเพราะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรลงไป ถ้าอยากให้ชีวิตได้ดีมากกว่านี้ ต้องอ้าแขนยอมรับเรื่องเลวร้ายในอดีตเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตแล้วก้าวต่อไปข้างหน้า ที่จริงแล้วควรใช้มันเป็นพลังผลักดันไปสู่อนาคต เพราะว่าย้อนกลับไปแก้ไข หรือทำอะไรให้กลับมาดีเหมือนเก่าไม่ได้ จึงได้แต่ยอมรับเหมือน ๆ กันว่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว มีแต่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น

กฎข้อที่ 4

ยอมรับตัวเองให้ได้

ถ้ายอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ ก็เหลือแต่การยอมรับตัวตนจริง ๆ ของตัวเองให้ได้เท่านั้น เพราะเรื่องที่ผ่านไปแล้วกลับไปเปลี่ยนใหม่ให้เป็นเหมือนใจไม่ได้ จึงต้องอยู่กับสิ่งที่มีให้ได้แม้จะไม่ถูกใจก็ตาม โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ต้องเริ่มจากต้นทุนเดิมที่มีและตัวตนที่เป็น สิ่งที่สามารถทำได้ในแต่ละวันก็คือ การทำภาระหน้าที่ของตัวเอง ด้วยความบากบั่นและเต็มที่ เพื่อปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น เลิกจับผิดตัวเองหรือเคี่ยวเข็ญบีบคั้นตัวเองโดยไม่จำเป็น แล้วเปลี่ยนมายอมรับตัวตนของตัวเองจะดีกว่า อยากให้คิดว่าสิ่งที่ตั้งใจทำอยู่ ณ จุดนี้ก็ดีสุดความสามารถแล้ว

กฎข้อที่ 5

แยกแยะให้ออกว่าอะไรมีสาระ อะไรไร้สาระ

การทำอะไรก็ตามที่มีประโยชน์กับชีวิต ถือว่าเป็นการกระทำที่มีแก่นสารสาระ ส่วนการไปช้อปปิ้งแก้เบื่อนั้น จัดเป็นกิจกรรมไร้สาระ แต่ถ้ามีจุดประสงค์ที่มีเหตุผล หรือเพื่อนำไปทำธุระก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องแยกแยะให้ออกตรงนี้สำคัญมาก แต่ก็คงไม่ถึงกับต้องกำจัดสิ่งที่มองว่าไม่มีสาระออกไปให้หมดจากชีวิต แล้วลงทุนไปทำงานเพื่อสังคมจนตัวเองเดือดร้อน กฎข้อนี้มุ่งเป้าไปยังสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิต แล้วพัฒนาเรื่องนั้น ๆ ให้ก้าวหน้า จนรู้สึกอุ่นใจได้ว่าทุ่มเทชีวิตไปทำแล้วมีความสุขใจไม่เสียแรงเปล่า รู้ว่าจดหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน และตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ เมื่อรู้แล้วว่าการกระทำใดที่มีคุณค่า ก็จงทำสิ่งนั้นให้มากขึ้นหรือบ่อยขึ้นก็พอ

กฎข้อที่ 6

ทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งที่เลือก

ถ้าอยากรู้ว่าอะไรมีความหมายหรือไม่มีความหมายกับชีวิต ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าตอนนี้กำลังทุ่มเทเวลาในชีวิตให้กับเรื่องอะไรอยู่ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ต้องตัดสินว่ามันถูกหรือผิด เพราะทุกคนมีสิทธิ์เลือกว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญในชีวิต อย่างไรก็ตาม การหาคำตอบในเรื่องนี้ให้ได้อย่างชัดเจน จะมีประโยชน์กับตัวเองมาก อย่างน้อย ๆ ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเอาเสียเลย แล้วเรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปประกาศ ไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาให้ใครรู้ ไม่จำเป็นแม้กระทั่งไปคิดถึงมันทุกลมหายใจให้มากความเกินไปนัก ขอให้ตั้งพันธกิจคร่าว ๆ ในใจก็พอ

กฎข้อที่ 7

มีความคิดที่ยืดหยุ่น

ถ้ารักจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต้องเปิดใจรับทางเลือกใหม่ ๆ ที่เข้ามาดูแลชีวิต ความคิด และจิตใจให้ลื่นไหลยืดหยุ่น เมื่อไหร่ที่ยึดติดกับอะไรก็ตาม นั่นคือกำลังล่ามโซ่ยึดตัวเองเอาไว้อยู่ ทุกคนมักยึดติดในรูปแบบชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่ง และค่อนข้างจะภูมิใจกับความคิดหรือความเชื่อนั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จัดว่าดีไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย เพียงแต่อาจทำให้เสียโอกาส เพราะตัดขาดตัวเองจากช่องทางอื่น ๆ หนักเข้าก็กลายเป็นคนปรับตัวไม่ได้ หัวดื้อ ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตเสียใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ก้าวออกไปจากวิถีเดิม ๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีกฎตายตัวว่า ต้องตอบรับทุกโอกาส ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นักคิดอย่างแท้จริงนั้น จะรู้ดีว่าเมื่อไหร่ควรตอบรับ เมื่อไหร่ควรตอบปฏิเสธ

กฎข้อที่ 8

สนใจโลกภายนอก

การให้ความสนใจต่อโลกภายนอกเป็นเรื่องของการพัฒนาเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เรื่องของการรักษาผลประโยชน์ให้กับโลก การอ่าน การฟัง และพูดคุยจะทำให้เท่าทันเหตุการณ์ นักเล่นกฎที่ประสบความสำเร็จนั้นจะไม่ยอมให้ชีวิตของตัวเองอยู่ในโลกใบจิ๋วแน่นอน ให้ตั้งเป็นภารกิจของชีวิตเอาไว้เลยว่า ต้องรู้เท่าทันความเป็นไปของโลก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน ดนตรี แฟชั่น วิทยาศาตร์ ภาพยนตร์ อาหาร การคมนาคมขนส่ง หรือแม้แต่รายการทีวี คนที่เป็นนักเล่นกฎมือเซียนนั้น จะสามารถคุยเรื่องอะไรที่ไหนกับใครก็ได้ เพราะมีความสนใจใคร่รู้ในความเป็นไปอยู่แล้วตลอดเวลา มันจะทำให้เป็นคนที่มีเสน่ห์น่าสนใจ และเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดเวลา

กฎข้อที่ 9

ฝึกตนให้เป็นคนใจสูง

ในแต่ละวันของชีวิต ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจเลือกนับครั้งไม่ถ้วน และทุกครั้งของการเลือกตัดสินใจ ก็จะลดรายละเอียดต่าง ๆ ลงมาเหลือแค่ว่า จะเป็นคนใจดีหรือคนใจร้าย ทุกอย่างที่ทำลงไปล้วนส่งผลกระทบต่อคนรอบตัว สังคม และสังคมโลก แล้วผลกระทบนี้ก็สามารถเป็นไปได้ทั้งในทางดี ทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายขึ้นมาได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงต้องเลือกตัดสินใจ การตัดสินใจอย่างมีสติจึงส่งผลดีต่อชีวิต ต้องวิเคราะห์แยกแยะให้ได้ว่า อะไรคือความใจสูง อะไรคือความใจต่ำ และอะไรที่มีสาระความหมายกับชีวิต แล้วอีกอย่างคืออย่าไปตัดสินใคร

กฎข้อที่ 10

มีแต่ปลาตายที่ว่ายตามน้ำ

ชีวิตคือการต่อสู้กับความยากลำบาก ถ้าทุกอย่างในชีวิตสะดวกสบาย และง่ายดายไปหมด ก็คงไม่ได้แสดงความสามารถ ไม่ได้ใช้ความมานะพยายาม หรือถูกหล่อหลอมเคี่ยวกรำให้แข็งแกร่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมควรขอบคุณวันคืนแห่งความยากลำบาก ที่หมุนเวียนเปลี่ยนหน้าเข้ามาเป็นระยะ มีแต่ปลาตายเท่านั้นที่ว่ายตามน้ำ เช่นเดียวกันกับคนเรา หากยังมีลมหายใจก็ต้องมีช่วงเวลาแห่งความเหนื่อยยาก ที่ต้องดิ้นรนตะเกียกตะกายว่ายน้ำขึ้นเขาอย่างไม่มีทางเลือก มีแต่ต้องว่ายต่อไปเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกน้ำพัดขึ้นไปตายอยู่ริมฝั่ง จงมองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการปรับปรุงตัวเอง ความล้มเหลวมีความหมายที่แท้จริงของชีวิต ซึ่งจะต้องมีทั้งทุกข์และสุขเรียงร้อยต่อเนื่องสลับกันไป

กฎข้อที่ 11

อย่าตะโกน

การตะโกนไม่ว่าจะตะโกนแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น เพราะมันเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า กำลังคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ หรือควบคุมการโต้เถียงไม่ได้ ซึ่งมีอยู่ 2 สถานการณ์ คือ

สถานการณ์แรกคือ  การแก้ต่างให้ตัวเอง

สถานการณ์ที่ 2 คือ การที่อยากจะควบคุมคนอื่น

ถ้าเจอใครมาทำแบบนี้ก็มีสิทธิ์จะเชิดใส่ ไม่แยแส หรือพูดอะไรบางอย่างเพื่อควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ตะโกนตอบกลับไป คนที่สงบ สุขุมจะได้รับความเชื่อถือ คนที่นิ่งจะได้รับความไว้วางใจ คนที่เยือกเย็นจะมีแต่คนเกรงใจ

กฎข้อที่ 12

มีกูรูอยู่ในใจ

ลึกลงไปข้างในตัวเราทุกคน ล้วนมีแหล่งกำเนิดแห่งปัญญาซุกซ่อนอยู่ มักเรียกมันว่าสัญชาตญาณแห่งการหยั่งรู้ สัญชาตญาณนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรับฟังเสียงเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างใน หรือหัดสังเกตความรู้สึกเอะใจที่กระซิบเตือน ในยามทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เรียกสัญชาตญาณในการหยั่งรู้นี้ว่า มโนสำนึกหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ได้ กุญแจสำคัญที่จะทำให้หยั่งรู้เรื่องต่าง ๆ ได้ดีก็คือ การรับฟัง แต่ไม่ได้มาในรูปของเสียง ไม่ใช่เสียงพูดคุย ต้องตั้งสติพิจารณาให้ดี มันคือความรู้สึกสังหรณ์ที่เกิดขึ้นในตัวเอง โดยเฉพาะกับเรื่องสำคัญ ๆ ที่กำลังจะทำ หรือไม่ก็เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่

กฎข้อที่ 13

อย่ากลัวอย่าตกใจอย่าลังเลและอย่าสงสัย

กุญแจ 4 ดอกที่ไขไปสู่ความสำเร็จในชีวิต มีดังนี้

  1. อย่ากลัว ไม่ว่าจะกลัวอะไรอยู่ จงเผชิญหน้ากับความกลัวแล้วเอาชนะมันให้ได้
  2. อย่าตกใจ ดูเหมือนว่าชีวิตคนเราจะมีแต่เรื่องชวนให้ตระหนกตกใจไปเสียหมด ถ้าตั้งสติดูร่องรอยรอบ ๆ ตัวให้ดี ก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความตกใจก็จะหายไปเอง
  3. อย่าลังเล ก่อนจะลงมือทำอะไรถ้าได้คิดมาอย่างดีแล้ว ก็เดินหน้าลุยเลย อย่ามัวลังเลเพราะโอกาสงาม ๆ อาจหลุดมือไปได้ ถ้าคิดนานเกินไปก็จะไม่ได้ขยับไปไหนสักที นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับของความสำเร็จ
  4. อย่าสงสัย ถ้าได้ตัดสินใจอะไรสักอย่างไปแล้ว ก็อย่าย้ำคิดย้ำทำ เลิกคิด แล้วสนุกไปกับสิ่งที่จะทำดีกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ตั้งใจแน่วแน่ในพันธกิจของตัวเองแล้ว ก็จงกำหนดวิธีการ แนวทาง และแผนงานให้ถ้วนถี่ จากนั้นก็ดำเนินการตามที่ได้วางไว้ให้สำเร็จ การปราศจากความคลางแคลงสงสัยคือ สิ่งที่ถูกที่ควรที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ

กฎข้อที่ 14

เสียดายที่ไม่ได้ทำ

บางครั้งการมีความรู้สึกเสียดายก็มีประโยชน์ ยิ่งถ้าใช้ให้เป็นก็จะยิ่งเกิดความก้าวหน้าต่อชีวิตมากขึ้น ประโยคที่บอกว่าน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้วแบ่งได้เป็น 3 สภาวะคือ

สภาวะแรก เป็นสภาวะที่รู้สึกเสียดายจริง ๆ ที่ไม่ได้คว้าโอกาสนั้นไว้ เลยทำให้พลาดบางสิ่งบางอย่างไป

สภาวะแบบที่ 2 คือ ความรู้สึกเสียดายว่าทำไมถึงไม่ใช่ตัวเอง เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเวลาเห็นคนอื่นได้รับโอกาสดี ๆ

ส่วนสภาวะแบบที่ 3 เกิดกับคนประเภทที่ผูกตัวเองไว้กับนิสัยอิจฉาริษยาชิงดีชิงเด่น ชอบคิดว่าแบบนี้ก็ทำได้ถ้ามีโอกาส

สำหรับพวกที่อยู่ในสภาวะแบบที่ 3 นี้แย่หน่อย เพราะต่อให้เทพีแห่งโชคดีมาพบ คนพวกนี้ก็ยังคว้าโชคเอาไว้ไม่ได้เลย

ความรู้สึกของคนบนโลกนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท เมื่อเห็นใครสักคนเกิดได้ดีมีความสำเร็จกับอะไรสักอย่างขึ้นมา คือ

ประเภทแรกคือ เห็นเขาได้ดีแล้วอิจฉาตาร้อน

ประเภทที่ 2 คือ เห็นเขาได้ดีแล้วเก็บเอามาเป็นแรงกระตุ้นพลังกายพลังใจให้กับตัวเอง

วิธีที่จะช่วยแก้ไขความรู้สึกนี้ให้ดีขึ้นได้ เช่น ลาหยุดยาวสัก 6 เดือนแล้วไปทำความฝันให้เป็นจริง แต่ถ้าลาไม่ได้ยาวขนาดนั้นก็เอาแค่หอมปากหอมคอ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่บนเหตุผลและข้อเท็จจริงด้วย

กฎข้อที่ 15

พยายามกับสิ่งที่ควรพยายาม

บางทีคนเราก็ถลำตัวหลงเดินทางผิดได้เหมือนกัน แม้จะมีความตั้งใจดี ใครจะรู้ว่าไปผิดทางถ้ายังไม่ได้ลองไป ไม่มีอะไรต้องอายหากจะกลับลำ หรือเลิกทำอะไรทันที เพราะรู้แน่แล้วว่าเส้นทางนี้ไม่น่าจะพาไปถึงจุดหมายได้ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่ถูกต้อง เพราะมันไม่ใช่อาการถอดใจยอมแพ้ แต่เป็นความกล้าหาญเข้าขั้นเลยทีเดียว นักเล่นกฎที่ดีจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่สู้ไปแล้วไม่คุ้มค่า ถ้าประสบการณ์และความรู้สึกกำลังบอกว่าเลี้ยวผิดทาง ก็ยอมรับกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมาได้ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็แค่เปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่เท่านั้นเอง

กฎข้อที่ 16

ก่อนตัดสินใจจงนับหนึ่งให้ถึง 10

ไม่วันใดก็วันหนึ่งต้องได้พบเจอเรื่องราว หรือผู้คนที่เข้ามาสร้างความรำคาญใจให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นนักเล่นกฎอย่างเต็มตัวแล้ว ก็คงไม่อยากหงุดหงิดอารมณ์ให้เสียภาพพจน์ เพื่อคงความสงบเย็นในจิตใจไว้ได้ คำตอบรออยู่แล้วในขุมทรัพย์แห่งภูมิปัญญาดั้งเดิม ซึ่งก็คือการนับ 1 ให้ถึง 10 อยู่แล้ว โดยเฉพาะกับตอนที่กำลังลุ้นให้อารมณ์โกรธของตัวเองทุเลาเบาบางลง เรื่องนี้ใช้ได้หมดกับทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องที่มีใครมาถามแล้วไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดี ยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าด้วยแล้ว การนับ 1ให้ถึง 10 จะมีคุณค่ามหาศาล

กฎข้อที่ 17

แก้ไขในเรื่องที่แก้ไหว เรื่องไหนเกินวิสัยก็ปล่อยไป

สัจธรรมอีกข้อหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือ เวลาในชีวิตนั้นแสนสั้น จึงไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปอย่างไร้ประโยชน์ แม้จะเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักเป็นคนที่คั้นเอาความฝัน ความต้องการ และพลังของตัวเองออกมาจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย คนพวกนี้จะทุ่มเทความมุ่งมั่นตั้งใจ ให้กับสิ่งที่คิดว่ามันได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงและลงเวลา เรียกได้ว่าใช้เวลาอย่างฉลาด ส่วนเรื่องที่คิดว่าไม่สำคัญเขาก็จะไม่ไปเสียเวลาด้วย ถ้ามัวแต่เสียเวลาอยู่กับการแก้ไขเรื่องที่รู้ทั้งรู้ว่าแก้ไม่ได้ ก็กำลังพลาดสิ่งดี ๆ บางอย่าง หรืออาจหลายอย่างในชีวิตที่แล่นผ่านไป

กฎข้อที่ 18

ไม่ว่าจะทำอะไรจงตั้งใจให้ดีที่สุด

ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐทั้งที แล้วทำอะไรไม่สมศักดิ์ศรีสติปัญญา ความสามารถ หรือไม่ตั้งใจว่าจะให้ออกมาดีที่สุด มันก็น่าเศร้า จะว่าไปกฎข้อนี้เรียบง่ายและตรงไปตรงมามาก ควรตั้งใจให้ตัวเองเป็นมือดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในทุกเรื่องที่กำลังจะทำ การตั้งใจทำอะไรให้ดีที่สุด แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้น ไม่ได้ถือเป็นปัญหา แต่การตั้งใจที่จะไม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่แรก นั่นคือปัญหาใหญ่ วิธีที่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด เหมือนอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ก็คือ ความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วหาเกณฑ์ที่ได้คุณภาพ มาเปรียบเทียบประสิทธิภาพ และประเมินประสิทธิผลในการทำงานของตัวเองเป็นระยะ โปรดจำไว้ว่าก่อนจะตั้งเป้าหมายทุกครั้ง ต้องรู้ให้แน่ก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด หรือมาตรฐานสูงสุดของเรื่องนั้นคืออะไร

กฎข้อที่ 19

อย่าคาดหวังให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ

ถ้าจะมุ่งมั่นตั้งใจให้ตัวเองเป็นเลิศในทุก ๆ เรื่อง แต่บังเอิญคว้าน้ำเหลวขึ้นมาก็ไม่ต้องเสียขวัญ เพราะมันไม่มีอะไรเสียหายเลย ตราบเท่าที่ยังมีความพยายามอยู่ ก็จะมีใครสักกี่คนที่ไม่เคยล้มเหลว เกิดเป็นคนทั้งทีมันต้องมีพลาดบ้าง ตัวตนแต่ละคนล้วนเป็นผลรวมสุทธิของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะดีไม่ดี สำเร็จล้มเหลว หรือผิดพลาดพลั้งเผลอ ถ้าตัดเอาส่วนที่ไม่สมบูรณ์แบบออกไปจากสมการชีวิต ก็คงไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ ความไม่สมบูรณ์แบบนั้น นับว่าเป็นวัตถุดิบชิ้นสำคัญที่ทำให้ได้เติบโต เรียนรู้ และแก้ไข การมีทัศนคติแบบนี้จะช่วยให้มีความสุข และสนุกกับชีวิตได้มากกว่า

กฎข้อที่ 20

อย่ากลัวที่จะฝัน

มีคนมากมายขีดเส้นจำกัดความฝันของตัวเองไว้ ทั้งที่มันเป็นความฝันของตัวเองแท้ ๆ ความฝันก็คือความฝัน ความฝันไม่ใช่การวางแผนที่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จึงไม่ควรจำกัดความฝัน ความฝันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไร ดังนั้น ทุกคนมีสิทธิจะฝันให้สูง ให้ใหญ่ ให้เกินวิสัยที่จะเป็นไปได้ หรือเหลวไหลบ้าบอขนาดไหนก็ได้ตามใจปรารถนา แล้วก็มีสิทธิ์ที่จะสร้างความปรารถนาในสิ่งที่อยากได้ใจจะขาดเช่นเดียวกัน คนมากมายชอบคิดว่าความฝันควรต้องเป็นไปได้จริงด้วยถึงจะไม่เหนื่อยเปล่า หรือเปลืองแรงที่จะฝัน ความคิดนี้ก็ดีอยู่แต่ควรเอามาใช้กับการวางแผนจะเหมาะสมกว่ามาก เพราะการวางแผนต้องใช้หลักเหตุผล และทำตามขั้นตอนไปจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ ส่วนความฝันก็คือความฝัน ยังไม่ต้องลงมือทำอะไรทั้งสิ้น แค่ฝันเท่านั้นก็พอ

กฎข้อที่ 21

หยั่งเชิงก่อนตัดสินใจ

ถ้ามองกันแบบเผิน ๆ ก็อาจรู้สึกว่าเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาดูช่างน่าปวดหัว หรือตำหนิตัวเองว่าช่างโง่เง่าไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีก็คงไปว่าไปไม่ได้ เพราะก่อนจะโดดลงน้ำไม่ตรวจดูให้ดีเองว่าน้ำลึกแค่ไหน บางทีน้ำที่เกิดลงไปนั้นแสนจะเย็น หรือไม่ก็ดำมืดขุ่นคลั่กเต็มไปด้วยโคลน และแน่นอนว่าต้องเปียก ดังนั้น ไม่ว่าจะกอดคอกันกระโดดกับเพื่อน หรือกระโดดเดี่ยวเดียวดายก็ไม่ต้องอาย ถ้าจะตรวจสอบความลึกของน้ำให้ดีก่อน น้ำอาจจะสวยใสหน้าแหวกว่ายก็จริง แต่ถ้าไม่รีบผลุนผลันกระโดดลงไป เอาแค่เท้าจุ่มลงไปหรือเอามือแกว่งน้ำเล่นเพื่อหยั่งความลึก หยั่งเชิงดูก่อนน่าจะดีกว่า เพราะอาจทำให้ได้สติถามตัวเองว่า กำลังจะโดดลงน้ำอะไรกันแน่

กฎข้อที่ 22

อย่าเอาใจไปติดกับอดีต

ไม่ว่าอดีตจะเป็นเช่นไร มันก็คือเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีทางทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันได้ แต่สิ่งที่ทำได้แน่ ๆ ก็คือ ดึงความสนใจให้มาอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น หนทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้คือ การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ล้วนเคยตัดสินใจผิดพลาด จนส่งผลกระทบในทางลบกับคนรอบตัวมาแล้วทั้งสิ้น แต่ที่ทำได้คือการป้องกันไม่ให้ตัดสินใจผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่ 2 แล้วมุ่งมั่นพยายามที่จะไม่ทำผิดแบบเดิมอีก จงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อยู่ตรงนี้ และอยู่ในปัจจุบันขณะเท่านั้น

กฎข้อที่ 23

อย่าโยนชีวิตไปอยู่ในอนาคต

แม้การได้ฝันทำให้ความสุขบรรเจิดสดใส สิ่งสำคัญคือต้องแยกให้ออกว่า อะไรคือความฝันที่อยากให้เป็นจริงในอนาคต แล้วอะไรคือปัจจุบันขณะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ หากเข้าใจและทำได้จะสามารถดื่มด่ำกับความรู้สึกปรารถนา และเสพรสแห่งความโหยหาอย่างเป็นสุข มีสติ มีพลังกายพลังใจพร้อมจะทำฝันให้เป็นจริงได้ในอนาคต การมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันหมายถึงการใช้เวลาทุกขณะ ชื่นชมการมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมายและมีเป้าหมาย ซึ่งนับเป็นการใช้ชีวิตที่อิ่มเต็มในปัจจุบันขณะ หัวใจของความสุขคือการชื่นชมกับสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ โดยที่ยังไม่ละทิ้งความฝันและการวางแผนที่จะทำให้ฝันเป็นจริง ทำให้มีความสุขได้ทันทีโดยไม่ต้องรอไปถึงอนาคต ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่

กฎข้อที่ 24

ตามกระแสชีวิตให้ทันก่อนที่มันจะผันผ่าน

ในแต่ละวินาที กระแสชีวิตจากเคลื่อนผ่านพ้นไปเร็วจนน่าใจหาย และนับวันก็จะยิ่งเร็วขึ้น ชีวิตมีแต่จะเร็วขึ้นจนตามไม่ทัน ถ้าต้องการให้ชีวิตได้ดี มีความสุขอิ่มเอมใจ มีความหมายก็ต้องเร่งฝีเท้าตามชีวิตให้ทัน ซึ่งมั่นใจว่าทุกคนต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว วิธีง่ายที่สุดก็คือทำเหมือนกับว่ามันเป็นงานหนึ่งที่มีหน้าที่ต้องทำ โดยเริ่มจากการตั้งเป้าหมาย วางแผน แล้วลงมือทำ เพื่อพาตัวเองไปสู่เป้าหมาย จากนั้นก็วิ่งตามงานให้ทัน ด้วยการตรวจตรา ตรวจสอบ และประเมินเป็นระยะ การที่มีเป้าหมายและทำตามแผนเพื่อไปให้ถึงเป้า จะมีประโยชน์มากมายมหาศาลกว่าการปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามยถากรรม การวางแผนจะช่วยให้ตามกระแสชีวิตได้ทัน และบันดาลให้เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นง่ายกว่าเดิม

กฎข้อที่ 25

เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย

การเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ายึดมั่นในมาตรฐานและความถูกต้องตรงไปตรงมาได้มากเท่าไหร่ ก็จะกลายเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายได้ง่ายขึ้น เรื่องนี้มันไม่มีอะไรมากแค่พูดอะไรออกไป แล้วก็ทำให้ได้อย่างที่พูดเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ชีวิตคนอื่น ๆ ก็จะสบายตามไปด้วย สังเกตได้ว่าคนที่มีนิสัยไม่อยู่กับร่องกับรอยนั้น ใครอยู่ด้วยก็ลำบากหนักใจ เพราะคาดเดาได้ยาก

กฎข้อที่ 26

แต่งตัวให้เหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ

คนที่มีความสามารถในการควบคุมชีวิตได้ จะเป็นคนที่มีสติมั่นคง พวกเขาจะมีความตระหนักและตื่นรู้อยู่ตลอด คนเราตั้งสติได้ทุกวันด้วยการแต่งตัวดูดี เอาฤกษ์เบิกชัยเหมือนแต่ละวันเป็นวันสำคัญ ในวันนั้นก็จะราบรื่น มีผู้คนอยากให้ความช่วยเหลือ หรือเกรงอกเกรงใจ ถ้าแต่งกายให้ภูมิฐานเป็นเรื่องเป็นราว ทุกคนรอบข้างก็จะปฏิบัติแตกต่างไปจากเดิม จะมีท่าทีตอบสนองต่อคนเหล่านั้นต่างไปจากเดิมด้วยเช่นกัน แค่แต่งกายให้เป็นเรื่องเป็นราวเหมาะสมกับตัวเองและกาลเทศะก็พอ จะเห็นผลลัพธ์อันหน้ามหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะมีความภาคภูมิใจ ความเคารพตัวเอง และความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จะรู้สึกดีกับตัวเอง สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างกระชุ่มกระชวย และมีความสุขสดใสมากกว่าเดิม

กฎข้อที่ 27

มีระบบความเชื่อส่วนตัว

ระบบความเชื่อหมายถึงสิ่งที่คิดว่าจะสามารถบันดาลความเป็นไปของโลก จักรวาล และทุก ๆ อย่างบนโลกใบนี้ได้ หรือสิ่งที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตหลังความตาย เป็นตัวแทนของบุคคลหรือความศักดิ์สิทธิ์ที่สวดอ้อนวอนในยามประสบปัญหา หรืออยู่ในค่ำคืนอันมืดมิด ที่สำคัญก็คือระบบความเชื่อไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่จำเป็นว่าคืออะไร ระบบความเชื่อความศรัทธาที่ดีนั้น ต้องทำให้รู้สึกสบายอกสบายใจได้ ไม่ใช่เป็นระบบความเชื่อที่เป็นไปด้วยความอาฆาตพยาบาท มีเทพอารมณ์รุนแรงคอยจ้องจับผิดทุกการกระทำ และตามเขย่าขวัญหลอกหลอนให้ต้องยอมศิโรราบในอิทธิฤทธิ์ ระบบความเชื่อที่ดีตามอุดมคตินั้น จะต้องไม่ใช้ใครเป็นหุ่นเชิด ไม่ต้องมีเครื่องบวงสรวงบูชายัญ หรือบังคับให้เคารพเชื่อฟัง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม

กฎข้อที่ 28

เจียดเวลาอันน้อยนิดให้ความคิดได้เว้นวรรคทุกวัน

คนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะมองว่าหาช่วงเวลาคุณภาพในแต่ละวันให้กับตัวเองได้ทุกเมื่อ ซึ่งกล้าพูดเลยว่าหาไม่ได้ ขนาดตอนที่อยู่คนเดียวยังใช้เวลาตั้งมากหมดไปกับการกลัดกลุ้มกังวลเรื่องของคนอื่น มีเพียงเศษเสี้ยวเวลาที่เหลือจากภารกิจต่าง ๆ เท่านั้นที่เป็นของเราได้จริง ๆ ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น นี่คือช่วงเวลาสุญญากาศที่เอาไว้ให้หายใจเฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรให้มากไปกว่านี้ ก็จะช่วยเร่งพลังในตัวได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ที่มีค่าเหลือคณานับ ช่วงเวลาเว้นวรรคพักยกนี้ ต้องทำให้เรียบง่ายที่สุด รักษาไว้ให้โล่ง ๆ รักษาไว้ให้ปราศจากสิ่งเจือปน

กฎข้อที่ 29

ต้องมีแผนการ

ชีวิตจำเป็นต้องมีแผนการ เพราะแผนการเป็นทั้งแผนที่นำทาง เป้าหมาย จุดสนใจ เส้นทาง ทิศทาง วิถีทาง และกลยุทธ์ แผนการจะบอกว่ากำลังจะไปที่ไหนสักที่ ทำอะไรบางอย่าง และไปถึงจุดหมายตามเวลาที่กำหนด แผนการทำให้ชีวิตมีโครงสร้างเป็นรูปเป็นร่าง มีสำนึกรับผิดชอบ และมีพลัง แต่ใช่ว่าแผนทุกแผนจะได้ผล แต่อย่างน้อยจะมีทางเลือกที่ดีกว่า การมีแผนการแสดงให้เห็นว่ามีความคิดความอ่านในการดำเนินชีวิต และไม่ได้นั่งนอนรอโชคชะตาไปวัน ๆ อยากประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องคิดอ่านให้ดีก่อนจะทำอะไร ต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แล้วก็ทำตามแผนให้สำเร็จ

กฎข้อที่ 30

มีอารมณ์ขัน

บางครั้งความสุขก็อาจชะงักด้วยความกังวลในเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดว่าตัวเองตกที่นั่งทำนองนี้ ก็ถึงคราวที่ต้องหัวเราะดัง ๆ ให้กับมันไปเลย เกิดมาทั้งทีต้องมีความสุขแจ่มใสไปกับแสงอาทิตย์ แล้วก็หัดคิดการใหญ่เอาไว้ การหัวเราะให้กับตัวเองและสถานการณ์คับขัน จะทำให้เกิดผลดี 2 ต่อด้วยกัน คือ

ต่อที่ 1 ช่วยสลายความเครียด และฟื้นคืนสภาวะจิตใจสู่ความสมดุล

ต่อที่ 2 เสียงหัวเราะส่งผลทางกายภาพ ที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพอารมณ์ เมื่อหัวเราะร่างกายจะปล่อยสารเอ็นโดรฟิน ที่ทำให้ผู้หัวเราะรู้สึกดีขึ้น             และมองโลกสดใสมากกว่าเดิม

ถ้าสังเกตให้ดี พฤติกรรมทุกอย่างของคนเรามักมีแง่มุมให้ขำได้ทั้งนั้น จงมองหาอารมณ์ขันของทุกสิ่งทุกอย่างให้เจอ เพราะมันคือเทคนิคที่ดีที่สุดในการสลายความกระวนกระวายเคลือบแคลงใจ และคลายเครียดได้อย่างทันตาเห็น

กฎข้อที่ 31

เลือกวิธีปูเตียงให้ตัวเองหลับสบาย

ทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจ และทุกสิ่งที่ทำลงไป ล้วนส่งผลทันทีทันใดต่อตัวเองและคนรอบข้าง ในการกระทำจะกลายเป็นเตียงที่ต้องกลับไปล้มตัวลงนอน การกระทำหรือกรรมคือผู้กำกับสั่งการให้ชีวิตเป็นสุขหรือระทมทุกข์ ถึงจุดหมายโดยสวัสดิกภาพหรือล้อหลุดระหว่างทางเสียก่อน ไม่ว่าจะทำอะไรหรือทำอะไรลงไป สิ่งนั้นก็จะสนองกลับมาหาอย่างตรงไปตรงมา ให้สำรวจตรวจสอบให้ดีว่าปูเตียงนอนของตัวเองไว้แบบไหน และอย่าลืมด้วยว่าทำอะไรลงไปก็ได้สิ่งนั้นกลับมา เป็นกรรมที่เห็นกันได้ทันตา อาจใช้วิธีท่องประโยคดี ๆ เอาไว้ในใจเพื่อเตือนสติก็ได้ เช่น ทุกยามย่ำ กระทำแต่สิ่งที่ถูกที่ควร เป็นการปูเตียงเอาไว้ดี ๆ เพราะไม่เพียงจะหลับตานอนอย่างเป็นสุขในทุกค่ำคืน แม้ยามลืมตาตื่นก็เป็นสุขทุกขณะด้วยเช่นกัน

กฎข้อที่ 32

ลงทุนกับชีวิตให้เหมือนลงทุนกับงานโฆษณา

มีบางคนเคยพูดเอาไว้ว่า เม็ดเงินที่จ่ายไปกับการโฆษณานั้นสูญเปล่าไปกว่าครึ่ง ประเด็นที่เขาต้องการจะบอกก็คือ ถ้าไม่รู้ว่าเงินครึ่งไหนที่สูญเปล่าไปอย่างไร้ผล ก็ต้องลงทุนต่อไปให้มากและต่อเนื่อง ชีวิตคนเราก็ประมาณกัน คงมีบางครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร อุตส่าห์มุมานะพยายามอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย เพราะแบบนี้ถึงต้องทุ่มเทให้เต็ม 100% ต่อไป เพราะไม่รู้ว่าความทุ่มเทส่วนไหนที่จะเป็นตัวให้ผลตอบแทนกลับคืนมา ชีวิตมันก็ไม่ยุติธรรมแบบนี้ ไม่ว่าตอนนี้จะทำอะไรอยู่ก็ตาม มีเพียงความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น ที่จะสร้างผลสำเร็จในบั้นปลาย และให้มีทางรู้ได้ว่าความพยายามครั้งไหน ที่ให้ผลสำเร็จสูงสุดแก่ชีวิต

กฎข้อที่ 33

ก้าวออกนอกพื้นที่ความอุ่นใจให้เคยชิน

จงฝึกตัวเองให้กล้าหาญขึ้นทุกวัน แค่วันละนิดวันละหน่อยก็ยังดี เพื่อขยายพื้นที่ประสบการณ์ให้หัวใจได้เติบโตอย่างอิสระ ทุกคนล้วนมีพื้นที่แห่งความอุ่นใจ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น อยู่สบายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อไหร่ที่เติบโตจนคับพื้นที่ความอุ่นใจ ชีวิตก็อาจจะแคระแกร็นติดอยู่ในนั้น จนกว่าจะมีใครหรืออะไรมารื้อพื้นที่นี้ออก ถ้าคอยยืดขยายพื้นที่เอาไว้เป็นระยะ ก็จะไม่โดนจัง ๆ ให้เจ็บตัวสักเท่าไร การขยายพื้นที่ความอุ่นใจก็คือจะช่วยให้รู้สึกดีกับตัวเอง เพิ่มพูนความมั่นอกมั่นใจ และที่สำคัญสามารถทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ ท้าทายตัวเองทำให้เดินออกมาจากอัตตา ได้เรียนรู้และเติบโตในโลกกว้าง ยิ่งหมั่นออกหาประสบการณ์ชีวิตมากเท่าไหร่ ก็จะเติบโตอย่างไม่มีขีดจำกัดมากขึ้นเท่านั้น

กฎข้อที่ 34

เรียนรู้ที่จะถาม

ทุกคนควรเรียนรู้ที่จะถามให้เป็น แม้ถามแล้วอาจไม่ได้คำตอบที่ถูกใจ แต่อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าปัญหาวุ่นวายทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนอยู่บนพื้นฐานของการทึกทักเอาเองทั้งสิ้น คำถามคือกุญแจไขความกระจ่าง การถามเป็นการหยิบยื่นความสำคัญให้กับผู้อื่น เพราะอีกฝ่ายจะถูกกระตุ้นให้คิด และความคิดก็ดีต่อทุก ๆ คนและทุกสิ่งทุกอย่าง คำถามช่วยให้คิดได้ชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม การถามก็ต้องดูกาลเทศะด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะถามตัวเองหรือถามคนอื่น ต้องดูว่าเมื่อไหร่ควรถาม เมื่อไหร่ควรถอย เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ และการเรียนรู้จากความผิดพลาดอยู่พอสมควร

กฎข้อที่ 35

มีศักดิ์ศรี

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากจะเป็นคนรักศักดิ์ศรี นิยามคำว่าศักดิ์ศรีไว้ว่า แค่เป็นคนที่เชื่อใจตัวเอง คิดทบทวนจนรู้แน่ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน พวกเขาจะง่วนอยู่กับการปฏิบัติภารกิจในชีวิตของตัวเอง จะมีสมบัติผู้ดี ในการวางตัว ศักดิ์ศรีเป็นเรื่องของการเคารพตัวเอง และการชื่นชมตัวเองอย่างเงียบ ๆ

กฎข้อที่ 36

มีอารมณ์ได้ไม่ผิด

การรักษาศักดิ์ศรีและความสงบสุขภายในใจ ไม่ได้หมายความว่าต้องทำตัวเฉยชา ปราศจากความรู้สึกสะเทือนใจใด ๆ เพราะธรรมชาติของคนเราย่อมมีอารมณ์ มีความรู้สึกรู้สาเป็นปกติ เนื่องจากทุกคนเป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีเลือดเนื้อมีจิตใจ จึงมีความรู้สึกต่าง ๆ เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา การที่มีความรู้สึกใด ๆ จนเต็มตื้นนั้น ไม่ได้หมายความว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่มันหมายถึงว่ามีอารมณ์ละเอียดอ่อน และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้สึกต่าง ๆ ของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มา ไม่ควรไปสกัดกั้นมันไว้ ขอเพียงแต่แสดงออกในระดับที่เหมาะสมและมีกาลเทศะ

กฎข้อที่ 37

มีศรัทธาคงมั่น

การมีศรัทธาคงมั่นคือการยึดมั่นในคำสัญญา ความภาคภูมิใจ เต็มอกเต็มใจ ความมั่นใจว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ทุกวันนี้การทำดีกลายเป็นเรื่องน่าเขินอายไปเสียแล้ว เพราะคนในสังคมเข้าใจสับสนระหว่างคำว่าคนดีกับคนแกล้งดี ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกันเลย คนที่มีศรัทธาและเชื่อถือในความดีนั้น จะทำอะไรแต่ละทีก็จะทำด้วยน้ำใส่ใจจริง แต่คนแกล้งดีจะทำอะไรเพื่ออวดคนอื่น หรือโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายทำตาม การเก็บรักษาคุณค่าความดีงามไว้กับตัว ถือเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง ต่อให้ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ค่านิยมเก่าจะไม่มีวันตกยุค เพราะมันได้รับการพิสูจน์มาหลายชั่วอายุคนแล้วว่า มีคุณค่าอันประเสริฐ

กฎข้อที่ 38

ไม่มีทางที่จะเข้าใจอะไรได้หมดทุกอย่าง

มันไม่แปลกถ้าจะไม่รู้หรือเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้หมดทุกเรื่อง ถ้ารู้สึกว่าสังคมปัจจุบันมันดูแปลก ๆ พิลึกพิลั่นยังไงก็ไม่รู้ แถมคนรอบข้างก็ชอบทำอะไรที่ไม่ค่อยจะเข้าใจเอาเสียเลย เรื่องบางเรื่องก็เกิดผิดที่ผิดทาง คาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ และดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร ในเมื่อรู้ว่ามันเป็นแบบนี้แล้ว ก็อย่าไปเสียเวลาทำความเข้าอกเข้าใจอะไร เพราะอาจทำให้บ้าไปเสียก่อน สู้ทำใจยอมรับความจริงว่า ยังมีเรื่องที่ไกลเกินกำลังสติปัญญาอยู่อีกมาก ซึ่งไม่มีทางเข้าใจได้ จากนั้นก็ปล่อยวางไม่ไปยึดมั่นถือมั่นกับอะไรมาก ยิ่งพยายามจับจุดเรื่องต่าง ๆ ให้ทันมากเท่าไหร่ ภาพรวมของเรื่องก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น มนุษย์มีธรรมชาติของการแน่เอานอนไม่ได้ ชีวิตก็เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกัน

กฎข้อที่ 39

รู้เหตุแห่งสุขที่แท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกวูบวาบหวั่นไหวของการตกหลุมรัก หรือความรู้สึกตื่นเต้นยินดีกับการได้ของใหม่ถูกใจ ก็ล้วนไม่จีรัง เพราะธรรมชาติของความรู้สึกจะมีช่วงเวลา แต่เนื่องจากเสพติดความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น จึงต้องจ่ายเงินซื้อของเพื่อสร้างความสุขให้เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ โดยลืมไปว่าความรู้สึกใด ๆ ก็ตามล้วนมีอยู่แล้วในตัวเอง ไม่ต้องไปแสวงหาจากภายนอก จากสิ่งของหรือผู้คน เคล็ดลับของกฎข้อนี้ก็คือ ต้องรู้ว่าตัวเองจะไขความรู้สึกดี ๆ ให้หลั่งไหลออกมาได้อย่างไร โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นหรือวัตถุสิ่งของ ต้องหาวิธีของตัวเองให้เจอ ความรู้สึกดีๆเหล่านั้นมันอยู่ในที่ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้ตัวมาก แต่คนส่วนใหญ่ไม่เคยชายตามอง เป็นที่ที่จะมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ที่แห่งนั้นก็คือใจนั่นเอง

กฎข้อที่ 40

ชีวิตก็เหมือนพิซซ่า

ชีวิตคนเราไม่ต่างอะไรกับพิซซ่า ที่ใส่เครื่องปรุงสารพัดอย่างทั้งที่ชอบและไม่ชอบมาให้ ถ้าอยากได้ส่วนดี ๆ หรือส่วนที่ชอบ ก็ต้องรับส่วนเสียหรือส่วนที่ไม่ชอบให้ได้ด้วย สิ่งที่อยากให้เข้าใจในประเด็นนี้ก็คือ ชีวิตคนเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรในชีวิตที่สมบูรณ์แบบ และความสมบูรณ์แบบก็ไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ดังนั้น เลิกมองหา สิ่งดีที่สุดในชีวิตจะมาพร้อมกับสิ่งที่ไม่ค่อยชอบ ถ้าเจออะไรไม่ดีไม่ชอบก็หยิบทิ้งไป จะได้มาหาเอร็ดอร่อยกับของดี ๆ ของชอบ ๆ ให้เต็มรสเต็มคำไปเลย

กฎข้อที่ 41

มีใครบ้างไหมที่ดีใจเมื่อเจอหน้าคุณ

มนุษย์เราจำเป็นต้องมีใครสักคน ที่พอเห็นหน้าแล้วสุดแสนจะดีอกดีใจ เพราะมันทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการ จึงอยากมีเป้าหมายในชีวิต อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนาน ๆ แล้วจะเลิกคิดถึงแต่ตัวเอง หันไปนึกถึงหรือให้ความสำคัญกับคนอื่นมากขึ้น แต่ถ้าอยู่ตัวคนเดียวไม่มีลูกหรือสัตว์เลี้ยง ก็ขอให้มุ่งไปที่งานอาสาสมัครหรืองานการกุศล เพราะมันเป็นหนทางที่ดีที่จะพาเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีใครบางคนหรือหลายคนดีอกดีใจเมื่อเห็นหน้า แต่ถ้าไม่อยากไปหาองค์กรการกุศลที่ไหนให้ไกลบ้าน ก็ออกไปปฏิบัติการที่หน้าประตูรั้ว หรือประตูบ้านได้เลย วิธีนี้ใช้ได้ผลดีแม้จะอยู่ตัวคนเดียว

กฎข้อที่ 42

รู้ว่าเมื่อไหร่ควรปล่อยไป เมื่อไหร่ควรวางมือ

มนุษย์มีธรรมชาติของการไม่อยากเห็นตัวเองล้มเหลว เกลียดความพ่ายแพ้ ชอบชีวิตที่ท้าทาย อยากเดินหน้าลุยต่อไป จนพิสูจน์ให้ใครต่อใครเห็นว่า สามารถเอาชนะหรือครอบครองได้สำเร็จ แต่บางครั้งกับบางเรื่องสู้ไปก็ไม่มีวันชนะ ต้องหัดยักไหล่อย่างเข้าใจชีวิต แล้วเดินจากมาอย่างไม่เสื่อมเกียรติและมีศักดิ์ศรีสูงส่ง บางทีคนเราก็อยากทำอะไรให้สมใจอยาก แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นได้แค่ความรู้เพ้อฝัน สู้ไปก็เป็นความดันทุรังหาที่แพ้เปล่า ๆ ก็ควรรู้จังหวะที่จะวางมือเพื่อให้หัวใจเบาสบายขึ้น ดังนั้น จงวางมือแล้วถอยฉากออกมา เพื่อทำให้ตัวเองออกห่างจากตัวปัญหาก่อน แล้วช่วงเวลาก็จะเข้าไปคั่นกลางกับปัญหาได้เอง

กฎข้อที่ 43

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

การจองเวรทำให้ความชั่วร้ายขยายวงกว้างออกไปไม่สิ้นสุด ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์สงครามโลก หรือความขัดแย้งในระดับประเทศหรือภูมิภาคที่ผ่านมา การจองเวรยังทำให้เกิดการชักนำคนอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง รับรู้ และรับผลกระทบโดยไม่จำเป็น การยุติวงจรชั่วร้ายนี้ง่ายมาก ขอเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีวุฒิภาวะมากพอ ที่จะสงบปากสงบคำ อดทนอดกลั้น เพื่อหยุดเรื่องไม่ให้ลุกลามต่อไป จึงต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ใหญ่มากพอ รู้จักยับยั้งคำพูดคำจา มีคุณธรรมสูง พร้อมลดราวาศอก พักยก แล้วทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กได้

กฎข้อที่ 44

ดูแลชีวิตตัวเองให้ดี

หากต้องรับบทเป็นทั้งเจ้านาย เป็นกัปตัน และเป็นเครื่องยนต์ไปพร้อม ๆ กัน แต่เกิดป่วยขึ้นมากระทันหันแล้วใครจะเป็นคนนำนาวาชีวิตให้แล่นต่อไป ในเมื่อทำทุกหน้าที่เพียงคนเดียว ดังนั้น การดูแลตัวเองให้ดีจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอย่างที่สุดแล้ว การตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำสักปีละครั้งก็เข้าท่า เพราะจะช่วยตัดต้นต่อที่ก่อปัญหาโรคเรื้อรังร้ายแรง นักเล่นกฎที่ดีต้องกินเป็น นอนเป็น ผ่อนคลายให้มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากนี้นักเล่นกฎที่ดียังต้องรู้รักษาตัวรอด รู้หลีกเลี่ยงจากสถานการณ์อันตราย แล้วก็ต้องใส่ใจกับชีวิตโดยทั่วไปเป็นอย่างดี การดูแลชีวิตตัวเองให้ดีก็มีเท่านี้ ไม่ควรไปฝากชีวิตไว้กับใคร เพราะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แถมมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมไปอีกแบบ

กฎข้อที่ 45

รักษามารยาทอย่างเคร่งครัด

ในแต่ละวันพวกเราต้องติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตั้งมากมาย การมีมารยาทดีติดตัวไว้จึงเป็นเรื่องดี นักเล่นกฎชั้นเซียนจะรักษามารยาทอย่างเคร่งครัดในทุก ๆ เรื่อง แต่ถ้าไม่รู้ว่ามารยาทที่ดีนั้นเขาทำกันอย่างไร ชีวิตต่อไปข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้ ในแต่ละวันไม่สำคัญว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ด้วยเรื่องใหญ่เรื่องน้อยแค่ไหน แต่ที่สำคัญคือต้องไม่ละเลยเรื่องมารยาท ถ้ามีมารยาทไม่ได้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอะไรเลย แต่เป็นการสร้างสรรค์ไมตรีจิตให้คืนกลับมาอย่างมากมาย และทำให้ชีวิตของทุกคนมีความสุขรื่นเริงบันเทิงใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย

กฎข้อที่ 46

กำจัดข้าวของทิ้งบ้างเป็นระยะ

ข้าวของที่กองสุ่มระเกะระกะ จะสร้างความรกกรุงรังให้กับบ้าน ชีวิต และจิตใจ บ้านที่มีข้าวของยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ บ่งบอกถึงความคิดที่สับสนวุ่นวาย ขณะที่เหล่านักเล่นกฎจะเป็นพวกคิดชัด คิดตรง และไม่สะสมขยะในใจและในบ้าน แค่ให้เก็บกวาดข้าวของกันบ้างเป็นครั้งคราว บ้านจะได้ไม่รก ไม่เช่นนั้นความรกของบ้านจะลุกลามเข้ามาในใจ เกิดเป็นหยากไย่ความคิดรกจิตรกใจไปทั้งกระบวนการ เก็บกวาดข้าวของกันบ้างถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้กำจัดสิ่งของไร้ประโยชน์ แตกหัก ล้าสมัย สกปรก น่าเกลียด และมีมากจนล้นบ้าน บ้านที่เก็บกวาดสะอาดโล่ง จะทำให้จิตใจปลอดโปร่งตามไปด้วย เมื่อขจัดข้าวของทิ้งไป จะได้ความโล่งอกเบาใจกลับคืนมา บ้านจะดูโปร่งขึ้น รู้สึกว่าอะไร ๆ อยู่มือมากขึ้น ความรู้สึกรกหูรกตาน่ารำคาญจากข้าวของทั่วบ้านก็หมดไป

กฎข้อที่ 47

รู้รากของตัวเอง

ก่อนจะทำอะไรหรือพูดคุยเรื่องไหน ๆ ก็ตาม ต้องดูที่มาที่ไปรู้รากเหง้าหรือต้นตอของเรื่องนั้น ๆ ให้ดีเสียก่อน เพื่อจะได้ดำเนินการหรือเดินไปถูกทิศทาง หรือรู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป รากเหง้าหรือจุดกำเนิดจึงมีความสำคัญมาก แม้การรู้จักรกรากต้นตอของตัวเองจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องไม่ยึดติดกับความรุ่งเรือง หรือตกต่ำของบรรพบุรุษที่ผ่านมา ด้วยคำว่ารากหรือต้นตอ ไม่ได้หมายถึงแค่ที่มาที่ไปในอดีต หรือจุดเริ่มต้นของชีวิตเท่านั้น แต่ยังอาจหมายถึงสถานที่บางแห่งที่เคยอยู่ ข้อดีของการมีรากอยู่หรือรู้รากก็คือ ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ ปลอดภัยเวลาเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต แต่ถ้ารากไม่ได้ทำให้รู้สึกดีแบบนั้นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรำพันให้เสียเวลา สามารถสถาปนาตนเป็นผู้ก่อตั้งรกรากเหล่ากอใหม่ได้เลย หากมันทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ และปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม

กฎข้อที่ 48

ขีดเส้นกั้นพรมแดนให้กับตัวเอง

เส้นกั้นพรมแดนส่วนบุคคลคือ เส้นแบ่งในจินตนาการที่ขีดไว้รอบตัวเอง เพื่อกั้นมิให้ใครคนใดก้าวข้ามมาได้ถ้าไม่ได้เชื้อเชิญหรือส่งสารออกไป ภายในเส้นกั้นพรมแดนนี้ มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะได้รับความเป็นส่วนตัว ความเคารพ การปฏิบัติอย่างมีมารยาท หรือสิทธิ์อื่น ๆ บางประการ แต่ก่อนจะไปคาดหวังให้ใครเขามาเคารพเส้นกั้นพรมแดน ต้องสำรวจตัวเองให้แน่ชัดว่ายึดถือหรือไม่ยึดถือในหลักการอะไรบ้าง เพื่อจะได้ใช้เป็นตัวกำหนดขอบเขตหรือเส้นกั้นของตัวเอง ที่สำคัญคือต้องยึดถือหรือเคารพในหลักการที่ตัวเองสร้างขึ้นมาอย่างจริงจังด้วย การกำหนดเส้นกั้นพรมแดนส่วนตัวจะเป็นเหมือนรั้วไฟฟ้า ช่วยสกัดกั้นจากพวกก้าวร้าว วางอำนาจ หยาบคาย ชอบระราน หรือพวกที่ชอบเอาเปรียบ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจะรู้คุณค่าของตัวเอง และไม่ยอมให้ใครมาสร้างความปั่นป่วนยุ่งเหยิงแก่ตัวเอง

กฎข้อที่ 49

เลือกซื้อของดีอย่าเอาแต่ถูกเข้าว่า

ศิลปะในการเลือกซื้อสินค้าคุณภาพ มีหลักการพื้นฐานดังนี้

  1. ยอมรับแต่ของเกรดดีที่สุดเท่านั้น ของเกรดรอง ๆ ลงมาไม่คู่ควรด้วยกรณีทั้งปวง
  2. ถ้ากำลังซื้อไม่พอก็ไม่ต้องไปซื้อ รอต่อไปหรือเก็บเงินจนซื้อไหวจะดีกว่า

3.ถ้าเป็นของที่จำเป็นต้องใช้ ให้ซื้อของคุณภาพดีที่สุดเท่าที่จะซื้อไหว

การเจาะจงใช้แต่ของดีมีคุณภาพ ไม่ได้หมายถึงการเป็นคนหยิ่งจองหอง ถือดีหัวสูง หรือรายได้ต่ำรสนิยมสูงใช้เงินเกินตัว แต่เป็นการเลือกใช้ของดีมีคุณภาพ มันหมายถึงความชื่นชมในคุณภาพที่ได้มาตรฐาน การรู้จักใช้ของดีที่ผลิตมาด้วยความประณีตอย่างที่มันควรจะเป็นคือ ใช้ได้ทนกว่า แข็งแรงกว่า ไม่แตกหักเสียหายง่าย และยังหมายความว่า เมื่อใช้แล้วก็ไม่ต้องซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนกันบ่อย ๆ ซึ่งจะทำให้ประหยัดเงินได้ในระยะยาว ของดี ๆ จะทำให้ดูดีกับชีวิตมากขึ้น

กฎข้อที่ 50

ความกังวลเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ฉลาดกว่าถ้าไม่ต้องกังวล

คงแปลกมนุษย์แล้วถ้าใครจะไม่รู้สึกวิตกกังวลกับเรื่องอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ดูลี้ลับ และชวนให้ระทึก ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่กังวลก็มีได้สารพัด สรุปว่ากังวลได้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องที่มีสาระและไม่มีสาระ บางครั้งยังกังวลว่าทำไมชีวิตไม่มีอะไรให้กังวลเลยก็มี จริง ๆ แล้วความกังวลเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เป็นไรเลยถ้าจะรู้สึกกังวล ถ้าตราบใดเรื่องที่กังวลเป็นเรื่องที่สมควรแก่การกังวล สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อรู้สึกกังวลก็คือ พิจารณาดูว่าปัญหาที่กังวลแก้ได้หรือแก้ไม่ได้ วิธีการจับความกังวลที่เป็นขั้นตอนตามหลักเหตุผลก็มี เช่น ถ้ากังวลเรื่องสุขภาพก็ไปหาหมอ ถ้ากังวลเรื่องการเงินก็ต้องตั้งงบเอาไว้ แล้วใช้จ่ายเงินอย่างฉลาดตามแผน ถ้าจะกังวลก็ไม่เป็นไร แต่ให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม หรือเป็นความกังวลที่เกิดประโยชน์ ถ้ากังวลแบบไร้สาระในเรื่องที่ไม่จำเป็น ก็เกิดโทษได้เหมือนกัน อย่างน้อย ๆ ก็ผลาญความสุขในชีวิตให้สูญเปล่าไป

กฎข้อที่ 51

ไม่ยอมแก่

ในโลกนี้ไม่มีใครหรือวิทยาการใดจะฝืนสังขารของร่างกายไปได้ วิธีที่จะรักษาความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้ได้ก็คือ การกล้าลองอะไรใหม่ ๆ ไม่โอดโอยเวลาลุกนั่งยืนเดิน หรือบ่นโอดครวญแบบคนแก่ ไม่ปิดตัวเองด้วยข้ออ้างว่าปลอดภัยไว้ก่อน ต้องทันยุคทันเหตุการณ์ ไม่คิดว่าตัวเองแก่เกินแกงจนเลิกทำอะไรสนุก ๆ การไม่ยอมแก่คือการกล้าลองใช้สไตล์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปในที่ไม่เคยไป เปิดใจกว้างรับสิ่งสุดล้ำ ไม่ทำตัวเป็นนักอนุรักษ์นิยม เคร่งจารีต หรือปฏิเสธไม่ยอมรับอะไรต่อมิอะไรไว้ก่อน ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มีหรือสิ่งที่เคยทำมาตลอด การไม่ยอมแก่คือการมองโลกแบบสดใหม่ไว้ตลอด มีความกระตือรือร้น สนอกสนใจ ไม่เฉยชา และกล้าผจญภัย คนจะแก่ไม่แก่มันอยู่ที่ใจล้วน ๆ

กฎข้อที่ 52

เงินตราไม่ได้แค่ปัญหาได้เสมอไป

พอเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา วิธีแก้ปัญหาแบบอเมริกาก็คือการทุ่มเม็ดเงินแก้ปัญหาไปเรื่อย ๆ จนกว่าปัญหาจะหมดไปเอง วิธีนี้ใช้ได้ผลดีเกินคาดกับเรื่องงาน แต่กับเรื่องส่วนตัวแล้ว การทุ่มเทเงินทองโดยไร้เหตุผล ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร สิ่งที่ต้องทุ่มเทก็คือความละเอียดอ่อน ความมุ่งมั่นตั้งใจ เวลา และการใส่ใจในต้นตอของปัญหา มีหลายคนที่เข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าเงินแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ซึ่งไม่จริงเสมอไป สู้ถอยออกมาตั้งสติแล้วดูว่า จะใช้กลยุทธ์หรือวิธีการไหนในการแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้บ้าง แบบนี้มักจะเห็นผลลัพธ์ได้ง่ายกว่า

กฎข้อที่ 53

คิดเองได้คิดเองเป็น

คนเราต้องมีความคิดความอ่านที่แจ่มกระจ่างชัดเจน มีหลักคิดที่ต้องอยู่บนความเป็นตัวของตัวเอง และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง เพื่อที่ชีวิตจะได้ไม่ชัดส่ายไปมาตามกระแสความคิดของคนอื่น เรื่องนี้ดูเผิน ๆ ก็เหมือนง่าย แต่โหดหินเอาการ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีบาดแผลในใจ มีความกังวลกลัดกลุ้ม ต้องการให้คนมารักและยอมรับ ต้องการให้ตัวเองกลมกลืนเป็นสมาชิกในกลุ่ม เป็นที่รู้จักนับหน้าถือตา ต้องการมีสังกัดมีสังคม กลัวว่าการคิดแปลกแตกต่างจากคนอื่น จะทำให้กลายเป็นคนแปลกแยก สังคมรังเกียจ ไม่มีใครเอา แต่จริง ๆ แล้วคนที่แตกต่างจากคนอื่น ทั้งเรื่องความคิดและการเป็นตัวของตัวเอง จะกลายเป็นผู้นำและประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่คิดอะไรเองได้คิดอะไรเองเป็น จะมีความมั่นใจในความเป็นตัวเองอยู่พอตัว ความคิดอ่านจึงชัดเจน การกระทำก็ไม่สับสนคลุมเครือ

กฎข้อที่ 54

วางเฉยให้เป็น

เรื่องบางเรื่องให้อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยว เพราะไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง และบางเรื่องก็อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมด้วยซ้ำไป ต้องเลือกและคัดกรองให้ถูกว่า เรื่องไหนสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หรือเรื่องไหนต้องรับผิดชอบ การที่วางเฉยกับเรื่องที่สมควรวาง จะทำให้ไม่ต้องมานั่งคร่ำครวญ เพราะเข้าใจธรรมชาติและความเป็นจริงของเหตุการณ์ ที่ไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบใด ๆ ได้ดี ชีวิตจึงมีอิสระเสรี แต่สำหรับเรื่องที่เป็นภาระรับผิดชอบโดยตรง ก็ยังต้องทำและทำให้ดีที่สุด ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมา จากสถานภาพของการเป็นลูก เป็นพ่อแม่ เป็นลูกน้อง เป็นหัวหน้า เป็นเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่เป็นประชากรคนหนึ่งบนโลกใบนี้

กฎข้อที่ 55

มีสิ่งชุบชูใจให้คลายโศก

ชีวิตมีเรื่องไม่สบายใจ เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ หงุดหงิด อารมณ์เสีย หรือต้องผจญกับวันแย่ ๆ ที่มีแต่เรื่องพลาด ๆ กฎข้อนี้มีเรื่องให้ต้องทึ่งอยู่อย่างหนึ่งว่า สิ่งชุบชูใจหรือพลังความชื่นใจ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายเรื่องหลายวิธี โดยไม่จำเป็นต้องควักกระเป๋าจ่ายเพื่อซื้อหามา เพราะมันอาจเกิดจากทัศนคติในการมองโลก กำลังใจจากใครบางคน สัตว์เลี้ยงแสนรัก หรืออาจเป็นสภาวะจิตใจที่เข้าถึงความสุขสงบภายใน ผ่านพิธีกรรมบางอย่าง เช่น การทำสมาธิ การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะอะไรก็ได้ขอให้มีไว้และใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นพอ ต่อให้มีความดีความชื่นใจแค่ไหนก็ไร้ค่า ถ้าไม่คิดจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองเอาเสียเลย

กฎข้อที่ 56

มีแต่คนดีเท่านั้นที่รู้สึกผิด

ธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนไม่ดีก็คือ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สมว่าตัวเองทำผิด หรือทำบาปอะไรตรงไหน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนเหล่านี้ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการคิดทำแต่เรื่องไม่ดี ส่วนคนดีมักมีสำนึกในการกระทำที่ทำลงไป ว่าได้สร้างความทุกข์หรือก่อให้เกิดเรื่องแย่ ๆ กับใครบ้าง หรือทำผิดพลาดอะไรตรงไหน คนดี ๆ จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ส่วนชั่วจะไร้ซึ่งสามัญสมนึกเหล่านี้ทุกประการ ดังนั้น ถ้ายังมีความรู้สึกผิดกับอะไรก็ตาม ถือว่าเป็นลางบอกเหตุที่ดี แสดงว่ายังมีจิตใจใฝ่ดีอยู่มาก ถ้ามีสามัญสำนึกรู้ดีรู้ชั่ว ความรู้สึกผิดย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

กฎข้อที่ 57

ถ้าพูดอะไรดี ๆ ไม่ได้ ก็อย่าพูดเสียเลยดีกว่า

คนส่วนใหญ่จะมีความถนัดในกระบวนการตำหนิติเตียน และการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นในทางเสียหาย ส่วนการมองหาสิ่งดีที่มีอยู่ในตัวตนของคนอื่น แล้วนำมาสรรเสริญชื่นชมนั้น ดูจะเป็นเรื่องยาก ถึงใครจะร้ายสักแค่ไหน ก็ต้องมีมุมดี ๆ ให้พูดถึงได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย หาสิ่งดี ๆ ในตัวเขาให้เจอ แล้วนำไปขยายชื่นชมหรือบอกต่อให้คนอื่นได้รับรู้ วิธีนี้ใช้ได้กับทุกเรื่อง ไม่เฉพาะแต่เรื่องของคนเท่านั้น ถ้าไม่สามารถหาเรื่องดี ๆ มาพูดได้สักอย่าง การไม่พูดอะไรเลยน่าจะเป็นทางออกที่เยี่ยมที่สุดแล้ว

กฎของความสัมพันธ์

มนุษย์เราทุกคนมีธรรมชาติของการอยากให้ และอยากได้ความรักอยู่แล้ว อยากคบหาใคร ๆ ด้วยความสบายใจ มีมิตรจิตมิตรใจต่อกันเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่อยากอยู่แบบโดดเดี่ยว ต้องการแบ่งปันความรู้สึกกับใครสักคนที่เป็นที่รักและใกล้ชิดสนิทสนม หากปราศจากความต้องการที่จะให้และรับไปพร้อม ๆ กัน โลกนี้ก็คงไม่น่าโสภาสักเท่าไร แต่ที่สำคัญก็คือพฤติกรรม มีผลต่อความสัมพันธ์กับคนอื่นทุกคน มีโอกาสมากมายมหาศาลที่จะทำอะไรผิดพลาดได้ตลอดเวลา จึงต้องมีกฎที่ใช้ได้ตลอดกาล มีคำชี้แนะที่เข้าใจได้ทันทีเอาไว้เป็นกูรูส่วนตัว ไม่มีใครที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ หากปราศจากคนช่วยชี้แนะ ซึ่งเหมือนกฎหลาย ๆ ข้อในเล่มนี้ ที่เป็นกฎทำให้ชีวิตมีแต่ความตื่นเต้นเร้าใจ ใกล้ชิดแนบแน่นกันมากขึ้น และเปี่ยมพลังเพิ่มขึ้นจากเดิม

กฎข้อที่ 58

ชื่นชมความเหมือนเปิดใจรับความตาย

ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีสิ่งที่เหมือนกันมากกว่าแตกต่างกัน ถ้ารู้ว่ามีอะไรที่เป็นจุดร่วมที่เหมือนกัน แล้วรักษาจุดร่วมนั้นไว้ให้แข็งแรง พร้อม ๆ กับการเปิดใจกว้าง ยอมรับความแตกต่างระหว่างกันได้ และไม่ตั้งเงื่อนไขกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสายพันธุ์ ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เกิดความเจริญมากขึ้นอย่างแน่นอน ในแต่ละทีมจำเป็นต้องมีสมาชิกที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากกัน ทั้งเรื่องนิสัยใจคอและแนวคิด จึงจะสร้างความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้ คนเราต่างกันก็แค่เปลือกนอก แต่ข้างในล้วนมีความเป็นมนุษย์ไม่ต่างกัน และอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งถ้ามัวแต่เพ่งเล็งไปที่ความแตกต่าง ก็เท่ากับอยู่ในภาวะสูญเสียประโยชน์ จากคนที่มาช่วยแบ่งเบาภาระ และสร้างความสำเร็จเบิกบานให้กับชีวิต

กฎข้อที่ 59

จงปล่อยให้คู่ครองได้มีอิสระ

ก่อนจะมาเจอกัน ต่างคนก็ต่างจัดการชีวิตได้ดีในระดับหนึ่ง พอมนต์ขลังของความสัมพันธ์เริ่มจะจืดจางลง คนสองคนที่ผูกพันกันแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ก็มีความไม่ไว้ใจ กดขี่ บังคับใจ จ้องจับผิดทุกครั้ง และละลาบละล้วง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมให้อีกคนได้มีพื้นที่ส่วนตัวกันเสียเลย ทางที่ดีถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ว่ามา ต้องให้แต่ละฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง อย่างแรกเลยถอยห่างออกมา แล้วมองคู่ครองให้เป็นคนเดิมเหมือนวันที่คบกันครั้งแรก ถ้าความสัมพันธ์เริ่มย่ำแย่ ต้องดึงอีกฝ่ายออกมาจากบรรยากาศที่อึดอัดให้ได้ก่อน แล้วบูรณะพลังใจเสียใหม่ หรือปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีเวลา มีพื้นที่ส่วนตัว และเป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคยเป็น ก็จะทำให้ความสัมพันธ์กระชับมั่นคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อวุฒิภาวะสุขภาพกาย และสุขภาพจิตโดยรวม

กฎข้อที่ 60

จงเป็นคนอัธยาศัยใจคอดี

บรรยากาศในการใช้ชีวิตของผู้คนยุคใหม่ เต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบ ความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยรายวัน การชิงดีชิงเด่นด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน สิ่งเหล่านี้อาจทำให้หลงลืมไปว่า คนที่พบปะพูดคุยด้วยเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจ สังคมปัจจุบันทำให้มองข้ามคนอื่น ไม่ให้เกียรติ ไม่ใส่ใจ โดยคิดง่าย ๆ ว่าแค่พูดขอบคุณ หรือยกยอสักหน่อยเท่านี้อีกฝ่ายก็ปลื้มไปหลายวันแล้ว การคิดแบบนี้บ่งบอกถึงความไม่จริงใจ ถ้าอยากให้ความสำคัญกับคนรอบข้างดีพอ ต้องกลับเนื้อกลับตัวใหม่ให้เป็นคนจริงใจ มีเกียรติเชื่อถือได้ เป็นคนที่คนอื่นยกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจ รู้จักยกย่องให้เกียรติคนอื่น และหาเวลาไปช่วยแก้ไขปัญหาให้พวกเขาบ้าง หากท่านใดได้ปฏิบัติเรื่องเหล่านี้อยู่แล้วอย่างสม่ำเสมอ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย มันจะทำให้ชีวิตมีความสุขสงบมากขึ้น

กฎข้อที่ 61

ถามความต้องการของคนอื่นบ้าง

ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครมานานขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตัวติดกัน ต้องคิดเหมือนกันทำเหมือนกัน ตอบสนองต่อเรื่องต่าง ๆ ในรูปแบบเดียวกัน คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่อย่างมากมากนั้น จะเป็นคู่ที่อยู่ร่วมกันก็แข็งแรง หรืออยู่เดี่ยว ๆ ก็ยังแข็งแกร่ง สุดยอดของความสัมพันธ์คือ การที่คนทั้งคู่เกื้อหนุนจุนเจือกัน ในสิ่งที่อีกฝ่ายมีความสนใจ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองสนอกสนใจก็ตาม การที่คู่ครองรู้สึกว่าเชื่อใจ และให้การสนับสนุนส่งเสริมเป็นอย่างดี ก็คงไม่อยากออกไปร่อนเร่หรือยุติชีวิตคู่ หากสนับสนุนอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งซาบซึ้งใจว่าช่างแสนดีกับเขามากขึ้นเท่านั้น แล้วผลลัพธ์สุดท้ายก็จะดีกับทั้งคู่แน่นอน

กฎข้อที่ 62

เอ่ยปากขอโทษก่อน

อย่าไปใส่ใจว่าใครหาเรื่องใครก่อน ทะเลาะกันเรื่องอะไรใครถูกหรือใครผิด เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ไปค้นหาสาเหตุเรื่องจะไม่จบ ความสัมพันธ์ดี ๆ ที่เคยมีก็จะกลับคืนมาได้ช้า หรือถ้าโชคร้ายก็ไม่กลับคืนมาอีกเลย คนเราอยู่ร่วมกันย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์ การขอโทษอีกฝ่ายหนึ่งก่อนเป็นวิถีปฏิบัติของนักเล่นกฎ ที่ต้องช่วงชิงความเป็นที่หนึ่ง และภาคภูมิใจในความเป็นหนึ่ง มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองว่าจะไม่เสียความภาคภูมิใจใด ๆ หากพูดคำว่าขอโทษก่อนอีกฝ่าย การพูดคำว่าขอโทษไม่ได้ทำให้เสียศักดิ์ศรี หรือสูญความน่านับถือตรงไหนเลย

กฎข้อที่ 63

เอาอกเอาใจกันมากขึ้น

การเอาอกเอาใจควรมอบให้เฉพาะกับคนที่เคารพเทิดทูน ยกย่องบูชา ผู้มีพระคุณ หรือคนที่ห่วงใยใช่ไหม กฎข้อนี้เกี่ยวข้องกับการยกระดับการเอาใจคนที่มีความหมาย คนที่มีความสำคัญ คนที่รักทนุถนอมและห่วงหาอาทรมากที่สุดในโลก กฎข้อนี้จึงเป็นเรื่องของคู่ครอง คู่รัก คู่ร่ำคู่รวย และคู่ชีวิต การเอาออกเอาใจคนใกล้ตัวทำได้ง่าย ๆ เลย สำคัญแต่ว่าต้องคิดวางแผนล่วงหน้าเอาไว้เสียหน่อย หรือคอยสังเกตว่าคนใกล้ตัวน่าจะชอบอะไร อยากได้อะไรในวันเกิดที่จะถึงนี้ แล้วในโอกาสพิเศษต่าง ๆ จึงแอบซื้อมาเซอร์ไพรส์ให้จิตใจกระตุ้นกระชวย กฎข้อนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การให้เงิน แต่เป็นการสร้างความประหลาดใจด้วยของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ พอชื่นใจ และแสดงให้เห็นว่ามีเขาหรือเธออยู่ในใจเสมอ

กฎข้อที่ 64

รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเฉยเมื่อไหร่ควรลงมือ

การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรนั่งรับฟังปัญหาเฉย ๆ และเมื่อไหร่ควรลงมือแก้ หรือเป็นสุดยอดวิทยายุทธที่ต้องฝึกเอาไว้ให้เก่ง เวลามีใครมาบ่นปัญหาอะไรให้ฟัง ก็ใช้วิธีนั่งเฉย ๆ ไปก่อนสักพัก อย่างที่ทราบปัญหาในโลกนี้มีทั้งที่แก้ได้และแก้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ คนใกล้ตัวเขาถึงมาระบายให้ฟัง เพราะอยากให้เข้ามาร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมโศกเศร้าเห็นอกเห็นใจ หรือกุมมือให้กำลังใจ การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรต้องยื่นถ้วยชา หยิบยื่นความเห็นอกเห็นใจ เป็นทักษะที่จำเป็นต้องฝึกฝนเรียนรู้ นักเล่นกฎที่เก่ง ๆ จะรู้จังหวะ และกาลเทศะในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

กฎข้อที่ 65

มีความชื่นชอบในชีวิตร่วมกัน

เมื่อทั้งคู่ได้มาพบกันแล้วเกิดอาการตกหลุมรัก จนสุดท้ายตกลงใจว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันไป ก่อนที่จะมีอะไรคืบหน้าไปกว่านั้น อยากให้ถามตัวเองและอีกฝ่ายให้แน่ใจอีกครั้งว่า ต่างคนต่างคาดหวังอะไรจากกัน และคาดหวังมากน้อยแค่ไหน เพราะคนเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ต้องอาศัยปัจจัยร่วมหลายด้าน โดยเฉพาะความชื่นชอบหรือไลฟ์สไตล์ในชีวิตที่ควรสอดคล้องต้องกันในระดับหนึ่ง ถึงจะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและยืดยาว นอกจากนี้ ยังต้องมีประสบการณ์สุขทุกข์ร่วมกัน มีความฝันที่ผูกพันจิตใจไว้ด้วยกัน ชีวิตคู่จึงจะประสบความสำเร็จ

กฎข้อที่ 66

ทำรักด้วยความรัก

ในที่สุดก็ต้องมาคุยกันเรื่องเซ็กส์จนได้ คนที่ประสบความสำเร็จในการเล่นกฎนั้น หากตั้งใจจะมีชีวิตคู่กับใคร ก็จะเป็นไปด้วยความอ่อนโยน มีมารยาท ความนับถือเกรงใจ ความกระตือรือร้น พลังสร้างสรรค์  ความเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรี ความมีมิตรจิตรมิตรใจ และเพศสัมพันธ์ในแบบปกติ ที่บอกว่าปกติก็คือเป็นไปด้วยวิธีคิดที่อยู่บนพื้นฐานของความเมตตา ความเคารพซึ่งกันและกัน ต้องทำให้คู่รักรู้สึกพึงพอใจ และมีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน จะไม่มีการบังคับใจให้ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกไม่ชอบหรือละอาย แม้เพศสัมพันธ์จะเป็นเรื่องที่ทำร่วมกัน แต่ทุกฝ่ายก็ยังคงมีสิทธิเสรีภาพที่จะตัดสินใจทำ หรือไม่ทำอะไรก็ได้หากสิ่งนั้นฝืนใจ

กฎข้อที่ 67

หมั่นพูดคุยกันไว้

ถ้าคนเราอยู่ด้วยกันแต่ไม่คุยกัน ก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติแล้ว ซึ่งน่าเสียดายเพราะจะพลาดโอกาสดี ๆ ที่จะได้เข้าอกเข้าใจ ได้รับรู้รับฟัง และร่วมสื่อสารแบ่งปันความคิดอ่าน หรือความรู้สึกให้แก่กันและกัน การพูดคุยทำให้เกิดประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยเสริมสุขภาพกายสุขภาพใจ เพิ่มความแข็งขันเอาการเอางาน ความเป็นมิตร ความน่าคบหาสมาคม ความน่ารักใคร่ และความสนุกสนาน การพูดคุยจะมีอยู่ 2 แบบคือ

1.การพูดคุยในแบบที่ได้สาระมีคุณภาพ

2.การพูดคุยในแบบที่พูดไปเรื่อยเปื่อยไร้แก่นสาร

การสักแต่จ้อไปเรื่อยเปื่อย ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น จงพูดให้ดีและมีสาระเข้าไว้

กฎข้อที่ 68

เคารพความเป็นส่วนตัว

สวรรค์ได้ประทานให้มนุษย์เราแต่ละคน มีสิทธิ์ได้รับความนับถือ ความเป็นส่วนตัว ความเชื่อมั่นและความจริงใจ ในบรรดาสิทธิ์เหล่านี้ ความเป็นส่วนตัวคือที่สุดของการเป็นสิ่งต้องห้าม ที่ใครไม่สามารถล่วงล้ำหรือล่วงละเมิดได้ ต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของคู่ครอง ให้เหมือนกับที่เคารพความเป็นส่วนตัวของตัวเอง ขอให้เป็นตัวของตัวเองกับห้องที่เป็นส่วนตัว และอย่าได้รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคู่ครองเป็นอันขาด กฎข้อนี้สามารถนำไปใช้กับใครก็ได้ในจักรวาลนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคู่ครองเท่านั้น

กฎข้อที่ 69

ต้องมีเป้าหมายร่วมกัน

เมื่อคนเราตกหลุมรักกันในครั้งแรกที่เจอ ก็มักคิดเองเออเองว่ารู้ใจอีกฝ่ายหนึ่งดี เพราะมีอะไรที่เหมือนกันตั้งหลายอย่าง ในช่วงเวลาแบบนั้นทุกอย่างจะดูราบรื่นสดใสไปหมด ความต่างที่มีก็มองว่าเป็นเหมือนคนละด้านของเหรียญ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ยังไงก็ตกลงจะเดินร่วมทางชีวิตเดียวกันอยู่แล้ว ถ้าคิดแบบนี้บอกเลยว่าคิดผิดและผิดอย่างแรง เพราะเส้นทางชีวิตโดยเฉพาะชีวิตคู่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จึงต้องรู้ให้แน่ว่าทั้งคู่มีเป้าหมายร่วมกันหรือไม่อย่างไร อย่าเพิ่งมาเดากันเรื่องเป้าหมายชีวิตนี้จะเดาสุ่มหรือทึกทักไปเองไม่ได้ การถามเรื่องนี้จากอีกฝ่ายต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพระมัดระวัง ที่สำคัญต้องแยกแยะให้ออกว่าความฝันร่วมกันกับเป้าหมายร่วมกันนั้นต่างกันอย่างไร ความฝันคือการอยากครอบครองหรืออยากได้ ส่วนเป้าหมายของชีวิตคู่คือสิ่งที่กำลังคิดจะทำร่วมกัน เป็นจุดหมายที่มีอยู่ร่วมกัน และทำให้ทั้งคู่ขาดกันไม่ได้ เพราะเป้าหมายร่วมจะหมดความหมายในทันทีหากคนใดคนหนึ่งไม่ได้อยู่ช่วยกันทำให้เกิดขึ้น

กฎข้อที่ 70

คู่ครองต้องมาก่อนเพื่อน

คู่ครองเป็นทั้งเพื่อนและคนรักในคนคนเดียวกัน ซึ่งหากจะว่าไปก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนั่นเอง การดูแลคู่ครองให้ดีกว่าดูแลเพื่อนก็เหมือนกับการให้ของขวัญ ซึ่งหมายความว่าต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงชีวิตของคู่ครองจนเกินพอดี ต้องให้ความเคารพในความเป็นส่วนตัว และปฏิบัติต่อกันแบบผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

กฎข้อที่ 71

พอใจในสิ่งที่มีคือสุดยอดความสุข

หากลองไปถามใครต่อใครดูว่า ชีวิตนี้พวกเขาต้องการอะไร คนส่วนใหญ่จะตอบว่า ความสุข ความสุขเป็นถ้อยคำที่ฟังดูดี แต่ที่จริงแล้วเป็นสิ่งลวงตา ที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตไล่ล่ามัน จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่คุ้มกันเลย ความสุขคืออะไรบางอย่าง หรือสถานที่บางแห่งที่อยู่สุดสายปลายรุ้ง โดยมีความระทมทุกข์อยู่ตรงปลายรุ้งอีกด้านหนึ่ง การตั้งเป้าปรารถนามุ่งหาความสุขเป็นหลักนั้น จัดอยู่ในจำพวกแนวคิดวัตถุนิยม ซึ่งไม่สามารถทำให้มีความสุขได้จริง ๆ เพราะไม่รู้ว่าที่สุดของความสุขอยู่ตรงไหน จึงต้องวิ่งหาความสุขที่เข้มข้นรุนแรงมากขึ้นอยู่ร่ำไป แทนที่จะตั้งเป้าปรารถนาความสุขอันประเสริฐ จากการแสวงหาความพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นความรู้สึกที่ยั่งยืนกว่า และมีคุณค่าสมกับการเป็นเป้าหมายชีวิต

กฎข้อที่ 72

ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแต่ใช้กฎต่างกัน

มีมากคู่ที่ชอบทึกทักเอาเองว่า ตัวเองและคู่ครองต้องเหมือนกันไปทุกเรื่อง ก็เลยบังคับใจให้อีกฝ่ายยึดถือกฎเกณฑ์เดียวกันกับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง คนเราสามารถบริหารจัดการชีวิตคู่ได้ แม้อยู่ใต้คนละกฎเกณฑ์กัน ชีวิตคู่ที่มีความสุขที่สุด ประสบความสำเร็จสูงสุด มั่นคงที่สุด คือชีวิตที่คนทั้งคู่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ยืดหยุ่นในกฎเกณฑ์ต่าง ๆ และปรับความต้องการให้สอดคล้องต้องกัน ทุกคู่ควรรู้กฎเกณฑ์ของอีกฝ่ายว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ยังไงก็ต้องค่อย ๆ ศึกษาเรียนรู้อีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ แล้วจะรู้เองว่าเขาหรือเธอมีกฎเกณฑ์อะไรอย่างไร อย่างนี้ก็วิน ๆ ด้วยกันทั้งคู่

กฎที่ใช้กับครอบครัวและเพื่อน

สมมุติว่าคุณเป็นศูนย์กลางของจักรวาลส่วนตัว เป็นแก่นแกนของทุกสิ่งทุกอย่าง มีคนรักหรือคู่ครองโคจรอยู่รอบตัว และเป็นวงโคจรที่ใกล้ชิดแนบสนิทที่สุดแล้ว วงโคจรถัดมาคือครอบครัวและเพื่อน ๆ ซึ่งถือว่าเป็นคนวงในที่รักมากที่สุด อยากใช้เวลาทั้งหมดไปอยู่ด้วย และเป็นคนที่รักคุณมากที่สุด เมื่ออยู่กับคนกลุ่มนี้ทำตัวตามสบายได้ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าเข้าใจผิดว่า จะสามารถละเลยเรื่องกฎเกณฑ์ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ ก็จะไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร หรือมากน้อยแค่ไหน และคนเรามีหมวกหลายใบที่ต้องสวม เพื่อแสดงบทบาทหน้าที่ ซึ่งเนื้อหาในกฎต่อ ๆ ไปจากนี้ จะช่วยชี้ทางสว่างว่าจะสวมหมวกที่มีอยู่นั้น ให้ออกมาดูดีที่สุดได้อย่างไร คนเรามีแค่ชีวิตเดียวแต่เกี่ยวกันกับชีวิตอื่นอีกมากมาย แถมยังต้องใกล้ชิดกับพวกเขาอยู่ตลอดเวลา จึงต้องมีกฎครองใจไว้เพื่อครองตน ให้ตัวเราเป็นคนดีของพวกเขา เป็นหางเสือนำทางท่ามกลางความผันผวน คลุมเครือ สุดท้ายแล้วกฎจะช่วยให้เข้าใจชีวิต และรักษาความใกล้ชิดได้ยืดยาว

กฎข้อที่ 73

จะเป็นเพื่อนใครทั้งทีก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดี

คำว่าเพื่อนแท้นั้นเป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่มหาศาล เพราะต้องมีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา จริงใจ พึ่งพาได้ เชื่อใจได้ มีน้ำจิตน้ำใจเอื้อเฟื้อ บางครั้งยังต้องรู้จักให้อภัย หยิบยื่นอัธยาศัยไมตรี ประคับประคองเกื้อหนุน และมีความเห็นอกเห็นใจ แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่อยากให้ใครมาเอาเปรียบหรือหลอกลวง จึงทำให้เผลอตัวไม่ถนอมน้ำใจ และทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อการเสียเพื่อน แต่ถ้ารู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ระวังคำพูด มิตรภาพก็จะยืนยาว หัวใจสำคัญของกฎข้อนี้คือ การไม่ทิ้งเพื่อน การเคียงข้างกันทั้งในยามสุขและยามทุกข์ มีใครบางคนกล่าวไว้ว่าเพื่อนแท้คือ คนที่ยังคุยกันได้ตลอดยังต่อติดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เพื่อนดี ๆ ต้องคบกันให้ได้แบบนี้

กฎข้อที่ 74

ว่างเสมอสำหรับคนที่รัก

ชีวิตที่ด่วนจี๋ไปเสียทุกเรื่องอย่างทุกวันนี้ ทำให้เผลอมองข้ามคนใกล้ตัวไปได้ไม่ยาก ต่อให้งานยุ่งแค่ไหนก็ต้องหาเวลาให้ได้ เพราะถ้าหาเวลาไม่ได้เวลาก็จะผ่านไปเร็วมาก จากสัปดาห์เป็นเดือนจากเดือนก็เลื่อนไปเป็นปี และเป็นหลายปีต่อไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัว ทุกคนควรลงทุนด้านเวลากับคนที่รักให้มากเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นลูก ๆ พี่น้อง พ่อแม่ หรือเพื่อนฝูงก็ตาม เพราะพวกเขาจะคืนกำไรกลับมาให้อย่างมากมายทีเดียว ตัวเราเองมีหน้าที่ต้องให้เวลากับพวกเขาก่อน และถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำอย่างเดียวกันกลับมาก็ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ ก็ได้เป็นนักเล่นกฎเต็มตัวไปโดยปริยาย แล้วสิ่งดี ๆ ที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นจะบันดาลให้พบความสำเร็จในการจัดการชีวิต จัดการกับความรู้สึกผิด เรียนรู้การให้อภัยคนอื่น และสานต่อความสัมพันธ์กับใครต่อใครมากมาย การจะปฏิบัติตามกฎข้อนี้ได้ต้องเป็นผู้มีใจสูง

กฎข้อที่ 75

ปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูกและเอาตัวรอดด้วยตัวเอง

หัวอกคนเป็นพ่อแม่ก็อยากให้ลูก ๆ มีความสุขในชีวิต เจริญรุ่งเรือง และปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ ถึงขนาดซุ่มชักใยลูก ๆ อยู่เบื้องหลัง ต้องตั้งเป้าให้ลูก ไปถือพวงมาลัยนำทางคุมอาหารเสือคัดท้ายให้ลูก ๆ หันขวาหันซ้ายตามตลอดคงไม่ได้ ไม่งั้นเด็กก็เอาตัวรอดไม่เป็น กฎข้อนี้จึงเป็นเรื่องของการเปิดช่องให้ลูก ๆ ได้ลองผิดลองพลาด เช่นเดียวกับที่ตนเองเคยลองผิดลองถูกมาแล้ว ถึงยังไงความผิดพลาดก็เป็นขั้นตอนสำคัญของความฉลาด ถ้าคิดแต่ว่าลูกจะฉลาดได้เพราะพ่อแม่สอนอย่างเดียว นั่นคือความผิดพลาดขนานแท้ของพ่อแม่ ที่เข้าขั้นหายนะกันเลยทีเดียว เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้จากการล้มลุกคลุกคลาน หน้าที่ของพ่อแม่ก็ทำได้แค่เตรียมพลาสเตอร์กับยาใส่แผลรอไว้ให้ แล้วหอมแก้มปลอบใจเท่านั้นเอง

กฎข้อที่ 76

เคารพและให้อภัยพ่อแม่

พ่อแม่บางรายเลี้ยงลูกได้เก่งโดยสัญชาตญาณ ส่วนบางรายเรียกว่าไม่เอาอ่าวโดยสิ้นเชิง ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูได้ไม่ดีจริง ๆ ก็คงไปว่าท่านไม่ได้เหมือนกัน คนเราไม่ได้เกิดมาเป็นพ่อแม่มืออาชีพ หรือพ่อแม่ดีเด่นกันได้ทุกคน ไม่ควรไปตัดสินใครหรืออะไรง่าย ๆ ตราบใดที่ยังไม่เจอปัญหานั้นเข้ากับตัวเอง ถึงกระนั้นก็ไม่ควรไปพิพากษาตัดสิน หรือต่อว่าต่อขานพวกเขาอยู่ดี ในฐานะที่พ่อแม่เป็นบุพการีก็ควรให้ความเคารพและให้อภัยท่าน ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ก็ควรหาโอกาสพูดชมให้ท่านชื่นใจหน่อย ถ้ารักท่านก็บอกรักท่านไป ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูมาแบบระทมข่มขืนใจ ก็ให้อภัยท่าน แล้วเดินหน้ากันต่อไปดีกว่า

กฎข้อที่ 77

จงให้โอกาสกับเด็ก

การที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีนั้น ก่อนอื่นมาตีความเรื่องการให้โอกาสเด็ก ๆ กันก่อน การให้โอกาสเด็กหมายถึงการปลุกปั้นสนับสนุนเด็กทุกคน ไม่เฉพาะแต่ลูกของตัวเองเท่านั้น เกิดเป็นเด็กก็ทำตัวลำบาก ไม่ว่าจะหันไปทางไหน มีแต่ผู้ใหญ่คอยสั่งคอยลงโทษ และคำสั่งที่แทนใจดำอย่างที่สุดก็คือ อย่า คำว่าอย่าเป็นคำพูดง่าย ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากก็พูดออกมาได้โดยอัตโนมัติ แต่กับการพูดว่าได้ ซึ่งเป็นคำพูดที่สนับสนุนผลักดันเด็ก ๆ มันต้องฝึกซ้อมเคี่ยวเข็ญกันหนักมาก คำว่าได้ที่ชัดถ้อยชัดคำ จะจุดพลังใจให้กับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี แม้จะมีคำพูดตามหลังเป็นการตั้งเงื่อนไขก็ตาม พ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงคือคนที่กล้าพูดว่าเอาเลยลูก ลูกทำได้อยู่แล้ว ลูกเก่งสุด ๆ ไปเลย หรือ ลูกจะทำมันได้อย่างเยี่ยมยอด พ่อแม่ไม่มีหน้าที่ไปเจ้ากี้เจ้าการกับความฝันของลูก หรือทำลายความหวังทั้งสิ้นของเขา พ่อแม่มีหน้าที่แค่เป็นกองหนุนให้ลูกประสบความสำเร็จได้ดั่งฝัน ส่วนลูกจะไปรอดหรือไม่รอดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอให้ลูก ๆ ได้มีโอกาสเท่านั้น เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเด็ก

กฎข้อที่ 78

ถ้าหนี้สูญแล้วทำใจไม่ได้ก็อย่าให้ยืมตั้งแต่แรก

อย่าใจอ่อนให้ใครยืมเงิน ยืมหนังสือ หรือสิ่งอื่นใดเลย ห้ามอย่างเด็ดขาด ถ้ารู้ตัวว่าทำใจไม่ได้เวลาที่สูญ หรืออีกฝ่ายลืมคืน ทำสูญหาย แตกหัก ไม่ยอมคืน หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นของรักของหวง อย่าให้ใครยืมตั้งแต่แรก ของอะไรที่มีความหมายต่อชีวิตจิตใจ จงเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ถ้าเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องให้ยืมข้าวของหรือเงินทอง ก็ต้องตัดใจไปเลยว่าอาจไม่ได้คืน จะได้ไม่เสียเพื่อนหรือผิดใจกับใครในภายหลัง

กฎข้อที่ 79

ปิดปากเงียบไม่ว่าอะไรใครสักคำ

กฎข้อนี้ไม่ง่าย เพราะไม่ใช่แค่คิดใคร่ครวญ ต้องทบทวนซ้ำให้ดีก่อนจะพูด หรือเสนอความเห็นใจ อีดทั้งยังต้องกำชับกับตัวเองไว้เสมอด้วยว่า ในเมื่อตัวเราไม่สามารถไปตัดสินสถานการณ์ของใครเขาได้ ก็ควรจะสงบปากสงบคำ อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจในชีวิตคนอื่นเขาเลย แม้แต่กับคนใกล้ตัวที่สุด หรือคนที่รักมากที่สุดก็ตาม กฎข้อนี้ถือได้ว่าเป็นกฎที่ทำได้ยากที่สุดข้อหนึ่ง ไม่มีใครจะเข้าใจตัวเองได้ดีเท่ากับตัวเอง แม้แต่คนที่สนิทที่สุดในบ้านก็ไม่มีวันเข้าใจในความเป็นตัวตน และคงไม่อยากให้ใครมายุ่งมากมาย ดังนั้น ต้องเข้าใจหัวอกคนรอบตัว และปฏิบัติต่อเขาแบบรู้ใจเขาใจเรา

กฎข้อที่ 80

โลกนี้ไม่มีเด็กเลว

ในโลกนี้ไม่มีเด็กนิสัยไม่ดี แม้บางครั้งพวกเขาอาจทำเรื่องไม่ดีไปบ้าง ทำให้พ่อแม่ตกอกตกใจ หรือประพฤติตัวเหลือขอ แต่ยังไงพวกเขาก็ไม่ใช่เด็กเลวแน่ ๆ ไม่เชื่อลองแอบดูตอนลูกหลับก็ได้ จะเห็นเทวดาตัวน้อยไร้เดียงสาบริสุทธิ์ไร้พิษภัย และดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แม้ตอนตื่นเทวดาพวกนี้จะซนชนิดแสบสันต์ไปบ้าง แต่เนื้อแท้ข้างในแล้วพวกเขาเป็นเด็กดี เหตุผลที่เด็กประพฤติตัวไม่ดีมีอยู่ประการเดียวคือ เด็กกำลังอยู่ในวัยของการเรียนรู้ และกำลังแสวงหาขอบเขตของความพอเหมาะพอควรว่าอยู่ตรงไหน กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ต้องทำผิดทำพลาด ทำให้พ่อแม่ใจหายใจคว่ำอยู่หลายครั้ง ซึ่งถือเป็นปกติวิสัยตามประสาเด็ก เนื่องจากสติปัญญาของเด็กยังไม่สามารถไตร่ตรองได้ว่าอะไรดีไม่ดี จึงเป็นหน้าที่ของคนใกล้ตัวพวกเขา ที่จะต้องสั่งสอนขัดเกลาช่วยเหลือเจือจุน กระตุ้นให้เขาทำแต่สิ่งที่ดี ๆ

กฎข้อที่ 81

ทำตัวให้เบิกบานแจ่มใสเวลาอยู่ใกล้คนที่เรารัก

ในฐานะนักเล่นกฎ มีหน้าที่ทำตัวให้เบิกบานแจ่มใส เวลาอยู่ใกล้คนที่รักห้ามตัดพ้อต่อว่าจนน่ารำคาญ เรื่องพวกนี้ต้องไม่หลุดออกมาจากปาก จะต้องเป็นคนมองโลกในแง่บวก ร่าเริงอย่างไม่ลดราวาศอก เบิกบานสำราญใจทุกนาที ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวคนที่รัก บรรดาคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งมีน้อย มักเป็นคนอารมณ์ดี มีกำลังใจสดใสเบิกบาน คนพวกนี้จะเป็นห่วงเป็นใยใส่ใจคนรอบข้าง ทั้งในเรื่องสารทุกข์สุขดิบ และความรู้สึกในใจ ไม่ค่อยให้ราคากับปัญหาจิปาถะของตัวเองสักเท่าไหร่ คนพวกนี้จะคิดอะไรในแง่บวก ทำอะไรในแง่บวก เป็นนักสร้างขวัญกำลังใจ กระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา

กฎข้อที่ 82

มอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้กับเด็ก

ธรรมชาติของเด็กคือการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพอปีกกล้าขาแข็งก็จะบินออกจากบ้านไปด้วยใจที่ลิงโลด เคล็ดลับในการเลี้ยงเด็กให้มีคุณภาพนั้น ต้องรักษาระยะห่างใกล้ไกลให้เหมาะสม พอเด็กยิ่งโตก็ยิ่งต้องถอยห่างออกมา เพื่อปล่อยให้เด็กได้ทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น ข้อสำคัญคือต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำอะไรแทนเด็กไปเสียทุกอย่าง จึงต้องรักษาสมดุลให้ดี ระหว่างการเปิดโอกาสให้เขาได้ทำ ในสิ่งที่จะช่วยพัฒนาความสามารถ กับการมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งไม่เกินกำลังของพวกเขา การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูก ๆ เก่งเลยตั้งแต่ครั้งแรก เป็นความคาดหวังที่ไร้เหตุผล และไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง พ่อแม่ควรยอมรับให้ได้ว่า ธรรมชาติของการเติบโตจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น ก็ต้องวุ่นวายเละเทะยุ่งเหยิงปั่นป่วนด้วยกันทั้งนั้น

กฎข้อที่ 83

ต้องมีเหตุจูงใจลูกถึงจะเติบใหญ่ยืนบนขาตัวเองได้

เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ลูก ๆ ไม่ยอมปัดกวาดทำความสะอาดห้อง เปิดเพลงดังสนั่นหูแทบแตก คงสงสัยว่าตัวเองไปทำผิดทำพลาด หรือทำเวรกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเป็นพ่อแม่ของเด็กที่วัน ๆ เอาแต่หงุดหงิด ทำหน้าบูดบึ้ง พูดห้วน ๆ ถามคำตอบคำ ไร้มารยาท เห็นแก่เงิน ดื้อด้านว่ายาก จนเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดี ซึ่งเป็นความคิดที่ไร้สาระ เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ดี ดีตรงที่เด็ก ๆ จะได้มีแรงฮึดออกไปเผชิญชีวิตอยู่นอกบ้านด้วยตัวเองอย่างสง่างาม ถ้าเด็กไม่มีเรื่องขัดข้องใจหรือรักพ่อแม่มากเกินไป พวกเขาก็จะไม่ได้ไปไหนสักที แล้วลูกจะออกไปเรียนรู้ชีวิตข้างนอกได้อย่างไร ให้เขาออกไปใช้ชีวิตข้างนอกก่อน แล้วจะกลับมาอีกครั้งในบทบาทใหม่ ที่ไม่ใช่แค่การเป็นลูกแหง่อีกต่อไป ทั้งหมดนี้เป็นกฎธรรมชาติที่ควรเปิดใจรับให้ได้ และควรดีใจที่ได้อยู่เบื้องหลังการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของลูก

กฎข้อที่ 84

ลูกจะคบเพื่อนที่พ่อแม่ไม่ถูกชะตา

ลูก ๆ ชอบไปคบเพื่อนที่พ่อแม่ไม่ชอบหน้า แต่ถึงจะห้ามยังไงพวกเขาก็จะคบกันอยู่ดี เพราะมันเป็นธรรมชาติของเด็ก ปลง ๆ กับเรื่องนี้ไปเถอะ เด็กก็มักถูกชะตาหรือมองหาเพื่อนที่มีพื้นเพนิสัยใจคอแตกต่างกัน นั่นเพราะไม่มีประสบการณ์ในการเรียนรู้ มีแต่ความอยากรู้อยากเห็นสิ่งแปลกใหม่ ที่ใช้สัญชาตญาณบริสุทธิ์แบบเด็ก ๆ เข้าตัดสิน ดังนั้น จึงเห็นเด็ก ๆ มีเพื่อนมากมาย ทั้งหมดนี้ก็เพราะเด็กไม่รู้ว่าคบเพื่อนแบบไหนแล้วจะส่งผลอย่างไร ธรรมชาติของคนเป็นพ่อแม่ก็อาจเผลอห้ามปรามไปหมด แต่ถ้าจะให้ดีต้องสนับสนุน ต้อนรับขับสู้ และเปิดใจกว้าง เพราะการที่ลูกคบเพื่อนที่เห็นแล้วเหลือจะทนนั้นมีข้อดี ซึ่งดีตรงที่ได้แสดงให้ลูกเห็นว่า เลี้ยงดูเขามาอย่างไม่ลำเอียง มีอคติหรือพิพากษาตราหน้าใครก่อนจะรู้จักตัวตนจริง ๆ เป็นการสอนให้เขามีนิสัยไม่ตัดสินใคร แต่ต้องใช้ความยุติธรรมเข้าว่า

กฎข้อที่ 85

วางตัวให้สมกับที่เป็นลูก

แม้ตอนนี้จะเติบใหญ่ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเด็กเหมือนแต่ก่อน แต่ยังไงก็เป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่อยู่ดี ที่ถูกอาจจะต้องพูดว่า ยังเป็นเด็กไปจนกว่าพ่อแม่จะลาโลก แต่ในระหว่างนี้ต้องมีความรับผิดชอบ มีหน้าที่ในฐานะนักเล่นกฎ ที่จะต้องสุภาพอ่อนน้อม เข้าอกเข้าใจ อดทนอดกลั้น เชื่อฟังและปฏิบัติตามพ่อแม่ แม่พ่อแม่จะชอบขัดใจให้โกรธก็ต้องไม่แสดงทีท่า หรือทำหน้าตาหงุดหงิด เพราะจากนี้เป็นต้นไปนักเล่นกฎอย่างท่าน มีบทบาทที่จะต้องประพฤติตัวให้คนอื่นว่าไม่ได้ ดูแลเอาใจใส่ในยามที่พ่อแม่ต้องการตัว หรือมีความจำเป็นปลีกตัวออกมาในยามที่พ่อแม่ต้องการ เพราะพ่อแม่คือคนเลี้ยงดูเรามา และอาจกำลังเลี้ยงดูลูกของเราด้วย พวกท่านยังเป็นได้อีกสารพัด ทั้งคนดูแลบ้าน หรือกระทั่งแม่ครัวฝีมือดี

กฎข้อที่ 86

วางตัวให้สมกับเป็นพ่อแม่

การเป็นพ่อแม่คนนี่เหนื่อยใช่เล่น เพราะถือว่าได้รับบทบาทสำคัญในชีวิต แต่ภาระหน้าที่จะหนักหนาแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าได้นิยามความหมายของการเป็นพ่อแม่ไว้ ในขอบเขตที่กว้างใหญ่เพียงใด แล้วได้ยืนหยัดหรือตั้งใจจริงที่จะทำสิ่งนั้นให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ การทำภาระกิจในหน้าที่ที่ได้เลือกแล้วให้ดีที่สุด นั่นคือจะต้องเกื้อหนุนผลักดัน มีเมตตากรุณา อดทนอดกลั้น ซื่อสัตย์จริงใจ เป็นห่วงเป็นใยและรักลูก ปรับเปลี่ยนวิธีดูแลลูกให้เหมาะสมกับวัย ไม่ว่าลูกจะเจอกับปัญหาสาหัสแค่ไหน จากความโหดร้ายของโลกภายนอก จงหนักแน่นมั่นคง เมตตาเอ็นดู แบ่งปันใส่ใจ และรับผิดชอบ พ่อแม่จะทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีของลูก สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมให้ลูกมีจินตนาการ เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้นสนุกสนานกับการเรียนรู้โลก และในยามที่ลูก ๆ ต้องโบยบินออกจากรัง พ่อแม่จะช่วยลูกจัดเตรียมข้าวของ และยังคงให้การอุปถัมภ์ค้ำชูต่อไป ในระหว่างที่ลูก ๆ ยังไม่ปีกกล้าขาแข็ง หน้าที่ของพ่อแม่มีแค่นี้เองไม่มากเลยจริง ๆ ใช่ไหม

กฎกติกาสังคม

แต่ละวันต้องติดต่อสื่อสารกับผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงาน ระหว่างเดินทาง ในร้านค้าหรือที่ไหน ๆ ก็ตาม ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็จะมีทั้งที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน หรือเป็นคนแปลกหน้าไปเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร โลกนี้ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ต้องสื่อสารด้วยทั้งสิ้น และการสื่อสารเหล่านั้นก็มีทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เรื่องที่ยินยอมพร้อมใจ หรือเรื่องที่เป็นไฟท์บังคับ ด้วยเหตุผลนี้ กฎข้อต่อ ๆ ไปจึงเป็นกฎกติกาในการเข้าสังคม กฎเหล่านี้ไม่ใช่บทบัญญัติตายตัว และไม่ใช่การเปิดเผยสัจธรรมใหม่ เป็นแค่ข้อคิดสะกิดใจเท่านั้นเอง

กฎข้อที่ 87

เราทั้งผองพี่น้องกัน

ไม่ว่าใครถ้าลองได้สืบสาวประวัติเทือกเถาเหล่ากอกันเข้าจริง ๆ มันก็จะพบว่าตัวเองมีเชื้อสายนั่นนิด ๆ หน่อย ๆ ประสมปนเปจากจากสังคมจากต่างเชื้อชาติด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีทางที่มนุษย์คนไหนจะเป็นสายพันธุ์บริสุทธิ์ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมักผ่านการหลอมรวม ชนิดไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าสาบานหรือประกาศว่าต้นกำเนิดมาจากที่ใดกันแน่ ประเด็นสำหรับเรื่องนี้ก็คือ อย่าได้ไปเที่ยวตัดสินใคร เพราะทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน หลั่งไหลออกมาจากเบ้าหลอมของวัฒนธรรมเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนก็ไม่มีใครต่างจากใคร ต้องยอมรับในวัฒนธรรมและสังคมอื่น ถ้าตัดอาภรณ์เปลือกนอกที่ห่อหุ้มห่อร่างกายออกไปแล้ว มนุษย์ก็แทบไม่ต่างกันเลย

กฎข้อที่ 88

ให้อภัยไม่เจ็บตรงไหนหรอก

มนุษย์เราสามารถเกิดอารมณ์โกรธ โมโห ขุ่นเคือง หรือสบถแบบไม่สบอารมณ์ได้ง่ายมาก ขณะเดียวกันการให้อภัยใครสักคน กลับเป็นเรื่องยากเอามาก ๆ การที่ได้รู้อกเขาอกเราจะทำให้อภัยอีกฝ่ายหนึ่งได้ง่ายขึ้น ที่จริงแล้วถ้ารู้สึกว่าทำใจลำบากกับการให้อภัย อดทนอดกลั้น หรือแม้แต่ทำท่ายอม ๆ นอบน้อมอ่อนโยน ก็อยากให้นึกนึกไว้เสมอว่า เมื่อไปพบปะสนทนากับใครแล้ว เขาทำกิริยาท่าทางฮึดฮัดหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผลใส่หน้า บางทีเขาหรือเธออาจเพิ่งเจอเรื่องแย่ ๆ ก่อนที่จะมาเจอหน้ากันก็เป็นได้

กฎข้อที่ 89

มีน้ำใจไม่ใช่เรื่องเสียหาย

การเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำใจงาม ไม่ได้ทำให้ใครมองว่าเป็นหมูสนามขี้แพ้ ที่จริงออกจะตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ ถ้าเจอใครที่กำลังมีปัญหา แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างการทำของหล่นจากถุงตอนยกใส่ท้ายรถ ก็ให้เดินเข้าไปพูดอาสาตัวเลยว่า ให้ช่วยไหม ถ้าใครอยากให้ช่วยเขาก็จะตอบรับเอง แต่ถ้าเขาปฏิเสธก็ไม่เสียหายอะไร เพราะได้พยายามแล้ว ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้ กฎข้อนี้เป็นเรื่องของการนึกถึงคนอื่นให้มากเข้าไว้ในแต่ละวัน เป็นคนที่ยิ้มให้กับคนอื่นก่อน และมองหาว่าจะช่วยใครได้ตรงไหนบ้าง ไม่ได้หมายความว่าต้องไปตามแก้ปัญหาให้ทุก ๆ คน เอาแค่ปัญหาของคนรอบข้าง เพื่อให้พวกเขาอยู่ดีมีสุข หรือยิ้มออกได้บ้างตามวาระโอกาส โลกของเราก็จะมีคนมองหน้าหาเรื่องกันน้อยลงเรื่อย ๆ ทุกวัน

กฎข้อที่ 90

สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ใคร ๆ ก็อยากได้ชัยชนะ หรือเป็นที่หนึ่งด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต เพราะชัยชนะเป็นสิ่งที่ดี ในความคิดของผู้คนก็เลยไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายแพ้ และไม่มีใครกล้าป่าวประกาศต่อคนอื่นว่า ตัวเองเป็นผู้แพ้ ธรรมชาติของคนเราชอบคิดว่า ถ้าจะชนะได้ก็ต่อเมื่อมีใครสักคน หรือหลาย ๆ คนเป็นฝ่ายแพ้เท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วไม่เห็นต้องเป็นแบบนั้นเลย ชีวิตที่ต่างฝ่ายต่างชนะ หรือสมประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ก็มี หากจับจุดของทุกคนได้ เรื่องราวก็จะลงเอยด้วยดี แค่มีเจตนาให้อีกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกันได้เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะลื่นไหลไปง่ายดั่งสายพานบนเครื่องจักรชั้นดี

กฎข้อที่ 91

คบค้ากับคนคิดบวก

ถ้าอยากเห็นความสำเร็จของตัวเอง ทั้งในเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว และการเข้าสังคม ขอจงตระหนักไว้ในใจชนิดห้ามลืมเลยว่า โลกนี้มีคนอยู่ 2 ประเภทให้ได้เลือกคบค้าสมาคม

ประเภทแรกคือ พวกที่พบแล้วรุ่ง มองชีวิตเป็นบวก กระตือรือร้น มีพลัง พูดจริงทำจริง และไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำให้ประจักษ์ถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่

ส่วนประเภทที่ 2 เป็นพวกชอบคร่ำครวญ คบแล้วนอกจากจะไม่รุ่งแล้ว ยังฉุดลงต่ำจมปลักดักดานไปกับเขาด้วย

คนที่มีคุณค่าคู่ควรกับการคบหาก็คือคนที่มีปัญญาและคิดบวกอยู่เสมอ คนประเภทนี้จะมองชีวิตเป็นความม่วนชื่นท้าทาย คุ้มค่ากับการไปต่อกรอย่างสนุกสนานสำราญใจ พวกเขาจะมีมุมมองที่น่าสน คุยด้วยเมื่อไหร่ก็รู้สึกดี มีแง่มุมคิดบวกสร้างสรรค์ มานำเสนอให้เกิดปัญญา คบค้าสมาคมกับคนพวกแรกเอาไว้ให้มาก ๆ แล้วปัดกวาดคนพวกที่ 2 ออกไปจากชีวิต ก่อนที่จะเข้ามาบั่นทอนกำลังใจ คบไปก็ป่วยการ เพราะชีวิตมีแต่จะตกต่ำ

กฎข้อที่ 92

เอื้อเฟื้อเวลาแบ่งปันความรู้

ความรู้ที่เคยเรียนสะสมเอาไว้ตั้งเยอะตั้งแยะนั้น มีคุณค่ามหาศาลกับอนุชนคนรุ่นหลัง แต่ถึงอย่างไรก็ควรแบ่งปันความรู้ให้กับพวกเขาบ้าง อย่าห่วงวิชา อย่าตระหนี่เวลาจนน่าเกลียด เพราะทั้งเวลาและความรู้จะมีคุณค่ามากขึ้น หากได้แบ่งปันให้กับคนอื่นบ้าง นักเล่นกฎที่ประสบความสำเร็จ จะไม่ปฏิเสธโอกาสแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อื่น เพราะการถ่ายทอดความรู้ออกไป นับเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดเหลือเชื่อ และทำให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น การแบ่งปันความรู้และเวลาอันมีค่า ทำให้เป็นคนสำคัญ ประสบความสำเร็จ มีวิจารณญาณ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ที่สุดแล้วมันจะทำให้เป็นคนพิเศษ

กฎข้อที่ 93

กล้าสัมผัสประสบการณ์จริง

มนุษย์เราในปัจจุบัน ให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและรอบโลก ผ่านการดูทีวีหรือสื่อต่าง ๆ อย่างเดียว น้อยคนนักที่จะได้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์จริง ที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง การสัมผัสประสบการณ์จริงหมายถึง การเข้าไปช่วยเหลือ เสนอแนวคิด อาสา เปลี่ยนภาคทฤษฎีให้เป็นภาคปฏิบัติ ไปให้ถึงที่ เข้าไปพบปะพูดคุยให้ถึงตัว อีกทั้งยังเป็นการทำให้คนอื่นได้สดชื่นรื่นรมย์ และชื่นชมกับชีวิตของเขาได้มากขึ้นกว่าตอนที่ไม่มีคุณ เพราะคนกลุ่มนี้มีนิสัยชอบสร้างความเจริญ พวกเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดความเป็นไปของโลก และโชคชะตาตั้งแต่แรก ด้วยสภาวะจิตใจที่นิ่ง เป็นกลาง และเต็มเปี่ยมไปด้วยสติสัมปชัญญะอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 94

เป็นผู้มีใจสูง

กฎข้อนี้พูดง่ายแต่ทำยาก เพียงเปลี่ยนมุมคิดจากคนที่ติดนิสัยทำอะไรตามใจตัวเอง มาเป็นทำอะไรตามความชอบธรรมเท่านั้น การคงไว้ซึ่งความเป็นผู้มีมาตรฐานทางจริยธรรมในระดับสูงให้ได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะโดนยั่วโมโหขนาดไหน ก็จะประพฤติตัวอย่างสุจริตทั้งกายและใจ ถูกทำนองคลองธรรม มีความเป็นอารยะอย่างไม่มีที่ติ ซึ่งบางทีก็ทำใจยาก และยากมาก ๆ ด้วยกับการต้องยืดอกอย่างสง่างามท่ามกลางคนร้าย ๆ แถมยังต้องหยั่งใจไม่ตอบกลับไป การได้แก้แค้นเป็นเรื่องสะใจ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการลดตัวลงไปเกือกกลั้ว จนตัวเองกลายเป็นมารไปกับเขาด้วย การแก้แค้นจะลดคุณค่าในตัวเอง ขืนทำลงไปก็จะเสียชื่อ ปล่อยให้คนขี้แพ้แก้แค้นจองเวรกันไป จะเป็นนักเล่นกฎได้ก็ต่อเมื่อ มีมาตรฐานทางจริยธรรมอยู่ในระดับสูงเท่านั้น

กฎข้อที่ 95

อย่าเอาปมด้อยของตัวเองไปทิ่มแทงคนอื่น

ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน หรือต่อให้ชีวิตวัยเด็กผุพังไม่เป็นชิ้นดี ยากจนข้นแค้น ไม่ได้ทำงานที่ใจรัก แต่คนอื่นเขาก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องหรือรับรู้อะไรด้วย ดังนั้น การที่จะไปพูดกระแทกแดกดันให้เขารู้สึกแย่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะชีวิตคนเราไม่แน่นอน ถ้าเอาแต่พูดจากระแนะกระแหนให้เพื่อน ๆ รู้สึกผิดหรือเสียหน้า สุดท้ายก็จะเสียเพื่อน คนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่าและชีวิตกำลังไปได้สวย จะอยากเห็นคนอื่นมีความสุข ที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือ ต้องรู้จักยินดีกับความสุขและความสำเร็จของคนอื่น ดีใจที่เขาเหล่านั้นไม่ต้องมาทนทุกข์อย่างที่เราเคยเป็นมาในอดีต

กฎข้อที่ 96

จงเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอย่างจริงจัง

พวกเราต่างรู้ดีว่าไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ คนทุกคนล้วนอยากให้ตัวเองมีนิสัยที่ดีขึ้น มีน้ำอดน้ำทนมากขึ้น เมตตามากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น ขยันขึ้น เป็นพ่อแม่ที่มีคุณภาพมากขึ้น หรือใช้เงินแบบรู้จักคิดมากขึ้นกันทั้งนั้น มากขึ้นแค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งเป้าหมายคือ การนำบุคคลที่เคารพนับถือมาเป็นหลักในการตั้งมาตรฐาน ให้เปรียบเทียบในทางสร้างสรรค์เท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าต้องทำอะไร มากน้อยแค่ไหน ถึงจะสำเร็จสมดังใจ

กฎข้อที่ 97

วางแผนเส้นทางสายอาชีพ

ทราบไหมว่า หน้าที่การงานจะไปได้ไกลถึงไหน ได้วางแผนเรื่องนี้ไว้หรือเปล่า แล้วเป้าหมายคืออะไร การจะรู้ว่าเป้าหมายของตัวเองอยู่ตรงไหนนั้น ก็หมายความว่าต้องตั้งสติ นั่งลงคิดถึงอนาคตอย่างถ้วนถี่ รอบคอบ และพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วไม่ว่าใครก็ควรต้องทำงานเพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายด้วยกันทั้งนั้น การทำงานนอกจากจะได้ค่าตอบแทนแล้ว ยังช่วยบริหารจิตใจให้เข้มแข็ง ช่วยให้ได้สนทนากับผู้คน ช่วยให้มีเรื่องสนุกสนานตื่นเต้นทุกวัน ถ้าเอาแต่เดินหน้าแบบไม่มีแผน ชีวิตก็มีสิทธิ์ตกข้างทางที่ไหนสักแห่งได้เหมือนกัน การวางแผนคือการบ้านที่ต้องทำอย่างมีสติ แผนการจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสติ ถ้าไม่ใช้สมองวางแผนให้เป็นจริงเป็นจัง ก็มีแต่จะดิ่งดำถลำลึกลงสู่วังวนของความท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ก็ต่อเมื่อไปได้สูงและไปได้ไกลเท่านั้น

กฎข้อที่ 98

ต้องมองผลกระทบของงานให้ออก

ไม่ว่าตอนนี้จะทำอาชีพอะไรอยู่ก็ตาม ถ้ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานลูกเดียว โดยไม่คิดน่าคิดหลังตั้งสติให้ดีว่า ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ และสิ่งที่ทำนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างไรบ้าง ก็จะกลายเป็นคนขาดความรับผิดชอบ ไร้ซึ่งศีลธรรมจรรยา และประมาทกับชีวิตเกินไป ทุกงานและทุกวงการล้วนมีผลกระทบต่อสังคมทั้งในทางดีและทางร้ายด้วยกันทั้งสิ้น อาจเป็นคุณอนันต์หรือโทษมหันต์กับคนอื่นได้ ตัวเราเองก็ต้องชั่งน้ำหนักและสำรวจจิตใจให้ดีเหมือนกันว่า มีความสุขกับงานที่ทำไหม ถ้าไม่มีความสุขจะลาออกก็ได้ไม่มีใครว่า ขอแค่อย่ารีบด่วนเกินไปนัก เพราะอาจใช้ความเป็นคนในเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างให้ดีขึ้นได้ หรืออาจจะใช้กำลังความสามารถภายในเข้าไปแก้ไข เปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอย่างเงียบ ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้

กฎข้อที่ 99

เป็นคนดีมีฝีมือ

ต้องยอมรับว่านิสัยการทำงาน ส่งผลกระทบต่อบรรดาทีมงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องมีมาตรฐานในการทำงาน และยึดมั่นกับมาตรฐานนั้นอย่างเหนียวแน่น พร้อม ๆ ไปกับความเคร่งครัดในจริยธรรม คุณธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต นอกจากนี้ก็ยังต้องมีตัวช่วย ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คือ

  1. ให้ความสำคัญกับงานเป็นอย่างมาก และทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ อย่าหยุดอยู่กับที่ แต่จงหมั่นเรียนรู้ตลอดเวลา
  2. มองหาลู่ทางสร้างความเจริญให้กับชีวิตของทุก ๆ คน
  3. ไปถึงไหนก็พกความสุขความชื่นใจไปแจกจ่ายถึงนั่น
  4. แต่งกายให้ดี เห็นแล้วประทับใจในแง่ดี รักษามาตรฐานการทำงานให้สูงเข้าไว้ และทำงานให้เต็มเวลา
  5. มีเมตตาต่อผู้ร่วมงานให้มาก
  6. ปลงให้ตกกับการเมืองในออฟฟิศ ตัดให้ขาดอย่าเข้าไปเกี่ยวข้อง
  7. รู้อาณาเขตของตัวเอง หรือวิธีที่จะพูดปฏิเสธอย่างมีมารยาท
  8. สนุกกับงาน รักงาน หลงใหล และใส่ความมันให้เต็มเหนี่ยว

กฎข้อที่ 100

รู้ผลเสียจากสิ่งที่ตัวเองทำ

กฎข้อนี้แค่ต้องมีสติคิดใคร่ครวญให้ดีว่า สิ่งที่กำลังทำ ๆ อยู่นั้น มันส่งผลดีหรือผลร้ายกับโลกและสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน อย่างไร หากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เกิดแสงแห่งปัญญาขึ้นมา จะเปลี่ยนแปลงการกระทำหรือไม่เปลี่ยนก็ไม่มีใครว่า ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอะไรให้ลำบากลำบน ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพราะการตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือไม่ ควรมีข้อมูลรอบด้านมากองไว้ตรงหน้าให้มากพอเสียก่อน จะได้รู้ว่าเปลี่ยนแล้วจะดีขึ้นหรือย่ำแย่หนักไปกว่าเดิม โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ ขอแค่ร่วมแรงร่วมใจกันคนละไม้คนละมือ ความสำเร็จก็จะยิ่งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์

กฎข้อที่ 101

ใฝ่หาความก้าวหน้า

ไหน ๆ ชาตินี้ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แสนสุขประเสริฐกันแล้ว จึงไม่ควรปล่อยให้มรสุมชีวิตกรรโชกตัวเองไปสู่ความตกต่ำย่ำแย่แม้แต่น้อย ดังนั้น ต้องรู้จักคิดและทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ เพื่อให้ชีวิตเดินไปสู่ความเจริญก้าวหน้า แค่หาช่องทางที่เหมาะสมในการแสดงความสามารถเท่านั้นเอง หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่า กิจกรรมสร้างสรรค์มักมาพร้อมความน่าเบื่อ จืดชืด ไร้สีสัน ไม่จริงเลย มีกิจกรรมหลายอย่างที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตได้พัฒนา ปรับปรุง นำไปสู่ความสมบูรณ์แบบ ทดสอบความท้าทาย สร้างความตื่นเต้นเร้าใจในทางที่ถูกที่ควร นั่นคือการกระทำที่จะทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า

กฎข้อที่ 102

มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาไม่ใช่ก่อปัญหา

กฎข้อนี้เป็นกฎที่ว่าด้วยการลงมือทำ เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ ลองคิดดูว่าถ้าใฝ่ดีกันอย่างเดียวแต่ไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่างให้กับโลก ดาวเคราะห์ที่สวยงามดวงนี้ก็คงถึงคราวเคราะห์ในอีกไม่ช้า ด้วยเหตุนี้ นักเล่นกฎที่ดีจึงต้องสอดส่องช่องทาง ที่จะสนับสนุนการแก้ปัญหาของส่วนรวม ตามกำลังความสามารถของตัวเอง จงอย่าละเลยที่จะเข้าไปร่วมมือร่วมใจ เกี่ยวข้อง หาทางออกแล้วเดินหน้าลงมือทำอย่างไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เกิดมาเป็นคนทั้งทีก็อยากให้ชีวิตมีความดีงาม ถูกต้องเหมาะสม ประสบความสำเร็จ และมีความหมาย ควรคืนกำไรให้กับผืนโลก ใช้หนี้ผืนฟ้าผืนดิน ตอบแทนสายน้ำและอากาศบ้าง อาจต้องลงทุนแบบใหม่ให้กับชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งสภาพแวดล้อมและสังคมที่ดีขึ้นกว่าเดิม

กฎข้อที่ 103

อยากให้คนข้างหลังเขาจดจำอย่างไร

เคยนึกบ้างไหมว่า ถ้าจากโลกนี้ไปแล้ว อยากให้ประวัติศาสตร์หรือคนรุ่นหลังพูดถึงตัวเองว่าอย่างไร อยากให้ตอบคำถามข้อนี้ให้ได้ ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่คิดว่าเป็นคนอย่างไร แล้วคนรอบข้างมองว่าเป็นคนอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า เพราะถ้าคำตอบที่ได้จากตัวเองกับคนอื่นมันต่างกันมาก อาจต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สองคำตอบออกมาใกล้เคียงกัน ถ้าอยากประสบความสำเร็จในความเป็นคน ต้องใส่ใจว่าอนุชนคนรุ่นหลัง ที่จะได้สืบทอดมรดกโลกที่ดีกว่าโลกในยุคของเรา จึงต้องช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้มาก แม้จะเป็นคนตัวเล็ก ๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีรอเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเริ่มต้นจากตัวเองทั้งสิ้น จากนั้นจึงขยายไปสู่ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง จนถึงสังคมระดับใหญ่ขึ้นอย่างประเทศชาติหรือระดับโลก

กฎข้อที่ 104

ทำใจว่าเรารักธรรมชาติไม่ได้หมด

มนุษย์เราอยู่กันอย่างแออัด เพราะมีประชากรเป็นพัน ๆ ล้านคนอยู่บนโลกใบนี้ จึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอะไรกับสภาวะแวดล้อม ทำได้แค่ระงับยับยั้ง หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อโลก น้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยโลกใบนี้ได้ก็คือ เรียนรู้และหาวิธีจัดการแก้ไขปัญหามลพิษที่เกิดขึ้น เพื่อให้สภาวะแวดล้อมเกิดความสมดุลมากที่สุด แต่อย่างไรก็คงล้างมลพิษออกไปจากโลกได้ทั้งหมด เอาแค่พยายามที่จะช่วยกันลดมลพิษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ถือว่าได้ช่วยโลกแล้ว สำคัญแต่ว่าคิดจริงต้องทำด้วยกันจริง ๆ

กฎข้อที่ 105

คืนกำไรให้กับโลก

ตลอดเวลาที่อยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์ได้หยิบฉวย เก็บเกี่ยว กอบโกย เรียกได้ว่ามันไม่มีอะไรที่ไขว่คว้ามาจากโลกไม่ได้ จึงขอแนะนำให้คืนกำไรให้กับโลกบ้างเป็นการตอบแทน การคืนกำไรให้กับโลกทำได้หลายวิธี เช่น การเมตตาเอื้อเฟื้อผู้อื่น ซึ่งไม่จำเป็นต้องบริจาคเงินทองของมีค่า แค่บริจาคใจและเวลาก็เพียงพอแล้ว ถ้ามีความสามารถพิเศษอะไรที่ช่วยเหลือสังคม ชุมชน ประเทศชาติได้ ก็จงอาสา อย่านิ่งเงียบเฉยชา ถ้ามีข้าวของเหลือใช้ก็นำไปส่งต่อให้ผู้ขาดแคลนยากไร้ ยิ่งถ้ามีอำนาจอยู่ในมือ หรือมีกำลังภายในพอที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ก็จงใช้มันให้คุ้มค่า อย่ามัวรีรอชักช้า เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพมากพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นได้ ในวิถีทางเล็ก ๆ ของตัวเอง เพียงแต่ต้องใช้ความคิดอีกสักนิด ใช้จินตนาการอีกสักหน่อย ใช้มุมมองที่กว้างขึ้นอีกเล็กน้อย ก็จะเป็นกำไรให้กับโลกใบนี้ได้อย่างคุ้มค่า

กฎข้อที่ 106

คิดหากฎใหม่ ๆ ทุกวันหรือนาน ๆ ครั้งก็ยังดี

ในที่สุดทุกท่านก็เดินทางมาถึงกฎข้อสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้จนได้ ถึงอย่างไรภารกิจของนักเล่นกฎก็ยังไม่จบสิ้น แม้จะรู้ว่าเดินมาถึงเส้นชัยแล้วก็ตาม นักเล่นกฎที่ดีต้องก้าวไปไม่หยุดยั้ง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการ เจ้าปัญญา หัวก้าวหน้า มีแบบฉบับเป็นของตัวเอง โปรดจำไว้ว่ากฎข้อต่าง ๆ ไม่ใช่การเปิดเผยสัจธรรมจากสวรรค์ แต่เป็นแค่ข้อคิดเตือนใจ เป็นจุดสตาร์ทให้ชีวิตออกตัวใหม่ได้ทุกวัน ตราบใดที่หยิบยกไปใช้จนกลายเป็นกฎคู่บุญ การเป็นนักเล่นกฎนั้นสนุกมาก ยิ่งเวลาได้เล่นเองหรือเห็นคนอื่นเล่นก็จะยิ่งหลงใหลได้ปลื้มจนไม่อยากหยุดเล่น แต่การจะเป็นนักเล่นกฎที่ดีได้ต้องทุ่มสุดตัว สู้งานหนักมานะบากบั่น มีจิตใจใฝ่รู้ แต่ก็อย่าเร่งรัดเคี่ยวเข็ญตัวเองจนเกินไป เพราะธรรมชาติของคนเรามันพลาดกันได้ และไม่มีใครในโลกที่จะสมบูรณ์แบบ 100% ขอให้ทุกคนสนุกสนานเบิกบานใจกับชีวิต และเป็นคนเก่งคนดีเหมือนอย่างที่ตั้งใจ.