Swatch Group เป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาและเครื่องประดับชั้นนำของโลกที่มีประวัติอันยาวนานและน่าสนใจ ก่อตั้งขึ้นในปี 1983 จากการควบรวมกิจการระหว่างเครือ ASUAG และ SSIH สองบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการนาฬิกาสวิสที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน การควบรวมครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้การนำของ Nicolas G. Hayek ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้พัฒนากลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสในช่วงวิกฤตควอตซ์ (Quartz Crisis) ที่เทคโนโลยีนาฬิกาควอตซ์ราคาถูกจากญี่ปุ่นกำลัง Disrupt อุตสาหกรรมนาฬิกากลไกแบบดั้งเดิมของสวิตเซอร์แลนด์
ในช่วงแรกบริษัทใช้ชื่อว่า SMH (Société de Microélectronique et d’Horlogerie) ก่อนจะเปลี่ยนเป็น The Swatch Group Ltd. ในปี 1998 เพื่อสะท้อนถึงความสำเร็จของแบรนด์ Swatch ซึ่งเป็นนาฬิกาที่มีดีไซน์ทันสมัย ราคาย่อมเยาว์แต่ยังคงคุณภาพระดับ Swiss Made โดยมีส่วนสำคัญในการกู้วิกฤตอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส
ปัจจุบัน Swatch Group เป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาที่มีพนักงานมากกว่า 33,000 คนใน 50 ประเทศทั่วโลก และมีโรงงานผลิตมากกว่า 150 แห่งในสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2023 บริษัทมีรายได้สูงถึง 7.89 พันล้านฟรังก์สวิส และมีกำไรสุทธิ 890 ล้านฟรังก์สวิส ในปี 2023 Swatch Group มีส่วนแบ่งการตลาด 19.4% เป็นรองเพียง Rolex ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 30.3%
พอร์ตโฟลิโอแบรนด์ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกระดับตลาด
จุดเด่นของ Swatch Group คือการมีแบรนด์นาฬิกาที่หลากหลายครอบคลุมทุกระดับตลาด ตั้งแต่นาฬิกาหรูระดับไฮเอนไปจนถึงนาฬิกาแฟชั่นราคาย่อมเยาว์ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีแบรนด์นาฬิกาและเครื่องประดับทั้งหมด 16 แบรนด์ แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ดังนี้
แบรนด์นาฬิกา 16 แบรนด์ภายใต้ Swatch Group
Swatch Group มีแบรนด์นาฬิกาที่ครอบคลุมทุกระดับตลาด แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก:
แบรนด์นาฬิกาหรู
- Breguet – ก่อตั้งปี 1775 หนึ่งในแบรนด์เก่าแก่ที่สุด จะฉลองครบรอบ 250 ปีในปี 2025
- Harry Winston – “ราชาแห่งเพชร” เข้าร่วมบริษัทในปี 2013
- Blancpain – แบรนด์นาฬิกาเก่าแก่ที่สุดในโลก (1735) มีชื่อเสียงด้านนาฬิกาดำน้ำ Fifty Fathoms
- Glashütte Original – แบรนด์หรูจากเยอรมนี ผลิตกลไกเองทั้งหมด
- Jaquet Droz – โดดเด่นด้วยหน้าปัดเรียบหรูและกลไกซับซ้อน
นาฬิการะดับกลางถึงสูง
- Omega – แบรนด์ชั้นนำที่มีประวัติร่วมกับภารกิจอวกาศและภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ 007
- Longines – ก่อตั้งปี 1832 เน้นความคลาสสิกและสง่างาม
- Rado – นวัตกรรมด้านวัสดุ โดยเฉพาะเซรามิก
- Union Glashütte – นาฬิกาเยอรมันคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้
นาฬิการะดับทั่วไปและแฟชั่น
- Tissot – นาฬิกาสวิสคุณภาพดีราคาไม่แพง
- Certina – นาฬิกาสปอร์ตแข็งแรงทนทานด้วยระบบ DS (Double Security)
- Mido – ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจากงานสถาปัตยกรรม ก่อตั้งปี 1918
- Hamilton – แบรนด์อเมริกันดั้งเดิม นิยมในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด
- Balmain – นาฬิกาที่ได้แรงบันดาลใจจากแฟชั่นชั้นสูงปารีส
- Swatch – นาฬิกาที่ปฏิวัติวงการด้วยดีไซน์ร่วมสมัย สีสันสดใส ราคาย่อมเยา
- Flik Flak – นาฬิกาสำหรับเด็ก ช่วยให้เรียนรู้การดูเวลาอย่างสนุกสนาน
นวัตกรรมและการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง
นอกจากการผลิตนาฬิกาและเครื่องประดับแล้ว Swatch Group ยังมีบริษัทในเครือที่ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับอุตสาหกรรมนาฬิกา โดยเฉพาะ ETA SA ซึ่งเป็นผู้ผลิตกลไกนาฬิการายใหญ่ที่จำหน่ายให้กับแบรนด์นาฬิกาทั้งภายในและภายนอกกลุ่มบริษัท
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Swatch Group ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมมากมาย เช่น:
- SISTEM51 – กลไกนาฬิกาออโตเมติกที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนเพียง 51 ชิ้น และสามารถประกอบได้โดยระบบอัตโนมัติทั้งหมด เปิดตัวในปี 2013
- Nivachron – วัสดุไทเทเนียมสำหรับผลิต Balance spring ที่ทนต่อสนามแม่เหล็กและอุณหภูมิ พัฒนาโดย Nivarox ในปี 2018
- Bioceramic – วัสดุผสมระหว่างผงเซรามิกและวัสดุชีวภาพ ที่ใช้ในการผลิตตัวเรือนนาฬิกาของ Swatch เปิดตัวในปี 2021
นอกจากนี้ Swatch Group ยังให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด โดยในปี 2008 Nicolas G. Hayek ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาพลังงานสะอาดผ่านบริษัท Belenos Clean Power Holding เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์และระบบขับเคลื่อนที่ไม่ปล่อยมลพิษ
กลยุทธ์การบริหารและความยั่งยืน
ปัจจุบัน Swatch Group บริหารงานโดยตระกูล Hayek โดยมี Nayla Hayek ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท และ Nick Hayek Jr. เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในขณะที่ Marc A. Hayek ดูแลแบรนด์หรูหราอย่าง Breguet, Blancpain และ Jaquet Droz และในปี 2024 ได้รับเลือกเข้าเป็นคณะกรรมการบริษัทอีกด้วย
กลุ่มบริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านการตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ในปี 2017 ได้ขยายโรงหลอมทองคำส่วนกลางของบริษัทเพื่อควบคุมกระบวนการผลิตโลหะมีค่าทั้งหมดภายในองค์กร และในปี 2018 โรงหลอม Nivarox ได้รับการรับรองมาตรฐาน Code of Practices (RJC CoP) และ Chain of Custody (RJC CoC) จาก Responsible Jewellery Council
Swatch Group มีสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ Swatch ในเมือง Biel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเปิดใช้งานในปี 2019 เป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น Shigeru Ban สะท้อนถึงแนวคิดด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมของกลุ่มบริษัท
สรุป
Swatch Group เป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จากการเผชิญหน้ากับวิกฤตควอตซ์ในทศวรรษ 1970 สู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนาฬิกาโลกในปัจจุบัน ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การเจาะตลาดทุกระดับด้วยแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และการควบคุมห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร