หากคุณเคยเดินทางไปฟิลิปปินส์ ภาพของผึ้งยักษ์ใส่ชุดสูท หมวกเชฟ และถุงมือสีขาว คงเป็นภาพที่คุ้นตาตามท้องถนนของประเทศแห่งนี้ Jollibee ไม่ใช่เพียงแค่ร้านฟาสต์ฟู้ดธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวฟิลิปปินส์ และเป็นตัวอย่างความสำเร็จทางธุรกิจที่น่าประทับใจ
ย้อนกลับไปในปี 1975 โทนี่ ตัน แคคเทียง และครอบครัวของเขาได้เปิดร้านไอศกรีม Magnolia เล็กๆ ในย่านคูเบา เมืองเกซอนซิตี้ ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าร้านไอศกรีมเล็กๆ นี้จะเติบโตกลายเป็นเครือร้านอาหารยักษ์ใหญ่ระดับโลกในอนาคต เมื่อพบว่าเมนูอาหารร้อนและแซนด์วิชที่ขายควบคู่กับไอศกรีมกลับได้รับความนิยมมากกว่า ในปี 1978 ตัน แคคเทียงจึงตัดสินใจเปลี่ยนร้านไอศกรีมให้กลายเป็นร้านอาหารจานด่วน และจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท Jollibee Foods Corporation (JFC) อย่างเป็นทางการ
ที่มาของชื่อและมาสคอตผึ้งแสนสุข
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมร้านอาหารจานด่วนถึงใช้ผึ้งเป็นสัญลักษณ์ แท้จริงแล้วชื่อ “Jollibee” มาจากคำว่า “Jolly” (ร่าเริง) และ “Bee” (ผึ้ง) สื่อถึงการทำงานหนักเหมือนผึ้งที่ขยันขันแข็ง แต่ยังคงมีความสุขและรอยยิ้ม โดยในช่วงแรกชื่อร้านเขียนว่า “Jolibe” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “Jollibee” เพื่อให้อ่านและจดจำได้ง่ายขึ้น
Source: https://1000logos.net/jollibee-logo/
มานูเอล ลุมบา ที่ปรึกษาทางการตลาดที่ช่วยวางกลยุทธ์ให้กับ Jollibee ในช่วงแรกเริ่ม เล่าว่าเขาได้แรงบันดาลใจจากหนังสือการ์ตูนของลูกสาววัย 6 ขวบ มาออกแบบมาสคอตผึ้งตัวนี้ “ถ้าดิสนีย์มีมิกกี้เมาส์ ทำไมเราจะมีผึ้งไม่ได้?” เขาเสริมหมวกเชฟเพื่อสื่อถึงคุณภาพของอาหาร เสื้อสูทสีแดงพร้อมกับเสื้อกั๊กและถุงมือสีขาวที่ได้แรงบันดาลใจจากตัวละครของดิสนีย์ และออกแบบให้มีแก้มป่องเหมือนตัวการ์ตูน “นานง ปานดัก” ในหนังสือการ์ตูนของโทนี่ เวลาสเกซ
การเติบโตและการเอาชนะคู่แข่ง
ในปี 1979 Jollibee ได้เปิดสาขาแฟรนไชส์แรกที่ซานตา ครูซ กรุงมะนิลา และเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีสาขาทั่วกรุงมะนิลา เมื่อแมคโดนัลด์เข้ามาเปิดสาขาในฟิลิปปินส์ในปี 1981 หลายคนคาดการณ์ว่า Jollibee จะไม่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่จากอเมริกาได้ แต่ด้วยกลยุทธ์การมุ่งเน้นรสชาติที่ถูกปากชาวฟิลิปปินส์และความเข้าใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้ Jollibee ไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ยังเติบโตจนกลายเป็นผู้นำตลาดอาหารจานด่วนในฟิลิปปินส์ได้อย่างน่าประหลาดใจ
Yumburger
Source: Jollibee Facebook Page
เมนูที่โดดเด่นของ Jollibee มีตั้งแต่ Yumburger เบอร์เกอร์เนื้อคลาสสิกที่เป็นสินค้าแรกของร้านในปี 1978 ตามมาด้วย Jolly Spaghetti สปาเกตตี้รสชาติหวานแบบฟิลิปปินส์ที่เสิร์ฟพร้อมซอสเนื้อ ชิ้นแฮม และไส้กรอก และที่โด่งดังที่สุดคือ Chickenjoy ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในที่ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในช่วงทศวรรษ 1980 จนถึงปัจจุบัน
การขยายตัวสู่ตลาดโลก
การก้าวสู่ตลาดต่างประเทศของ Jollibee เริ่มต้นในปี 1985 เมื่อเปิดสาขาแรกในสิงคโปร์ที่ศูนย์การค้า Katong Shopping Centre แม้ว่าสาขาแรกนี้จะปิดตัวลงเพียงปีเดียวหลังจากเปิด แต่ก็นับเป็นก้าวแรกสู่ตลาดต่างประเทศ ในปีเดียวกันนั้น Jollibee ยังได้ขยายสาขาไปยังตะวันออกกลางและเกาะกวม
ในปัจจุบัน Jollibee มีสาขามากกว่า 1,668 สาขาใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยนอกจากฟิลิปปินส์แล้ว เวียดนามและสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ โดยมีสาขาในเวียดนามมากถึง 200 สาขาในปี 2024 และมีสาขาในอเมริกาเหนือรวมแคนาดาประมาณ 100 สาขา นอกจากนี้ Jollibee ยังได้ขยายตัวเข้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2018 โดยเปิดสาขาแรกที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
เส้นทางสู่อาณาจักรอาหารระดับโลก
ปัจจุบัน Jollibee Foods Corporation (JFC) ไม่ได้เป็นเพียงเจ้าของแบรนด์ Jollibee เท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารชั้นนำอื่นๆ ในฟิลิปปินส์ ได้แก่ Chowking, Greenwich Pizza, Red Ribbon Bakeshop และ Mang Inasal รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินการแฟรนไชส์ Burger King ในฟิลิปปินส์อีกด้วย
นอกประเทศฟิลิปปินส์ JFC ยังเป็นเจ้าของ Smashburger และถือหุ้นใน Panda Express ในฟิลิปปินส์ ล่าสุดในปี 2019 JFC ได้เข้าซื้อกิจการของ The Coffee Bean & Tea Leaf ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก
สรุป
ความสำเร็จของ Jollibee มอบบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก นั่นคือการเข้าใจตลาดท้องถิ่นและการปรับตัวให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภค แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่อย่างแมคโดนัลด์ แต่ Jollibee ก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยการมุ่งเน้นรสชาติที่ถูกปากชาวฟิลิปปินส์และการสร้างความผูกพันทางวัฒนธรรม นอกจากนี้การขยายธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่มั่นคง การเลือกซื้อกิจการที่เสริมศักยภาพ และการรักษาคุณภาพและเอกลักษณ์ของแบรนด์ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Jollibee กลายเป็นหนึ่งในร้านอาหารจานด่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก