สั่งซื้อหนังสือ MIND MAGIC (คลิ๊ก)
สรุปหนังสือ MIND MAGIC วิทยาศาสตร์แห่งเวทมนต์ที่เรียกว่าจิตดลบันดาล
บทนำ
ความลับที่แท้จริง
พวกเราหลายคนถูกสอนให้ใช้ชีวิตด้วยความหวังว่าจะมีบางอย่างที่อยู่นอกเหนือมาช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ และช่วยเติมเต็มไม่ว่าจะเป็นการถูกหวย การมีผู้นำทางที่หลักแหลม ผู้ซึ่งรู้คำตอบของทุกสิ่งอย่าง เทวดาที่คอยปกปักรักษา หรือสิ่งมีชีวิตที่พิเศษที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัว แต่ไม่มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ถึงพลังหรือสิ่งที่มีชีวิตที่ว่านั้น แต่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายเกี่ยวกับพลังแห่งจิตใจ ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชีวิต แม้มันอาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำในตอนแรก นั่นคือการฝึกใช้จิตดลบันดาล
คำว่าจิตดลบันดาลถูกใช้อย่างสับสนกันอยู่มากในวัฒนธรรมร่วมสมัย จิตดลบันดาลหมายถึงการกำหนดจุดมุ่งหมายหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้มันฝังลงไปในจิตใต้สำนึก ซึ่งจิตใต้สำนึกนี้เป็นส่วนของสมองที่ทำงานอยู่ภายใต้ระดับจิตสำนึก การทำแบบนี้จะช่วยกระตุ้นสมองให้พื้นที่สมองส่วนที่ทำตามเป้าหมายสังเกตเห็น และให้ความสำคัญกับจุดมุ่งหมายนั้น ในทางปฏิบัติแล้วนี่หมายความว่า กลไกสมองที่มุ่งเน้นเป้าหมายก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจุดมุ่งหมายนั้นจะปรากฏขึ้นในระดับจิตสำนึกหรือไม่ก็ตาม
จุดมุ่งหมายภายในใจตอนนี้กลายเป็นสิ่งนำทางชีวิต ด้วยการใช้พลังภายในตัวเพื่อเข้าถึงทรัพยากรอันมหาศาลของสมอง จิตดลบันดาลคือการปลูกฝังความเชื่ออันแรงกล้าในความเป็นไปได้ การใช้จิตดลบันดาลไม่ใช่การรักษาหรือเป็นผลในการดับทุกข์ทั้งปวง เช่นเดียวกับทุก ๆ กิจกรรมของมนุษย์ มันอาจถูกจำกัดด้วยปัจจัยมากมายที่อยู่เหนือการควบคุม และความจริงคือสิ่งที่จะกำหนดผลลัพธ์สุดท้าย ไม่ว่าความตั้งใจจะเป็นอย่างไรก็ตาม ดังนั้น โดยหัวใจของมันแล้วการใช้จิตดลบันดาลคือการฝึกฝนที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีส่วนร่วมกับโลก และดำรงชีวิตที่ดี
เมื่อฝึกฝนการใช้จิตดลบันดาลได้บ่มเพาะการมองโลกในแง่ดีโดยอุปนิสัย ซึ่งหมายถึงการมีแนวโน้มที่จะคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีงามในเรื่องที่สำคัญต่าง ๆ ของชีวิต มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการมองโลกในแง่ดีโดยอุปนิสัย เกี่ยวข้องกับประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ตั้งแต่สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ดีขึ้น ไปจนถึงบาดแผลที่หายได้ไวขึ้น ไปจนถึงการดำเนินของโรคที่ช้าลง ในขณะที่บางคนอาจเชื่อว่ามาตรวัดเดียวของการใช้จิตดลบันดาลที่ประสบความสำเร็จคือ ผลลัพธ์เชิงวัตถุที่มันมอบให้
การฝึกจิตดลบันดาลนั้นมีมานับพันปีแล้ว เรื่องการใช้จิตดลบันดาลในปัจจุบันนี้มาจากคัมภีร์พระเวทตามวัฒนธรรมฮินดู ในศตวรรษที่ 19 ก็มีกระบวนการเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณที่รู้จักกันในนามว่ากระบวนการความคิดใหม่ ได้นำแนวคิดจากศาสนาและปรัชญาที่หลากหลายมาสร้างแนวคิดของกฎแห่งการดึงดูด แนวคิดเรื่องกฎแห่งการดึงดูดทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตดลบันดาลหลายประการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย
ประการแรกจิตดลบันดาลถูกนำไปเชื่อมโยงกับคำสอนเรื่องความมั่งคั่งที่มุ่งไปที่ประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วจากวัฒนธรรมวัตถุนิยม และสิ่งที่อาจสร้างความเสียหายได้มากที่สุดคือ การที่มันได้เผยแพร่ความคิดที่ว่าสถานการณ์อันเจ็บปวด และไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ที่ประสบล้วนเป็นผลลัพธ์จากการคิดทั้งสิ้น
ตอนนี้สามารถพูดถึงเรื่องจิตดลบันดาลในแง่ของประสาทวิทยาด้านการรับรู้และการทำงานของเครือข่ายสมองขนาดใหญ่ได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้สามารถอธิบายได้ว่า การใช้จิตดลบันดาลไม่ใช่แผนการที่จะทำให้รวยเร็ว หรือเป็นระบบที่จะทำให้สมปรารถนาด้วยวิธีการที่ผิด แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถพิเศษของสมอง ในการเปลี่ยนแปลง เยียวยา และสร้างตัวเองใหม่ ซึ่งรู้จักกันในคำศัพท์ที่เรียกว่านิวโรพลาสติกซิตี ซึ่งควบคุมความสามารถของสมองในการปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง และปรับตัวทั้งโครงสร้างการทำงานของมันตลอดชีวิต ตามประสบการณ์ที่พบเจอพลังพิเศษนี้ ถูกหล่อหลอมด้วยประสบการณ์การทำซ้ำ และการกำหนดจุดมุ่งหมายทำให้สมองสร้างวงจรใหม่ แล้วตัดทิ้งวงจรเก่าที่ไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป
การใช้จิตดลบันดาลโดยพื้นฐานแล้วก็คือ กระบวนการในการฝังความคิดและภาพของชีวิตที่ปรารถนาเข้าไปในจิตใต้สำนึก เพื่อที่จะใช้จิตดลบันดาลอย่างตั้งใจ ต้องเรียกคืนพลังภายในเพื่อควบคุมความสนใจ ในกระบวนการนี้ต้องเรียนรู้วิธีควบคุมพลังด้วยการทำความเข้าใจว่า มันเกี่ยวข้องในฐานะสปีซีส์หนึ่ง ซึ่งต้องเข้าใจกลไกทางสรีรวิทยาที่ทำให้สามารถควบคุมพลังนั้นได้เมื่อตั้งใจกำกับความสนใจไปยังเป้าหมายที่ต้องการแล้ว ภาพที่ปรากฏขึ้นมาจะกลายเป็นสิ่งสำคัญต่อสมอง วิธีที่ภาพเหล่านั้นได้รับการติดตั้งมาจากกระบวนการที่เรียกว่า การติดแท็กคุณค่า ซึ่งเป็นวิธีที่สมองตัดสินว่าอะไรมีความสำคัญมากพอที่จะถูกประทับลงไปในระดับลึกที่สุดของจิตใต้สำนึก
การมองให้เห็นภาพในใจเป็นเรื่องที่ได้ผลจริง เพราะน่ามหัศจรรย์ที่สมองไม่ได้แยกแยะระหว่างประสบการณ์ทางกายภาพที่เกิดขึ้นจริงกับประสบการณ์ที่ถูกเค้นขึ้นมาจากจินตนาการ ในหนังสือเล่มนี้จะแสดงให้เห็นว่าจะใช้พลังของสมองในการทำให้สิ่งที่กำหนดจุดมุ่งหมายไว้กลายเป็นความจริงได้อย่างไร และจะอธิบายอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในมุมมองของประสาทวิทยาศาสตร์ การใช้จิตดลบันดาลไม่ได้อยู่ใต้การผูกขาดของสมาคมลับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดเพียง 1% การใช้จิตดลบันดาลเป็นแนวทางที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันจริง ๆ เพราะพลังของมันอยู่เหนือมิติทางด้านกายภาพ ด้านจิตใจ และด้านอารมณ์ ณ ช่วงเวลาหนึ่งของคนคนหนึ่ง
บทที่ 1
ออกจากซากปรักหักพัง
คนเราไม่สามารถครอบครองอะไรมากเกินกว่าที่เขาจะสามารถรักมันได้ เมื่อไหร่ซึ่งความกระจ่างชัด และความรู้สึกสบายใจของการฝึกฝน ที่จะคอยเชื่อมต่อผู้เขียนกับประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ได้จากรูธ ผู้เขียนต้องเผชิญหน้าเพียงลำพังกับการล่มสลายของครอบครัว การสูญเสียทรัพย์สิน และการขายสินทรัพย์เพื่อชำระหนี้ ที่สำคัญที่สุดคือผู้เขียนต้องเผชิญหน้ากับการที่ตัวเองได้สูญเสียนิสัยอันทรงพลังในการเปิดหัวใจ ซึ่งเคยช่วยกำจัดเสียงเชิงลบอันโหดร้ายที่วิ่งวนอยู่ในจิตใจไปได้ชั่วคราว
เมื่อปราศจากยาแห่งความเมตตากรุณาที่ถูกหยดอย่างสม่ำเสมอ นิสัยวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองและสงสัยในตัวเองที่หยั่งรากลึกก็ค่อย ๆ ย้อนกลับมาด้วยความเครียดแค้น เสียงนี้ผุดขึ้นมาจากสิ่งที่รูธเรียกว่าบาดแผลของหัวใจ พวกเราหลายล้านคนใช้ชีวิตอยู่ในม่านหมอกแห่งการปฏิเสธความจริงและความหวังจอมปลอม ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วอะไรทำให้ป่วย หรือไม่ต้องการที่จะรับรู้เลยด้วยซ้ำ เพียงใช้ชีวิตไปวัน ๆ และหวังให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น จากนั้นก็จะมานั่งหาเหตุผลกันตอนที่พบว่าตัวเองก่อเรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความงุนงง สำหรับหลาย ๆ คนพวกเขากำลังใช้จิตดลบันดาลความทุกข์ของตนเองขึ้นมา
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบ และความปรารถนาต่าง ๆ ก็มักจะไม่สมบูรณ์แบบด้วยเช่นกัน จินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ได้จินตนาการถึงความซับซ้อนที่สิ่งเหล่านั้นจะนำมาให้ ก่อนที่จะคิดว่าอยากให้จิตดลบันดาลอะไรขึ้นมาบ้างในช่วงต่อไปของชีวิต จำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่าได้ใช้จิตดลบันดาลอะไรไปแล้วบ้าง และประเมินคุณค่าของมันด้วยสมองที่โปร่งโล่ง และหัวใจที่เปิดกว้าง อะไรบ้างที่เข้าท่า และอะไรบ้างที่ไม่เข้าท่า อะไรคือบทบาทในการทำให้จิตดลบันดาลคฤหาสน์ที่ว่างเปล่า การคิด ชุดความเชื่อที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ และเรื่องของหัวใจที่ยังไม่ได้สะสางให้ลุล่วง มีส่วนทำให้เกิดหล่มโคลนนี้ขึ้นมาได้
บทที่ 2
เครือข่ายและแรงสั่นสะเทือน กลไกทางสรีรวิทยาของจิตดลบันดาล
สมองของเราเต็มไปด้วยเซลล์ประสาทหลายประเภท พวกมันสร้างใหม่และเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของสมอง อาทิการตีความข้อมูลจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม การจดจำ รูปแบบ ความจำ และสัญชาตญาณ กลุ่มเซลล์ประสาทจะรวมตัวกันในพื้นที่ที่สามารถจำแนกได้ และพื้นที่เหล่านี้จะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าเครือข่ายในสมองขนาดใหญ่ เครือข่ายเหล่านี้ทำงานเหมือนกับกลุ่มพันธมิตรที่รวมตัวจัดตั้งกันขึ้นมาเองเพื่อทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และประสานงานเพื่อดำเนินการงานระดับสูง และสร้างองค์กรประกอบของจิตสำนึกที่สลับซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อขึ้นมา จิตดลบันดาลอาศัยวงจรขนาดใหญ่ 4 วงจร ได้แก่
- เครือข่ายหมวดเริ่มต้น
- เครือข่ายการบริหารส่วนกลาง
- เครือข่ายการประเมินความสำคัญ
- เครือข่ายการจัดการความสนใจ
การปฏิสัมพันธ์กันระหว่างพื้นที่ในสมองทั้ง 4 ส่วนหลักนี้ ร่วมกับระบบประสาทอีก 2 ส่วน ทำให้สามารถมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องที่กำหนดจุดมุ่งหมายเอาไว้ได้ และนั่นทำให้เรื่องที่กำหนดจุดมุ่งหมายไว้มีความสำคัญมากพอที่สมองจะฝังมันลงไปในจิตใต้สำนึก และใช้พลังของจิตใต้สำนึกเพื่อทำให้จิตดลบันดาลสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา
มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ต้องเครียดอยู่ตลอดเวลา ภาวะเครียดเรื้อรังที่หลายคนต้องทนทุกข์ในปัจจุบันนี้ แท้จริงแล้วเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ของการทำงานของระบบประสาทที่ปฏิสัมพันธ์กับชีวิตยุคใหม่บนระดับพื้นฐานที่สุด มนุษย์มีกลุ่มเส้นประสาทที่เกิดขึ้นในก้านสมองที่เรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบประสาทส่วนนี้พัฒนาขึ้นในช่วงแรก ๆ ของวิวัฒนาการของมนุษย์ และแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกที่พัฒนาขึ้นคือระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งงานของมันคือการคอยดูแลความอยู่รอดทางกายภาพ และความอยู่รอดของยีน และกิจกรรมหลักของมันคือการจัดการการตอบสนองแบบสู้ หนี หรือแข็งค้าง นี่คือส่วนที่อมิกดาลาปกครองดูแลอยู่ มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ต่าง ๆ นับไม่ถ้วนมายาวนานหลายล้านปีแล้ว วิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ชี้เป็นหรือชี้ตาย มีพลังในการควบคุมทรัพยากรทางกายภาพและทรัพยากรทางอารมณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลทำให้ฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลหลั่งออกมาในร่างกาย และทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ หดเกร็งเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์
ต่อมาระบบประสาทของมนุษย์ได้วิวัฒนาการไปอีกขั้น ด้วยการพัฒนาระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าเป็นการตอบสนองแบบหยุดพักและรอย่อย หน้าที่ของระบบประสาทคือการทำให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาวะพักผ่อนอย่างสงบ เปิดรับการเชื่อมต่อกับผู้อื่นและกับสภาพแวดล้อม จะสามารถเข้าสู่การทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้นของสมองส่วนนีโอคอร์เท็กซ์ (สมองส่วนหน้า) ไม่ว่าจะเป็นการคิด วางแผน ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
ความแตกต่างในการตอบสนองทั้ง 2 แบบ จะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อกระบวนการในการใช้จิตดลบันดาล เพราะสมองจะยอมให้รวบรวมสมาธิ เข้าถึงพลังแห่งจินตนาการ และปลดล็อคจิตใต้สำนึกได้ก็ต่อเมื่อการตอบสนองของระบบประสาทเปลี่ยนไปเป็นแบบหยุดพักและรอย่อยเท่านั้น
โลกยุคปัจจุบันที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ที่กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองแบบสู้ หนี หรือแข็งค้าง และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้การตอบสนองในลักษณะนี้คงอยู่อย่างต่อเนื่องด้วยภัยต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีอยู่จริง ภัยที่จินตนาการขึ้นมาเอง หรือภัยที่ไม่ได้มีความสละสำคัญอะไร
การเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของการตอบสนองแบบสู้ หนี หรือแข็งค้าง และการที่มันหลั่งโปรตีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบออกมานั้น ได้ส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมถึงทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ต้องเสียสุขภาพและอายุไขไปเป็นอย่างมากจากความเครียดที่เกิดขึ้นรื้อรัง ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงสิ่งตกค้างจากเศษซากทางวิวัฒนาการที่ไม่เหมาะสมสำหรับการตอบสนองต่อโลกยุคปัจจุบัน แม้ว่าการตอบสนองแบบหยุดพักและรอย่อยจะเหมาะสมกับการเบ่งบานในโลก แต่การตอบสนองแบบนี้ก็ต้องอาศัยการพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมร่างกายและจิตใจให้ได้
เครือข่ายโหมดเริ่มต้น เป็นเครือข่ายในสมองที่ได้รับการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุด โดยพื้นฐานแล้วเครือข่ายโหมดเริ่มต้นมีหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมของสมองเมื่อจดจ่อกับภายในของตัวเอง รวมถึงตอนพักผ่อนที่ยังมีสติรู้ตัว ในแง่หนึ่งมันช่วยให้สามารถเล่าเรื่องราวของตนเอง เรียกค้นและผสานอัตชีวประวัติที่ถูกเก็บไว้ในความจำระยะยาว นักวิจัยในยุคแรกสังเกตเห็นว่าเครือข่ายโหมดเริ่มต้นจะไม่ทำงาน เมื่อคนเรามีสมาธิจดจ่อไปที่ภารกิจต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายหนึ่ง
หนึ่งในปรากฏการณ์ทางจิตใจที่อันตรายที่สุดคือ การพูดกับตัวเองในแง่ลบจนเป็นนิสัยซึ่งเรียกมันว่านักวิจารณ์ภายใน สามารถมองนักวิจารณ์ภายในได้ว่าเป็นความร่วมมือที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างเครือข่ายโหมดเริ่มต้นกับระบบประสาทซิมพาเทติก เครือข่ายโหมดเริ่มต้นนี้มีความเกี่ยวข้องในเชิงลบกับเครือข่ายควบคุมความสนใจ ซึ่งหมายความว่ายิ่งทำงานมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเข้าถึงพลังแห่งสมาธิได้น้อยลงเท่านั้น
เครือข่ายการประเมินความสำคัญ คือระบบการรับรู้ที่สมองใช้ในการกำหนดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ สมองถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูลจำนวนระหว่าง 6 ถึง 10 ล้านบิทต่อวินาที ขณะที่มันสามารถประมวลผลข้อมูลได้เพียง 50 บิทต่อวินาทีในขณะที่รู้ตัว เครือข่ายการประเมินความสำคัญจะระบุหาสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่อง หรือความสำคัญตามอัตวิสัยมากที่สุด และนำพาให้สร้างพฤติกรรมภายในทิศทางนั้น การทำงานที่ผิดปกติของเครือข่ายการประเมินความสำคัญนั้นอาจเป็นลักษณะหลักของความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ความเจ็บปวด และโรคของการติดสารเสพติด ความสำคัญของความคิด แนวคิด หรือสิ่งที่กำหนดจุดมุ่งหมายไว้จะเป็นตัวกำหนดว่าข้อมูลส่วนใดบ้างที่น่าจะดึงดูดความสนใจของคนคนหนึ่งมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของคนคนหนึ่งมากที่สุด
เครือข่ายการจัดการความสนใจ ภายในเครือข่ายการประเมินความสำคัญ มีสมองส่วนสำคัญอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งบทบาทของมันคือมุ่งเน้นไปในสิ่งที่สนใจ สมองส่วนนี้มีชื่อเรียกว่าเครือข่ายการจัดการความสนใจ หน้าที่ของเครือข่ายเหล่านี้คือการกำหนดว่าจะให้ความสนใจอย่างไร และจะปล่อยให้ความสนใจถูกเบี่ยงเบนไปหรือไม่
เครือข่ายการบริหารส่วนกลาง คอยดูแลและจัดการข้อมูลในหน่วยความจำที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และยังมีหน้าที่ในการตัดสินใจและแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่นำไปสู่เป้าหมาย อาจจะคิดถึงมันในฐานะผู้บริหารระดับสูงที่ออกคำสั่งและตัดสินใจว่าทั้งองค์กรจะเดินหน้าไปในทิศทางไหน ในขณะที่เครือข่ายโหมดเริ่มต้นทำงานในช่วงที่อยู่ในสถาวะพักผ่อนแบบที่ยังรู้ตัวอยู่ เครือข่ายการบริหารส่วนกลางกลับทำงานใตช่วงที่มีกิจกรรมที่ท้าทายต่อสติปัญญาและอารมณ์เกิดขึ้น เวลาที่เครือข่ายการบริหารส่วนกลางทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันจะเหมือนผู้ใหญ่ที่สุขุมและมั่นคง สามารถปลอบระบบประสาทที่ชอบทำตัวเป็นเด็กให้สงบและคลี่คลายความโกรธของมันลง
เพื่อที่จะใช้จิตดลบันดาลได้อย่างเต็มศักยภาพ เครือข่ายในสมองทั้ง 4 ต้องทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิผล ในปฏิกิริยาที่มีผลกระทบต่อกันออกมาอย่างสง่างาม การทำงานเป็นทีมของเครือข่ายต่าง ๆ ช่วยเปิดทางให้สามารถฝังจุดมุ่งหมายลงไปในจิตใต้สำนึกได้ ซึ่งนั่นทำให้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่สำคัญในสมองถูกอุทิศให้กับการทำให้สิ่งที่กำหนดจุดมุ่งหมายไว้นั้นเกิดขึ้นในชีวิตจริง
แรงสั่นสะเทือน องค์ประกอบสุดท้ายทางสรีระวิทยาที่มักถูกพูดถึงเกี่ยวกับจิตดลบันดาลก็คือพลังงานสั่นสะเทือน แม้คนมักจะเข้าใจผิดกันไปเยอะ แต่ก็มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์มากมายสนับสนุนแนวคิดที่ว่า มีการหมุนเวียนของพลังงานจำนวนมากที่เชื่อมโยงสรรพสิ่งในจักรวาลเข้าด้วยกัน ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค สรรพสิ่งในจักรวาลมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนไม่มีชีวิตและอยู่แน่นิ่ง การค้นพบหนึ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดในวงการฟิสิกส์คือ ความสอดคล้องเชิงควอนตั้ม ซึ่งทำให้เกิดการคาดการณ์เรื่องการกระทำที่ไม่ขึ้นอยู่กับระยะทาง และการสื่อสารฉับพลันระหว่างอนุภาคย่อยของอะตอมที่แยกจากกันด้วยระยะทางอันไกลโพ้น อนุภาคเหล่านี้ซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานของโลกกายภาพจะสั่นพร้อมต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับระบบชีวิตที่มีความซับซ้อนทั้งหลาย มนุษย์ประกอบไปด้วยเครือข่ายที่เป็นพลวัตรและเชื่อมโยงระหว่างกันมากมายของโครงสร้างและกระบวนการทางชีววิทยาซึ่งทำงานสอดประสานกันอยู่
เมื่อได้เรียนรู้องค์ประกอบหลัก ๆ ในร่างกายที่จะใช้ขับเคลื่อนจิตดลบันดาลแล้ว ก็เริ่มต้นลงมือทำตามแต่ละขั้น เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบและเครือข่ายต่าง ๆ ของสมองเหล่านี้
บทที่ 3
ขั้นตอนที่ 1 เรียกคืนพลังเพื่อจดจ่อกับจิตใจ
ข้างในทุกคนล้วนมีพลังภายในอันน่าเหลือเชื่อ ซึ่งจำกัดมันไว้ด้วยความเชื่อของตัวเอง มันคือพลังในการอดทนต่อความรู้สึกที่ไม่สบาย พลังในการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน พลังในการตัดสินใจว่าอะไรที่จะปล่อยให้เข้ามาในจิตใจจากสภาพแวดล้อม และอะไรที่จะไม่ปล่อยให้เข้ามา พลังในการควบคุมการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือสถานการที่ฉายซ้ำในจิตใจจากเรื่องในอดีต นี่คือพลังแห่งการเลือก พลังนี้เองที่ช่วยให้มุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่เลือก นี่คือพลังที่สามารถเรียกใช้เพื่อควบคุมความสนใจไปยังจุดมุ่งหมายภายในที่ผลิตอารมณ์เชิงบวกอันทรงพลัง ซึ่งแข็งแกร่งมากพอที่จะปลดปล่อยจากการเสพติดทางอารมณ์ที่ทำให้ใช้ชีวิตอย่างอัตคัด
เนื่องจากพลังของการฝึกฝนนั้นอยู่ที่ความเชื่อของจิตใจ พลังของการฝึกฝนจึงไม่ถูกจำกัดโดยความเชื่อของคนอื่นที่คิดว่าความปรารถนาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การใช้จิตดลบันดาลต้องการเพียงการลงทุนด้านเวลา พลังงาน ความสนใจ และหัวใจเท่านั้น แม้ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรและการทำซ้ำ แต่เทคนิคต่าง ๆ ก็ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายใด ๆ สำหรับการฝึกฝน หากตั้งใจที่จะก้าวข้ามความเชื่อที่ฝังรากลึกในตัวเอง ก็จะไม่มีความเชื่อของใครหน้าไหนจะมีอำนาจจำกัดสิ่งที่สามารถบรรลุได้ในท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับจักรวาล มันเกี่ยวกับตัวเองต่างหาก อาจเชื่อว่าพลังภายในถูกจำกัดด้วยสถานการณ์ภายนอก หรือเงื่อนไขจากอดีต แต่จริง ๆ แล้วมันเริ่มต้นจากจิตใจของตัวเอง
เดิมพันด้วยความสนใจ ส่วนมากของเวลาที่ล่วงไป ดำเนินชีวิตโดยที่รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจ ความรู้สึกของการเป็นผู้ร่วมประสบการณ์คนหนึ่งที่ทำอะไรไม่ได้เลยนั้น เหมือนกับการเป็นผู้โดยสารในรถยนต์ที่มีใครสักคนหรืออะไรสักอย่างกำลังขับอยู่ ทำให้ต้องเจ็บปวดอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกท้อแท้ หมดพลัง และมันอาจต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าที่จะกลับมารู้สึกตัวด้วยความงวยงง และพบว่าตัวเองอยู่ห่างไกลจากจุดที่ต้องการจะไป
ความจริงก็คือความรู้สึกไร้พลังนั้นมักจะเป็นภาพลวงตา การวางเงื่อนไขของตัวเราให้โต้ตอบเชิงลบต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกบางอย่างเป็นเพียงแค่แบบแผนของสัญญาณทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ที่เชื่อมต่อกัน จิตใจก็ปรับตัวเข้ากับกิจกรรมที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ และเลิกยื่นโอกาสให้ได้เลือกอย่างมีสติอีกต่อไป ในแง่หนึ่งนี่คือสภาวะลื่นไหลเชิงลบในระดับจิตใต้สำนึก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ตราบใดที่ยังมีสมองที่ทำงานได้ปกติ ก็ยังมีอำนาจในการกำหนดชีวิตของตัวเองอยู่ ไม่ได้ประสบการณ์ไร้อำนาจในการกำหนดชีวิตตัวเอง อำนาจในการกำหนดชีวิตของตัวเองนั้นคือพลังวิเศษที่ลืมไปว่ามีมันอยู่ในครอบครอง
ความรู้สึกว่ามีอำนาจในการกำหนดชีวิตตัวเอง เป็นแค่ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่สมองสร้างขึ้นมาจากการผสมผสานของสัญญาณต่าง ๆ ในประสบการณ์ สมองจะตรวจสอบว่าการกระทำต่าง ๆ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ฉะนั้น จึงใช้ข้อมูลนั้นเพื่อประเมินว่ามีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นั้นหรือเปล่า ประเด็นสำคัญคือความรู้สึกถึงการมีอำนาจในตนเองนั้นเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่รับรู้ได้จริง ซึ่งสามารถอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระบวนการคิด ดังนั้น ความลึกซึ้งและประสิทธิภาพของความรู้สึกถึงพลังภายใน จึงขึ้นอยู่กับเรื่องราวที่บอกกับตัวเองเกี่ยวกับความสามารถในการแสดงพลังนั้นออกมา
อุปสรรคสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการใช้จิตดลบันดาลคือการให้พลังมากจนเกินไปกับสิ่งที่เข้ามาทางประสาทสัมผัสที่ไม่พึงประสงค์ และการไม่เข้าใจว่าพลังอยู่ที่การตอบสนองต่อสิ่งที่เข้ามา แต่ในความจริงแล้ว การที่จะเข้าถึงพลังภายในได้นั้นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ และไม่หันหลังหนีมันในทันทีเสียก่อน การที่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็จะเข้าใจว่า การเรียกคืนพลังในการเลือกการตอบสนองต่อความไม่สะดวกสบายนั้นที่จะทำให้เข้าถึงพลังในการใช้จิตดลบันดาลได้ ทั้งหมดที่ต้องทำคือการฝึกฝนให้ถูกต้อง ต้องเรียนรู้ที่จะต้านทานแรงกระตุ้นอย่างรุนแรงตามธรรมชาติที่จะหลบหนีหรือปฏิเสธความไม่สะดวกสบาย แล้วหันมาพัฒนาความสามารถในการอยู่กับมันให้ได้นานพอที่มันจะเปลี่ยนแปลงและหายไปในระดับจิตสำนึก
การใช้จิตดลบันดาลเป็นกระบวนการของการคิดที่ชัดเจนและจดจ่อ ความจริงก็คือเมื่ออยู่ในหมวดเอาตัวรอด วิตกกังวล หรือเครียดจะไม่ได้คิดอย่างชัดเจน และหวนกลับไปสู่วิถีพฤติกรรมที่มาจากการเรียนรู้จนเป็นนิสัย การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ในระดับสูงลดลง ถูกครอบงำโดยปฏิกิริยาโต้ตอบทางสรีระวิทยาต่าง ๆ ซึ่งขโมยความเฉลียวฉลาดโดยธรรมชาติ ยิ่งอยู่ในความกลัวมากเท่าไหร่ ความคิดภายในจิตใจก็จะยิ่งขุ่นมัวมากขึ้นเท่านั้น เมื่อบุคคลหนึ่งสูญเสียการรับรู้เกี่ยวกับทรัพยากรภายในของตนเอง พวกเขาจะพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะพิจารณาทางเลือกก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ในระดับสูงถูกปล้น โดยการตอบสนองเพื่อความอยู่รอดของสมองแบบสัตว์เลื้อยคลาน
ขั้นตอนสำคัญประการแรกในการเรียกคืนพลังกลับมาคือการถอยออกมาและดู มันเป็นไปได้ที่จะมองความคิดของตัวเองอย่างเป็นกลางและปราศจากความผูกพันทางอารมณ์ ด้วยการฝึกฝนการมองเห็นความคิดตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นก้าวแรกของการหลุดออกจากภาพลวงตาของสภาวะที่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อสงบลงมากพอที่จะมองเห็นความคิดต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ก็จะได้พบช่องว่างคั่นอยู่ ช่องว่างเหล่านี้คือจุดที่มีพลังในการเลือกวิธีการตอบสนอง และในช่องว่างเหล่านี้เองที่มีอิสระภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าใจว่าสามารถเชื่อมโยงกับกระบวนการทางความคิดในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างชัดเจนและทรงพลังมากขึ้นแล้ว จะเริ่มเรียนรู้ว่าหากคิดและทำในแบบเดิม ๆ มันก็จะผลิตความจริงในรูปแบบหนึ่งขึ้นมา และหากได้เรียนรู้บทเรียนแล้วและเลือกทำในแบบที่ต่างออกไป มันก็จะผลิตความจริงอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าปรารถนากว่าเดิมขึ้นมา เมื่อหวังที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดี เส้นทางนั้นเหมือนเดิมทุกประการ ดังที่นักปรัชญาแนวสโตอิกอย่างเอพิคทิตัสได้กล่าวไว้ว่า “ไม่สำคัญว่าอะไรเกิดขึ้นกับคุณ แต่สิ่งสำคัญคือวิธีที่คุณตอบสนองต่อสิ่งนั้นต่างหาก” เพียงแค่ต้องเริ่มก้าวแรกให้ได้เท่านั้นเอง
บทที่ 4
ขั้นตอนที่ 2 กำหนดสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง
เมื่อเริ่มฝึกฝนการใช้จิตดลบันดาล นั่นก็เท่ากับว่ากำลังเริ่มต้นการเชื่อมต่อกับเข็มทิศภายในด้วยเช่นกัน เข็มทิศภายในที่ว่านี้คือภาพของสถานที่ที่ต้องการจะไปซึ่งอยู่ในใจ ภาพนี้ทำให้มีแรงบันดาลใจ ทำให้รู้สึกมีพลัง และนำทางผ่านช่วงเวลาทั้งดีและร้าย โอกาสต่าง ๆ และอุปสรรคที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ซึ่งจะต้องพบเจอระหว่างการเดินทาง หากเลือกจุดมุ่งหมายปลายทางที่มีคุณค่าให้วิสัยทัศน์ภายในนำทาง จะได้รับการนำทางไปสู่สถานที่ที่จำเป็นจะต้องไปให้ถึงอย่างปลอดภัยด้วยเข็มทิศของหัวใจ ดังนั้น ต้องกำหนดจุดมุ่งหมายไปที่จุดหมายที่ควรแก่การแสวงหา
ในวัฒนธรรมปัจจุบัน บทสนทนาเกี่ยวกับการใช้จิตดลบันดาลมักเน้นไปที่การแสวงหาความมั่งคั่งอันน่าตื่นตาตื่นใจ และความสำเร็จภายนอกที่วัดจากมาตรฐานตามค่านิยมแบบวัตถุนิยมของสังคม น่าเศร้าที่พลังของการใช้จิตดลบันดาลถูกบิดเบือนด้วยเรื่องเล่าที่เป็นเท็จในวัฒนธรรม ซึ่งสัญญาว่าการบรรลุความสำเร็จทางวัตถุจะเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าทางอารมณ์ แท้จริงแล้วการพยายามที่จะได้ครอบครองทรัพย์สินทางวัตถุนั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเนื้อแท้ของการใช้จิตดลบันดาลเลย
การรู้ชัดว่าต้องการอะไรอย่างแท้จริงนั้น จะทำให้สามารถกำหนดเข็มทิศภายในไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ การใช้จิตดลบันดาลสามารถช่วยได้ ไม่ว่าจะพบตัวเองอยู่ในขั้นไหนของลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ไม่ว่าสิ่งที่ต้องการจะเป็นอะไร การใช้จิตดลบันดาลสามารถช่วยให้ค้นพบมันได้ ทุกสิ่งที่อยากได้หรือถูกสอนให้อยากได้ต่างเออล้นขึ้นมา มันกลายเป็นว่าความต้องการนั้นไม่มีความชัดเจน ในการพยายามทำความเข้าใจกลุ่มก้อนของความต้องการที่เบียดเสียดกันอยู่มากมายนี้ จะเห็นความท้าทายของการทำความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการจริง ๆ และอะไรคือสิ่งที่คุ้มค่าแก่การแสวงหาอย่างแท้จริง ซึ่งกำลังได้รับความกระจ่างชัดเกี่ยวกับเข็มทิศภายใน เพื่อเป็นการเริ่มต้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับหมู่มวลแห่งความต้องการและความหวัง การไตร่ตรองถึงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ความสำเร็จมีความหมายอย่างไรกันแน่ มันมีหน้าตาแบบไหน และให้ความรู้สึกอย่างไร ให้ตรวจสอบและสำรวจความรู้สึกเกี่ยวกับความสำเร็จที่กำลังแสวงหาอยู่เพื่อประโยชน์ต่อตัวเอง
ให้คุณค่ากับการเติมเต็ม เมื่อเริ่มฝึกการใช้วิจารณญาณในการคัดกรองความปรารถนาที่หลากหลาย อาจเริ่มได้ยินความปรารถนาที่อยู่เบื้องลึกที่สุดในหัวใจ และเริ่มเข้าถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่คิดว่าต้องการกับสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง กลยุทธ์สำคัญคือการใคร่ครวญถึงช่วงเวลาในชีวิตที่รู้สึกดี รู้สึกถูกเติมเต็ม รู้สึกห่วงใย หรือรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เมื่อเริ่มคิดว่าต้องการให้จิตดลบันดาลอะไรขึ้นมา จะกำหนดจุดมุ่งหมายอย่างไร และจะมุ่งสมาธิไปที่ไหน การพาจิตใจให้หวนคิดถึงช่วงเวลาในชีวิตที่ทราบได้จากหัวใจ และจากสัญชาตญาณว่ากำลังอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือได้ นี่จะเปิดโอกาสให้ปรับตัวเข้ากับเข็มทิศภายใน
ประเด็นสำคัญก็คือประสบการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์เชิงบวกที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะมาจากการจินตนาการขึ้นมา หรือมาจากการหวนนึกถึงมัน ล้วนสอนจิตใต้สำนึกให้เพิ่มความสนใจ การหลั่งสารสื่อประสาทอย่างโดพามีนและซีโรโทนิน จะช่วยดึงความสนใจของสมอง แล้วจากนั้นจิตใต้สำนึกก็จะเตรียมพร้อมในการแสวงหาประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันในความเป็นจริง และแสวงหาประสบการณ์เหล่านั้นด้วยความยืดหยุ่นในจิตใจ ยิ่งใช้อำนาจในการควบคุมจิตสำนึกเพื่อควบคุมความสนใจไปยังความปรารถนาที่กำหนดจุดมุ่งหมายไว้ ทำให้ความสำคัญของจุดมุ่งหมายนั้นโดดเด่นขึ้นมา ผ่านการเชื่อมโยงทางอารมณ์เชิงบวกที่เข้มข้น ก็จะยิ่งถ่ายทอดความสำคัญของจุดมุ่งหมายให้จิตใต้สำนึกได้รับทราบอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จิตใต้สำนึกเป็นพันธมิตรที่ทรงพลังมากที่สุดในการเดินหน้าสู่การบรรลุเป้าหมาย และยิ่งเข็มทิศภายในสอดคล้องกับความปรารถนาของหัวใจมากเท่าไหร่ การกระตุ้นอารมณ์เชิงบวกที่เข้มข้นในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงความปรารถนานั้นอยู่ ก็จะทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้นเท่านั้น
บทที่ 5
ขั้นตอนที่ 3 กำจัดอุปสรรคในจิตใจ
เมื่อต่อต้านเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือทางอารมณ์ การต่อต้านจะไปกระตุ้นอมิกดาลา มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับเครือข่ายการประเมินความสำคัญ ซึ่งเป็นกลุ่มของพื้นที่ในสมองที่ตัดสินว่า สิ่งเร้าใดที่สมควรได้รับความสนใจ และตัดสินอย่างรวดเร็วว่าสิ่งใดสำคัญที่สุด ที่จะต้องประมวลผลและตอบสนอง อมิกดาลามีพลังในการเปลี่ยนแปลงเส้นทางทรัพยากรทางการรับรู้ทั้งหมดในทันที เพื่อมุ่งเน้นไปที่ความอยู่รอดทางกายภาพเป็นการเฉพาะ ยิ่งจำกัดให้ความกลัวเข้ามาน้อยลงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งลดการกระตุ้นความรู้สึกถึงภัยคุกคามให้เกิดขึ้นน้อยลงมากเท่านั้น ทำให้สามารถควบคุมความสนใจไปยังสิ่งที่เลือกได้อย่างอิสระ
หากต้องการใช้จิตดลบันดาลได้สำเร็จ ต้องลดระดับเสียงในหัวที่บอกว่าทำไม่ได้ก่อน เพื่อที่จะกำจัดนักวิจารณ์ภายใน สิ่งที่ยากเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้จิตดลบันดาลก็คืออคติจากความคิดเชิงลบ ซึ่งเป็นระบบการแปะป้ายบอกคุณค่าที่ทำให้คำเตือนต่าง ๆ เกี่ยวกับอันตรายมีความโดดเด่นขึ้นมา ในฐานะสิ่งสำคัญที่สุดในจิตใจเพื่อที่จะทำให้สนใจ ความคิดเชิงบวกไม่ได้มีประโยชน์ต่อการอยู่รอด ดังนั้น มันจึงไม่สมควรที่จะได้รับความสนใจในลักษณะเดียวกับที่ภัยคุกคามหนึ่งได้รับ นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมกับข่าวส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่เรื่องที่ไม่ดี แทนที่จะเป็นเรื่องที่ดี ๆ ความคิดเห็นเชิงลบจึงติดและโดดเด่นอยู่ในจิตใจมากจนเกินไป แล้วจากนั้นก็เริ่มทำการเปรียบเทียบและเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไร
สิ่งที่เริ่มต้นจากการเป็นกลไกเพื่อความอยู่รอดขั้นพื้นฐานได้กลายพันธุ์ไปเป็นอัตลักษณ์ส่วนบุคคลแทน ประหนึ่งว่าสิ่งที่รับรู้ว่าเป็นความผิดพลาดส่วนตัวนั้นคือสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และอยู่เหนือการควบคุม อันที่จริงแล้วมันเป็นแค่การที่ร่างกายและจิตใจได้เสพติดอารมณ์เชิงลบอันทรงพลังของความกลัว ความวิตกกังวล และความสิ้นหวัง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกี่ยวข้องกับการปกป้องตัวเอง ผลที่ตามมาก็คือมันเหมือนกับว่าได้สร้างคุกขึ้นมาเพื่อขังตัวเอง ซึ่งคุกนี้ได้จำกัดอำนาจของตัวเองในการจัดการชีวิต
ด้านที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงของนักวิจารณ์ภายในก็คือ มันเป็นสิ่งที่รบกวนสมาธิเป็นอย่างมาก เริ่มนำความคิดเชิงลบเหล่านี้ติดตัวไปทุกที่ที่ไปนำมันไปใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ และสะสมมันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันบดบังวิสัยทัศน์ และเชื่อว่าไม่มีความจริงอื่นใดนอกเหนือไปจากเรื่องเหล่านี้ ทำให้สูญเสียการมองเห็นสภาวะที่เปิดกว้าง อยากรู้อยากเห็น และสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ภายใต้ความคิดลบเหล่านี้ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสิ่งที่อยู่ภายใต้การปกคลุมของความคิดเชิงลบนั้นคือตัวตนแห่งประกายและสว่างไสวซึ่งอยู่ภายในตัว และเมื่อไม่สามารถมองเห็นและเชื่อมโยงกับตัวตนที่แท้จริงได้ ก็จะมองไม่เห็นเข็มทิศภายในที่ชี้ทางให้ไปสู่สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงและวิธีการที่จะได้มันมา
ความเชื่อเชิงลบที่พัฒนาขึ้นในช่วงวัยเด็ก มักจะถูกส่งต่อในระดับจิตใต้สำนึกมาถึงวัยผู้ใหญ่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเติบโตขึ้น พวกมันเป็นการทำงานตามธรรมชาติของวิวัฒนาการ แต่ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มันขับเคลื่อน ความจริงในเรื่องนี้ ซึ่งมักเป็นผลมาจากการที่ชีวิตไม่เป็นไปตามที่ต้องการให้มันเป็น หากไม่สามารถระบุและเข้าใจว่าความรู้สึกเชิงลบดั้งเดิมนั้นมาจากไหน มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะกลับไปติดกับดักของมันอีก เพื่อปล่อยให้จิตใจได้อยู่รายล้อมจุดมุ่งหมายที่ต้องการใช้จิตดลบันดาลให้เกิดขึ้นมา จะต้องทำให้ระบบประสาทดั้งเดิมสงบลง และทำให้มันรู้สึกปลอดภัยมากพอที่จะปล่อยให้ยอมรับความเสี่ยงที่ดีต่อตัวเอง เพื่อที่จะทำให้เติบโตต่อไปได้
พลังแห่งความเชื่อ บ่อยครั้งที่การคิดลบจนเป็นนิสัยทำให้ชีวิตคับแคบ และถูกจำกัดด้วยพลังแห่งความเชื่อที่สร้างขีดจำกัด ความเชื่อเหล่านี้มักเป็นความเชื่อที่ประกอบขึ้นเกี่ยวกับโลกในช่วงวัยแรกเริ่ม มันอาจช่วยให้สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากและเจ็บปวดได้ แต่บ่อยครั้งที่ความเชื่อเหล่านี้มีร่องรอยของการบิดเบือน แต่การหลุดพ้นจากมุมมองที่บิดเบือนต่อโลก จะสร้างพื้นที่สำหรับการฝังความเชื่อเชิงบวก ซึ่งจะมอบพลังให้แก่การใช้จิตดลบันดาล
เส้นทางสู่อิสรภาพ ใครสักคนที่เขามีความสุขสงบกับตัวเอง และปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ตัดสิน เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ก็จะมีพลังในการปฏิสัมพันธ์กับตัวเองในลักษณะเดียวกันด้วย ความรู้สึกเชิงบวกเหล่านี้ชี้ให้เห็นการหลุดพ้นจากความคิดด้านลบที่เกิดขึ้นเป็นนิสัย ผ่านนวัตกรรมทางวิวัฒนาการล่าสุดนั่นก็คือระบบประสาทพาราซิมพาเทติก บาดแผลที่อยู่ลึกสุดก้นบึ้งของหัวใจจำนวนมาก ที่ทำให้เกิดคำวิจารณ์เชิงลบที่ดังที่สุดในใจนั้น เกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ยากลำบากในช่วงแรกเริ่ม
ดังนั้น หากต้องการจัดการกับอุปสรรคที่ต้นเหตุ ต้องเข้าใจว่าการให้ที่พักพิงที่ปลอดภัยแก่ตัวเอง ซึ่งนั่นจะทำให้รู้สึกได้รับการเห็นคุณค่า เป็นที่รัก และได้รับการดูแลอย่างไม่มีเงื่อนไข ต้องมีความรู้สึกอ่อนไหวต่อความทุกข์แบบเดียวกับที่พ่อแม่คนหนึ่งรู้สึกแก่ทารกของเขา และใช้เส้นทางเดียวกันมอบชีวิตด้วยการใช้ความรู้สึกดังกล่าวนี้กับตัวเอง ผ่านการให้ความเมตตาต่อตนเอง
บทที่ 6
ขั้นตอนที่ 4 ฝังจุดมุ่งหมายไว้ในจิตใต้สำนึก
สมองจะคอยปิดกั้นสิ่งเร้าอยู่ตลอดเวลา และกรองประสบการณ์ส่วนใหญ่โดยตั้งใจ สมองจะต่อต้านประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่อาจบังคับมันให้เปลี่ยนแปลงวงจรอันซับซ้อนที่เคยทำหน้าที่ของมันมาก่อน ไม่ว่าวงจรนั้นจะดีต่อสุขภาพหรือไม่ก็ตาม สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ระมัดระวังเรื่องการใช้พลังงานของมันอย่างยิ่งยวด เนื่องจากสมองให้พลังในการคิด การมองเห็น และการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม ทั้งหมดมันจึงเป็นจอมเขมือบพลังงาน ประมาณ 2 ใน 3 ของงบพลังงานของสมอง ถูกนำไปใช้เพื่อช่วยให้เซลล์ประสาทส่งสัญญาณถึงกัน ส่วนอีก 1 ใน 3 ที่เหลือนั้น จะถูกนำไปเพื่อใช้เพื่อการบำรุงรักษาสุขภาพของเซลล์
เรื่องนี้มีความหมายในกระบวนการใช้จิตดลบันดาลตรงที่ว่า หากสมองไม่รู้สึกคุ้นเคยกับเป้าหมายมากพอ มันก็จะปฏิเสธเป้าหมายนั้นไปโดยอัตโนมัติ ข้อมูลใหม่นั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังงานมากเกินไป หากความปรารถนาไม่ได้เป็นเรื่องที่คุ้นเคยสำหรับสมอง ถึงขนาดที่การแสวงหาความปรารถนานั้นจะเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต้องใช้พลังงานในจำนวนมหาศาล สมองก็จะมองข้ามความปรารถนานั้นไปในทันที บ่อยครั้งที่การปฏิเสธนี้อยู่ในรูปของการมองข้างโอกาส
สิ่งที่ทำเมื่อฝึกการมองหาภาพในใจคือกาดรสอนให้สมองเกิดความคุ้นชินสนิทสนมกับความปรารถนา เพื่อที่สมองจะได้จดจำมันได้ในทันที ด้วยการทำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง สมองจึงจะรู้สึกสบายกับความปรารถนา นี่คือปรากฏการณ์ของความง่ายในการประมวลผลของสมอง ยิ่งสมองรู้จักความปรารถนาอย่างซึกซึ้งถึงรายละเอียดสุดท้ายมากเท่าไร สมองก็จะยิ่งใช้พลังในการต้อนรับความปรารถนานั้นเข้าเข้ามาในชีวิตน้อยลงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว การสอนสมองให้รู้จักกับความปรารถนาอย่างมีสตินั้นยังไม่เพียงพอ ต้องให้ความปรารถนาถูกเข้ารหัสในข้อมูลที่สมองจะประมวลผลโดยอัตโนมัติให้ลึกลงไปใต้พื้นผิวในจิตใต้สำนึก เพื่อที่มันจะสามารถค้นหาและจดจำความปรารถนานั้นได้ แม้ในยามที่จิตสำนึกไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นก็ตาม
ในเรื่องของจิตใจ ส่วนต่าง ๆ ของระบบประสาทที่ทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งประกอบด้วยจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึกนั้น โดยจิตสำนึกก็คือส่วนที่อยู่เหนือน้ำ และคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของจิตใจ ขณะที่จิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึกนั้นคือ 90% ที่เหลือ เป็นส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำ หากพูดให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ
จิตสำนึกนั้นหมายถึงการรับรู้ ด้วยการตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก โดยอาศัยประสาทสัมผัสต่าง ๆ ในระดับจิตสำนึก สามารถรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัว รับรู้ถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รับรู้ถึงสิ่งที่เข้ามาทางประสาทสัมผัสที่จำเป็นต่อการประมวลผลเพื่อความอยู่รอด รับรู้ถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ
แม้ว่าอาจจะไม่รู้ตัว จิตใต้สำนึกทำงานตลอดเวลา เพื่อคอยดูแลและตัดสินใจให้โดยอัตโนมัติ จิตใต้สำนึกอาจดูแปลก มหัศจรรย์ และแม้กระทั่งน่ากลัว เพราะไม่ได้เห็นว่ามันทำงานอย่างไร หรือกำลังทำอะไรอยู่ บรรดาบ่อเกิดของปฏิกิริยาตอบโต้ส่วนใหญ่ต่อผู้คน สถานที่ และสิ่งต่าง ๆ นั้นอยู่ที่ระดับจิตใต้สำนึก ด้วยเหตุนี้เอง จึงมักจะเพิกเฉยต่อพวกมันอยู่บ่อย ๆ ส่งผลให้พวกมันขับเคลื่อนพฤติกรรมโดยที่ไม่รู้ตัว
ในกระบวนการการใช้จิตดลบันดาล ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นคือ การผูกมิตรกับจิตใต้สำนึก เคารพภูมิปัญญาและพลังของมัน และเริ่มรู้สึกผ่านการฝึกฝนว่ามันกำลังรับใช้อยู่ แม้ว่าการทำงานของมันจะไม่ปรากฏชัดเจนก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปก็จะได้เรียนรู้ว่าจิตใต้สำนึกนั้นเป็นแหล่งที่มาของการหยั่งรู้ การนำทางจากภายใน ความคิดสร้างสรรค์และความยืดหยุ่นทางจิตใจ
เคล็ดลับในการทำงานกับจิตใต้สำนึกคือ การสอนให้มันรู้ว่าอะไรสำคัญด้วยการเปลี่ยนจุดที่ให้ความสนใจ และความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งที่เลือกที่จะให้ความสนใจ นี่คือวิธีการที่จะทำให้จิตใต้สำนึกเกิดความสอดคล้องกับเสียงชี้แนะของเข็มทิศภายใน สอนจิตใต้สำนึกว่าอะไรที่มีความสำคัญผ่านการทำซ้ำและอารมณ์เชิงบวก เมื่อทำการฝึกปฏิบัติและมองภาพในใจซ้ำ ๆ จะเข้าสู่สภาวะลื่นไหล หรือการหลอมรวมเข้ากับกิจกรรมภายในโดยสมบูรณ์
สภาวะลื่นไหล สภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยการลงมือทำ และรู้สึกว่าทักษะต่าง ๆ ที่มีอยู่นั้นตอบโจทย์ความท้าทายที่กำลังเผชิญ เมื่ออยู่ในสภาวะลื่นไหลมักจะประสบกับสภาวะการก้าวข้ามตัวตน รู้สึกว่าควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าปัจจัยต่าง ๆ จะวุ่นวายเพียงใดก็ตาม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การกระทำได้รับการชี้นำจากความรู้สึกเกี่ยวกับทิศทางภายในใจที่ชัดเจนเพื่อทำให้เกิดสภาวะนี้ขึ้นมา เครือข่ายการบริหารส่วนกลางของสมองจะคอยยับยั้งการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานอย่างแข็งขัน เช่นเดียวกับความคิดต่าง ๆ ที่อาจทำให้เสียสมาธิ สภาวะลื่นไหลยังช่วยกระตุ้นระบบการให้รางวัลของโดพามีนจากสมอง ซึ่งมักจะสอดคล้องกับการมองโลกในแง่ดี ความหวัง ความเป็นไปได้ และความรู้สึกกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เมื่อฝึกมองเห็นภาพความตั้งใจในใจด้วยรายละเอียดทางประสาทสัมผัสที่ครบถ้วน นั่นเท่ากับว่ากำลังพยายามที่จะเข้าสู่สภาวะลื่นไหลในจินตนาการ ต้องการที่จะหลอมรวมไปกับงานในจินตนาการให้เหมือนกับงานในชีวิตจริง ในแง่หนึ่งสภาวะลื่นไหลหมายถึงความสอดคล้องที่สมบูรณ์ของจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก เพื่อรับใช้จุดมุ่งหมายในสภาวะลื่นไหล มีทางเข้าพิเศษที่นำไปสู่แหล่งทรัพยากรของจิตใต้สำนึกที่อยู่ลึกลงไป และสามารถดึงทรัพยากรเหล่านั้นมาใช้ได้โดยตรงมากขึ้น
พลังของกิจวัตรที่ทำซ้ำๆ จิตใต้สำนึกจะตอบสนองอย่างลึกซึ้งต่ออารมณ์เข้มข้นที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหนึ่ง ซึ่งนี่อธิบายได้ว่าทำไมการฝึกใช้จิตดลบันดาลจำนวนมากจึงเกี่ยวข้องกับกิจวัตรที่ทำซ้ำ ๆ กิจวัตรเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการปรับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ให้สอดคล้องกับการจดจ่อไปที่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้เข้าสู่สภาวะลื่นไหลมีกิจวัตรและแนวทางปฏิบัติมากมาย ที่สามารถนำมาใช้เพื่อฝังจุดมุ่งหมายไว้ในจิตใจในระดับที่ลึกลงไป
ตัวอย่างเช่น เขียนสิ่งที่กำหนดจุดมุ่งหมายไว้ออกมา แล้ววางมันไว้ในที่ที่จะเห็นมันทุกวัน หรืออาจเขียนจดหมายถึงตัวเองและพกมันติดตัว ทุกครั้งที่เห็นกระดาษที่มีจุดมุ่งหมาย สามารถฝึกมองภาพการบรรลุเป้าหมายซ้ำ ๆ เชื้อเชิญความรู้สึกที่แสนยอดเยี่ยม ที่จะได้สัมผัสเมื่อเป้าหมายกลายเป็นจริง ให้เข้ามาในจิตใจ ร่างกาย และหัวใจ จุดมุ่งหมายที่สัมผัสกับช่วงเวลาที่ความปรารถนาเป็นจริงที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ นั้น จะเร่งให้ความสนใจส่งอิทธิพลให้เกิดผลลัพธ์เร็วขึ้น การฝึกซ้อมในใจและการมองเห็นภาพในใจย้ำเตือนว่า ผลลัพธ์เชิงบวกจะให้ความรู้สึกอย่างไรตอนที่ได้สัมผัสกับมันจริง ๆ จิตใจจะทำการข้ามเวลาไปสู่อนาคตอย่างแท้จริง
บทที่ 7
ขั้นตอนที่ 5 ไล่ตามเป้าหมายด้วยความหลงใหล
เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ การใช้จิตดลบันดาลคือการฝึกเชื่อมโยงกับตัวเองและโลกรอบตัว ที่สำคัญกว่านั้นคือการทำความเข้าใจกระบวนการในการวางจุดมุ่งหมายของตนเองลงในจิตใต้สำนึก ซึ่งนั่นต้องอาศัยการทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เช่นเดียวกับการฝึกฝนในเรื่องอื่น ๆ มันเป็นการฉลาดที่จะเริ่มต้นด้วยเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่นอกเหนือความสามารถในการจัดการ การบรรลุเป้าหมายขนาดเล็กเป้าหมายหนึ่งจะช่วยให้มีความมั่นใจในตัวเอง และในกระบวนการดังกล่าวนั้นด้วย และอารมณ์เชิงบวกที่รู้สึกเมื่อบรรลุเป้าหมายนี้ จะช่วยให้มุ่งมั่นในการไล่ตามเป้าหมายต่อไป นี่คือธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย หรือที่เรียกกันว่าก้าวย่างของทารก ก้าวเล็ก ๆ เหล่านี้จะทำให้แข็งแรงขึ้น โดยไม่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามากจนเกินไป
อาจคิดว่าทางออกของชีวิตที่ติดขัดคือการทำงานหนักขึ้น ผลักดันตัวเองให้มากขึ้น และทรหดอดทนมากขึ้น กลยุทธ์ทางเลือกหนึ่ง ซึ่งอาจฟังดูขัดกับสัญชาตญาณข้างในนั่นคือ การใคร่ครวญเกี่ยวกับวิธีที่มองโลก การปรับปรุงปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่างมีสติ อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเอาชนะอุปสรรคในการใช้จิตดลบันดาลก็ได้ ระบบประสาทนั้นตอบสนองต่อผู้คนที่อยู่รอบข้าง และสภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยมันจะคอยตรวจหาทั้งภัยคุกคามและโอกาสต่าง ๆ ในชื่อว่าระบบการมีส่วนร่วมทางสังคม
ความรู้สึกปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่แน่นแฟ้น เพราะความปลอดภัยช่วยให้เกิดความใกล้ชิดทางกายภาพ และเกิดการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากสัมผัสที่เป็นมิตรและห่วงใย ซึ่งส่งผลให้เกิดความผูกพันทางสังคม เมื่อสร้างอารมณ์เชิงบวกของการเชื่อมโยงการได้เป็นส่วนหนึ่ง การมีจุดมุ่งหมาย และการรู้สึกได้รับการเติมเต็มให้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ด้วยการมองภาพในใจและการทำสมาธิ คนอื่น ๆ ก็จะยิ่งได้สัมผัสกับความดีงามและประโยชน์ของจุดมุ่งหมายมากเท่านั้น และพวกเขาจะยิ่งปรารถนาที่จะสนับสนุนจุดมุ่งหมายนั้นมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าจุดมุ่งหมายเป็นสิ่งที่รับใช้พวกเขาอย่างแท้จริงด้วยเช่นกัน
อีกวิธีหนึ่งในการจัดการปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้จิตดลบันดาลคือ การใช้ประโยชน์จากความสามารถตามธรรมชาติของสมอง ในการค้นหาเบาะแสในสิ่งแวดล้อม ออกตามล่าหาร่องรอยของโอกาสที่จะทำให้สิ่งที่กำหนดจุดมุ่งหมายไว้เป็นจริงขึ้นมา นี่คือที่มาของปรากฏการณ์ซิงโครนิซิตี ซึ่งเป็นการปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน และมักจะทำให้ต้องประหลาดใจกับเรื่องบังเอิญที่มีความหมายในชีวิต โดยที่ไม่เคยสังเกตมันมาก่อนเลย จิตสำนึกสามารถโฟกัสไปที่เป้าหมายระยะสั้นได้เพียงแคบ ๆ ฉะนั้นจึงต้องเตรียมรับข้อความที่มีเสียงเบากว่า และมีความลึกซึ้งขึ้นมากกว่าของจิตใต้สำนึก ซึ่งมักจะพูดผ่านความสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างผู้คน สภาพแวดล้อม เหตุการณ์ และสิ่งต่าง ๆ
บทที่ 8
ขั้นตอนที่ 6 ปล่อยวางความคาดหวังและเปิดรับเวทมนต์
ในกระบวนการแสวงหาวิสัยทัศน์ จะมีช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะไปต่อไม่ได้ หรือรู้สึกสับสนอย่างถึงที่สุด แต่ถ้าเปิดหัวใจและรับฟังอาจค้นพบว่าความล้มเหลวนั้น กำลังนำไปสู่โอกาสใหม่ที่ไม่เคยจินตนาการมาก่อน มันอาจฟังดูสวนทางกับความรู้สึกข้างใน แต่ส่วนหนึ่งของกระบวนการการใช้จิตดลบันดาลคือ การที่จะต้องละทิ้งความคาดหวังไปเสีย หลุมพรางอย่างหนึ่งที่อาจตกลงไปได้อย่างง่ายดาย เวลาที่ใช้จิตดลบันดาลคือ การยึดติดกับผลลัพธ์ของการกระทำมากเกินไป การยึดติดกับผลลัพธ์ รวมถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้น เวลาที่เกิดความยึดติดมากเกินไปนั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบ อาทิตย์ติดกับไทม์ไลน์หนึ่ง วิธีหนึ่ง หรือเป้าหมายหนึ่ง เพื่อที่จะค้นพบในระหว่างทางว่าชีวิตมีอย่างอื่นเตรียมไว้ให้ ซึ่งสิ่งนั้นไม่เคยจินตนาการมาก่อน
หากยังคงยืนกรานเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์หนึ่งเป็นการเฉพาะ ก็น่าจะต้องเจ็บตัวแน่นอน นี่เป็นการฝึกปฏิบัติที่ละเอียดอ่อน เพราะส่วนหนึ่งของพลังจากเทคนิคการใช้จิตดลบันดาลคือ การวางจุดมุ่งหมายลงไปบนการฝึกมองภาพในใจ ซึ่งเฉพาะเจาะจงและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่ารายละเอียดมากมายในการฝึกมองภาพในใจนั้น มีไว้เพื่อจัดประเภทจุดมุ่งหมายว่ามีความสำคัญภายในจิตใต้สำนึก ไม่ใช่เพื่อที่จะส่งอิทธิพลต่อโลกภายนอก จิตใต้สำนึกนำทางการกระทำ แต่ผลลัพธ์ของการกระทำนั้นมาจากโลกรอบตัวและสิ่งที่มันต้องการ บ่อยครั้งที่ไม่สามารถมองไปข้างหน้าได้ไกลมากพอ ที่จะรู้ถึงทุกจุดหักจุดเลี้ยวทั้งหมดของการเดินทาง เข็มทิศภายในได้วางแผนก้าวต่อไปบนเส้นทางชีวิตไว้แล้ว ไม่ว่าจะคาดคิดไว้หรือไม่ก็ตาม
การใช้จิตดลบันดาลไม่ใช่งานที่ทำครั้งเดียวเสร็จ ในทางตรงกันข้ามสามารถมองได้ว่ามันเป็นกระบวนการขัดเกลาจุดมุ่งหมาย ให้มีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการกระทำต่าง ๆ สร้างผลลัพธ์เชิงบวกที่ตามมาด้วยอารมณ์เชิงบวก เครือข่ายการประเมินความสำคัญก็จะเรียนรู้ที่จะจำแนกจุดมุ่งหมายว่า เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งขึ้นไปอีก และจะยิ่งเพิ่มความพยายามเป็น 2 เท่าในการทำให้จุดมุ่งหมายนั้นเกิดขึ้นจริง เมื่อรับเอาพลังลบจากนักวิจารณ์ภายในจิตใจเข้ามา จะคิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเองเป็นอย่างมาก และวิธีที่จะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ก็คือ การรับใช้และช่วยเหลือผู้อื่น
ในกระบวนการนี้จะค้นพบว่าไม่ได้เป็นคนเดียวที่มีความทุกข์ และสามารถเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความทุกข์เหล่านั้นได้ นั่นจะพากลับสู่ภายในตัวตนด้วยมุมมองต่อตัวเอง และความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่เป็นบวกและมีประโยชน์มากขึ้น ต้องปล่อยให้ตัวเองได้มองโลกในมุมมองที่แตกต่างออกไปผ่านการรับใช้ผู้อื่น มีจังหวะที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในกระบวนการนี้คล้ายกับการหายใจเข้า-ออก ถึงจะช่วยให้รับมือกับความย้อนแย้งนี้ได้ มันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเส้นตรง แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่เดินหน้าและถอยหลังสลับไปมา
บ่อยครั้งเมื่อมองย้อนกลับไปถึงความสำเร็จในอดีต ก็ตระหนักได้ว่ามันต้องมีชิ้นส่วนที่ประกอบเข้าด้วยกันอย่างลงตัวมากมายแค่ไหน เพื่อทำให้จุดมุ่งหมายเป็นจริงขึ้นมา กลยุทธ์ที่หลากหลายสามารถช่วยให้เลิกยึดติดกับผลลัพธ์หนึ่งของจุดมุ่งหมายได้ กลยุทธ์แรกคือการที่จะไม่วางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 คือการทำให้จุดมุ่งหมายสอดคล้องกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง เมื่อมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนของส่วนที่เคลื่อนไหวไปมาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และผลลัพธ์อาจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น แม้ว่ามันจะมีการขยายตัวและมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นก็ตาม แต่เมื่อจัดการให้เกิดความสมดุลขึ้นมา ก็มีพลังที่จะเดินหน้าต่อไป และมีความคิดที่จะปล่อยวาง
หากพบว่าตัวเองยึดติดกับผลลัพธ์แบบหนึ่งมากจนเกินไป อาจสังเกตเห็นว่าลืมที่จะมองดูสิ่งดี ๆ ที่กำลังอยู่ตรงหน้า การฝึกขอบคุณเป็นวิธีการที่เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนโฟกัสจากสิ่งที่ยังขาดแคลนอยู่ไปสู่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ที่สวยงาม และที่ให้ความมีชีวิตชีวาในชีวิต การขอบคุณนั้นไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกอบอุ่นแบบผิวเผิน แต่การขอบคุณยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงในสมองอย่างมากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกายและจิตใจอีกด้วย
บางครั้งจำเป็นต้องฝึกให้ตัวเองมีสัมผัสที่ไวต่อสิ่งดี ๆ ในชีวิต เพื่อที่จะได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านั้น อคติจากความคิดเชิงลบสามารถทำให้มองไม่เห็นเรื่องที่เป็นบวกจนไม่ทันได้คว้ามันไว้ตอนที่มันเข้ามาในชีวิต หรือจนมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ๆ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อาจมองไม่เห็นคนที่คอยสนับสนุนอยู่เงียบ ๆ บนเส้นทางนี้ก็ได้ เมื่อเปิดรับเวทมนต์ มันอาจรวมถึงการมองสิ่งที่คุ้นเคยในมุมมองใหม่ด้วย การขอบคุณเป็นการฝึกปฏิบัติที่ทรงพลังมาก เพราะมันเรียกร้องให้ต้องกลับไปดูว่าได้รับการช่วยเหลือ และการสนับสนุนจากผู้อื่นมาอย่างไร
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งคือ การมีสติอยู่กับสถานการณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ หรืออย่างน้อยก็ครองสติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ความสงบนิ่งในใจคือความสามารถในการรักษาความสงบของอารมณ์ เมื่อเผชิญกับทั้งเรื่องดีและร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิต มันคือคุณภาพของจิตใจที่จะทำให้เป็นคนสุขุม มั่นคงในการโต้ตอบประสบการณ์หรือวัตถุประสงค์ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่าพอใจ ไม่น่าพอใจ หรือเป็นเรื่องที่รู้สึกเฉย ๆ ก็ตาม ด้วยแก่นแท้ของมันแล้ว ความสงบในจิตใจคือการตระหนักในความชั่วคราวหรือความไม่แน่นอน
ความสงบในจิตใจคือสิ่งที่แสดงถึงความสมดุล การไม่ใช้อารมณ์ในการตอบโต้ และความสงบในจิตใจนี้เองที่ทำให้มีอิสระ ความเป็นอิสระจากการยึดติดนี้เองที่ทำให้เกิดเวทมนต์ภายใน ความสงบในจิตใจเป็นทักษะสำคัญเมื่อกำลังแสวงหาเป้าหมายที่ยากใด ๆ ก็ตาม มันช่วยให้จดจ่อกับภาระกิจได้อย่างเต็มที่ จากนั้นก็ช่วยให้ละทิ้งความยึดติดในผลลัพธ์ หัวใจยอมรับมากกว่าเวลาที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ และที่สำคัญที่สุดมันช่วยให้เข้าถึงการให้อภัยตัวเองได้มากขึ้น และให้มุมมองที่กว้างขวางในการปรับกรอบของความผิดพลาดต่าง ๆ เสียใหม่ว่า มันเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสอนให้ทำเรื่องนั้นใหม่ให้แตกต่างไปจากเดิมในครั้งต่อไป
บทสรุป
ในชีวิตของผู้เขียนได้สัมผัสกับพลังของการใช้จิตดลบันดาลในรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ผู้เขียนได้สัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของการฝึกจิตดลบันดาลจากมุมมองของประสาทวิทยา ความมหัศจรรย์ที่ผู้เขียนรู้สึก ได้วางรากฐานสำหรับความเชื่อเรื่องจิตดลบันดาลตั้งแต่นั้นมา และมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งอาจขัดต่อหลักเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังบ่งบอกถึงพลังภายในของการกำหนดจุดมุ่งหมายไว้ในหัวใจและจิตใจ ถึงเวลาแล้วที่จะปลดปล่อยจากมายาคติ ที่กันออกจากการเชื่อมั่นในพลังแห่งความเป็นไปได้ และความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งที่มีอยู่ในตัวทั้งในระดับปัจเจก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ร่วมกัน
การรอคอยพละกำลังจากภายนอกให้มาเปลี่ยนแปลงชีวิตนั้น รังแต่จะรบกวนความสนใจ สูบพลังงานไป และทำให้จิตวิญญาณรู้สึกท้อแท้ สำหรับหลาย ๆ คนเส้นทางนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย และมันอาจใช้เวลาหลายปีหรือแม้แต่หลายทศวรรษ กว่าจะมีความเข้าใจที่ถ่องแท้ในการแยกแยะระหว่างสิ่งที่ต้องการกับสิ่งที่จำเป็น เทคนิคต่าง ๆ ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ เป็นเส้นทางที่ผู้เขียนใช้ค้นหาคำตอบของเรื่องนี้ การตระหนักรู้ว่าจักรวาลไม่ได้แยกออกจากตัวเรา และตัวเองนั่นแหละคือจักรวาลที่ว่านั้น และมีเพียงตัวเราเท่านั้นที่สามารถแคร์ตัวเองได้จริง ๆ มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังที่อยู่ภายในตัวของตัวเองได้ และนั่นคือเวทมนต์ที่แท้จริง.