สั่งซื้อ หนังสือ AWARENESS คนไม่รู้จักตัวเอง (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ AWARENESS คนไม่รู้จักตัวเอง

บทนำ

ในการใช้ชีวิต หลายทีก็ต้องโดนกระแทกแรง ๆ เสียก่อนถึงจะตื่นขึ้นมาได้ แรงกระแทกในที่นี้อาจเป็นความทุกข์ ความหน่าย ปัญหาชีวิต คำพูดตรง ๆ ของใครสักคน เป็นต้น ที่ทำให้ฉุกคิดหรือเกิดความเข้าใจบางอย่างจนอยู่ไม่ติด หนังสือเล่มนี้อาจเป็นหนึ่งในแรงกระแทกที่ทำให้หันกลับมาใคร่คราญตัวเองอย่างถึงก้นบึ้ง

หนังสือเล่มนี้บันทึกประสบการณ์ของโทนี่ เดอ เมลโล ผู้เป็นทั้งนักจิตบำบัดและนักบวช ซึ่งในทุกหัวข้อจะมีถ้อยคำและท่าทีที่สัมผัสหัวใจผู้ฟังให้ชื่นบาน ดังนั้น การถ่ายทอดถ้อยคำอันมีชีวิตชีวา และท่าทีอันเป็นธรรมชาติลงหน้ากระดาษ จึงตกเป็นหน้าที่ของผู้เขียนหลังจากเขาเสียชีวิต ช่วงเวลาอันสนุกสนานและตื่นเต้นเร้าใจขณะโทนี่สื่อสารกับผู้คน เป็นบันทึกการบรรยายถ่ายทอดลงหน้ากระดาษได้อย่างเหลือเชื่อ ได้จุดประกายให้ปลดปล่อยชีวิตและการเข้าใจตัวเอง ก็ขอให้เบิกบานกับหนังสือเล่มนี้ ให้ถ้อยคำซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณ และฟังด้วยหัวใจขณะที่โทนี่แนะนำ อันเปี่ยมพลังได้ ณ บัดนี้

ว่าด้วยการตื่น

วิถีจิตวิญญาณหมายถึงการตื่นขึ้น คนส่วนใหญ่ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองหลับอยู่ พวกเขาหลับตั้งแต่เกิด หลับทั้งชีวิตไม่เคยตื่นขึ้นเลยสักครั้ง ไม่เคยเข้าใจความสวยสดงดงามในสิ่งที่เรียกว่าการดำรงอยู่ของมนุษย์ ทว่าผู้มีญาณปัญญาทั้งหลาย มีเรื่องหนึ่งที่พวกเขาเห็นตรงกันนั่นคือ ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี แม้ทุกอย่างจะยุ่งเหยิง แต่ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี การตื่นเป็นสิ่งไม่น่าอภิรมย์ เมื่อนอนเพลิน ๆ อยู่บนเตียงก็ย่อมรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกปลุกขึ้นมา เพราะอย่างนั้นคุรุผู้ทรงปัญญาจะไม่พยายามปลุกใคร

เห็นแก่ตัวอย่างเหมาะสม

ถ้าอยากตื่นสิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ การจะตื่นนั้นขั้นแรกต้องซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับกับตัวเองว่าไม่ได้ชอบมัน ไม่ได้อยากมีความสุข ทดสอบโดยมาลองดูกันใช้เวลา 1 นาทีเท่านั้น คิดถึงคนที่รักมาก คนที่สนิท คนที่มีค่า แล้วพูดกับคน ๆ นั้นในใจว่า “ฉันอยากมีความสุขมากกว่ามีคุณ ถ้าเลือกได้ฉันจะเลือกความสุขแน่” มีใครบ้างที่รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเวลาพูดแบบนี้ เห็นไหมว่าถูกล้างสมองแล้ว พลางก็คิดว่า “ฉันจะเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้อย่างไร”

เมื่ออยากมีความสุข

คนเราไม่ได้อยากมีความสุข อยากได้อย่างอื่น หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่ได้อยากมีความสุขที่ไร้เงื่อนไข แค่พร้อมจะมีความสุขเมื่อมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ สำคัญมากที่ต้องเข้าใจว่า ไม่เคยคิดฝันว่าจะมีความสุขที่ไร้เงื่อนไขได้ไม่ผิดแน่ นึกภาพไม่ออกว่าจะมีความสุขโดยปราศจากเงื่อนไขพวกนั้น เพราะถูกสอนมาว่านั่นคือแหล่งความสุข วิถีจิตวิญญาณจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดในโลกกว้างใหญ่นี้ ทุกที่มีคนโศกเศร้า เปลี่ยวเหงา หวาดกลัว สับสน ขัดแย้งในหัวใจ ทั้งแสดงออกและไม่แสดงออก สมมติว่ามีใครบอกวิธีขจัดสภาวะหล่านั้นออกไป จะอยากได้ไหม การพาคนอพยพไปดวงจันทร์จะเกิดประโยชน์อะไร ในเมื่อโลกนี้ยังมีชีวิตอยู่กันไม่ได้

การสละทิ้งก็ไม่ใช่คำตอบ

เวลาที่ฝึกสละทิ้งกำลังหลงผิดอยู่ เวลาที่สละสิ่งใดจะผูกติดกับสิ่งนั้นตลอดไป เวลาที่ต่อสู้กับสิ่งใดจะผูกติดกับสิ่งนั้นตลอดไป หากยังต่อสู้กับมันก็จะให้พลังมันไปเรื่อย ๆ ยิ่งใช้พลังต่อสู้เท่าไหร่ก็ให้พลังไปมากเท่านั้น ถ้ามองไม่เห็น ถ้าถูกสะกดจิตให้คิดว่าไม่อาจมีความสุขได้โดยปราศจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็จะจมปลักอยู่ที่เดิม สิ่งที่ต้องการทำไม่ใช่สิ่งที่วิถีชีวิตจิตวิญญาณโดยทั่วไปพยายามทำอยู่ เช่น ชักจูงให้อุทิศตนและสละทิ้งทุกสิ่ง การทำเช่นนั้นไร้ประโยชน์ เพราะยังคงหลับเหมือนเดิม สิ่งที่ต้องทำคือช่วยให้เข้าใจ เข้าใจ แล้วก็เข้าใจ จะได้เลิกอยากได้ไปเอง

หน้ากากการกุศล

จริง ๆ แล้วการกุศลเป็นเรื่องของประโยชน์ส่วนตัว ที่พรางมาในรูปของความไม่เห็นแก่ตัว เป็นเรื่องยากมากที่จะยอมรับว่า หลายครั้งไม่ได้พยายามที่จะรักหรือไว้ใจใครจริง ๆ ความเห็นแก่ตัวมี 2 แบบ

แบบแรกคือทำให้ตัวเองมีความสุข ด้วยการทำให้ตัวเองมีความสุข ที่เรียกกันว่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

แบบที่ 2 คือทำให้ตัวเองมีความสุข ด้วยการทำให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัวที่แยบยลกว่า

แบบแรกนั้นเห็นได้ชัดเจน แต่แบบที่ 2 ปิดซ่อนไว้แนบเนียนซึ่งอันตรายกว่า นี่ไม่ใช่การกุศลแต่คือผลประโยชน์ส่วนตนขั้นสูง การกุศลแบบที่แย่ที่สุด เวลาทำอะไรเพื่อไม่ให้รู้สึกแย่ ไม่กล้าพอที่จะบอกว่าอยากอยู่ตามลำพัง อยากให้คนคิดว่าเป็นคนดี คนเราชอบทำร้ายคนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบางคน และเวลาคนอื่นทำร้ายใครก็จะดีใจ แต่ไม่อยากทำร้ายด้วยตัวเอง เพราะจะเจ็บปวดถ้าทำร้าย คนอื่นจะคิดว่าเราเป็นคนไม่ดี พวกเขาจะไม่ชอบ พวกเขาจะวิจารณ์ และเราก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

ดีเลวหรือโชคดี

ความเห็นแก่ตัวน่าจะมาจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ซึ่งเป็นสัญชาตญาณแรกและอยู่ลึกที่สุด ความไม่เห็นแก่ตัวดูจะเป็นสิ่งเดียวกับความไม่มีไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เลิกรู้สึกแย่กับการเห็นแก่ตัว ทุกคนล้วนไม่ต่างกัน ในทำนองเดียวกัน ถ้าได้เข้าถึงสัจธรรมนั่นก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองถือว่าเป็นคนโชคดี คนโง่เขลาโง่แต่ไม่ได้ชั่วร้าย

เฝ้าดูตัวเอง

วิธีเดียวที่จะช่วยได้คือท้าทายความคิด ถ้าพร้อมจะฟังและพร้อมจะถูกท้าทายแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ทำได้และใครก็ช่วยไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเฝ้าดูตัวเอง การเฝ้าดูตัวเองเป็นสิ่งสำคัญไม่เหมือนการจมอยู่กับตัวเอง นั่นหมายถึงการเฝ้าดูทุกอย่างทั้งนอกและในตัวเท่าที่จะทำได้ และเฝ้าดูราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่ได้มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของตัวเอง มองสิ่งต่าง ๆ ราวกับว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเอง สาเหตุที่ความวิตกกังวลและความหดหู่ทำให้เป็นทุกข์ ก็เพราะคิดว่านั่นคือตัวเอง ปัญหาของผู้คนคือมัวแต่ยุ่งกับการแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ชอบแก้ไขสิ่งต่าง ๆ หรือจะบอกว่าไม่ใช่ ไม่เคยรู้ซึ้งถึงความจริงที่ว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ต้องการการแก้ไข มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นี่คือแสงสว่างทางปัญญา แค่ต้องเข้าใจ ถ้าเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไปเอง

หาตัวเองให้เจอ

ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จะบอกว่า คำถามที่สำคัญที่สุดในโลกคือ ฉันคือใคร ใครคือคนที่กำลังเข้าใจ หาคนคนนั้นให้เจอก่อน นั่นคือรากฐานของทุกอย่าง มันเป็นเพราะไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ แต่สิ่งที่อยากเน้นย้ำตอนนี้คือ การเฝ้าดูตัวเอง ใครอยู่ในตัว บางทีท่าทาง ความคิด อารมณ์ ทัศนคติ และความเชื่อในตัวอาจมาจากคนอื่นทั้งสิ้น ความจริงก็คือเมื่อเริ่มตื่นจะต้องประสบกับความเจ็บปวดใหญ่หลวง เจ็บปวดที่ต้องเห็นภาพลวงตาสลายหายไป ทุกอย่างที่คิดว่าสร้างไว้ต้องมาพังทลาย นั่นคือความเจ็บปวดใน 1 นาทีที่นั่งอยู่ ลองตระหนักถึงสิ่งที่รู้สึกในร่างกาย ความคิดที่เกิดขึ้น และสภาวะอารมณ์ขณะที่ความตระหนักรู้ที่มีเป็นอย่างไร จงดูมันไปแค่นั้น อย่าพยายามเปลี่ยนมัน แค่เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้น เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวและรอบ ๆ ตัว ราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับคนอื่น

ความรู้สึกเชิงลบที่มีต่อคนอื่น

เวลามีความรู้สึกเชิงลบต่อใครสักคน กำลังมีชีวิตอยู่ในภาพลวงตา มีบางสิ่งผิดปกติมาก ๆ เกิดขึ้น ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว สมมุติว่าได้รู้เห็นความยุติธรรมบางอย่างเข้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้องเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะพูดว่า สิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ควรเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้องนี้ จะมีความรู้สึกไวต่อสิ่งต่าง ๆ และผู้คนรอบตัว สิ่งที่ทำลายความรู้สึกไวคือ สิ่งที่หลายคนเรียกว่าตัวตนที่มีเงื่อนไข เวลาที่แสดงความเป็นตัวฉันมาก ๆ จนกระทั่งมีตัวฉันมากเกินกว่าที่จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง สิ่งสำคัญก็คือเวลาพุ่งตัวลงไปทำ จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง เว้นแต่ว่าจะมีอารมณ์เชิงลบมาบังตาไว้

การพึ่งพิง

ทุกคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นเพื่อสิ่งต่าง ๆ นานัปการ ต้องพึ่งคนทำขนมปัง คนขายเนื้อ นั่นคือการพึ่งพาอาศัยกัน มีการกำหนดให้สังคมเป็นแบบนี้ จัดสรรหน้าที่หลาย ๆ อย่างให้แก่คนต่าง ๆ กันไป เพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคน เพื่อให้ทำหน้าที่ดีขึ้น และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่การพึ่งพิงทางจิตใจและอารมณ์หมายถึงพึ่งพิงคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง ถ้าทำอย่างนั้นสิ่งที่จะทำต่อไปไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็คือ เรียกร้องให้คนอื่นนำความสุขมาให้แล้วต่อไปก็จะกลัวการสูญเสีย กลัวการห่างเหิน กลัวการปฏิเสธ และพยายามควบคุมอีกฝ่าย ความรักที่สมบูรณ์นั้นไร้ความกลัว ที่ใดมีความรักที่นั่นไม่มีการเรียกร้อง ไม่มีการคาดหวัง ไม่มีการพึ่งพิง เบิกบานกับการคบหากันอย่างไม่ยึดติด เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการตื่นรู้

ความสุขเกิดขึ้นอย่างไร

กลับบ้านมาหาตัวเอง เฝ้าดูตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่บอกว่า การเฝ้าดูตัวเองเป็นสิ่งที่น่ายินดีและพิเศษ หลังจากนั้นไม่นานจะไม่ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะภาพลวงตาจะเริ่มสลายหายไป ซึ่งเรียกว่าความสุข ทุกอย่างเปลี่ยนไป และจะเริ่มติดการตระหนักรู้ ดังนั้น จงเฝ้าดูตัวเองเวลาคุยกับใครสักคน ตระหนักรู้หรือเข้าไปยึดติดเวลาโกรธใครสักคน ตระหนักว่ากำลังโกรธหรือเข้าไปยึดติดความโกรธนั้น เวลาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่ออย่างอื่นจะมีความสามารถและพลังเต็มเปี่ยม ผ่อนคลาย ไม่กังวลและจะแพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญ คราวนี้จะได้เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตสักที ทั้งหมดนั้นคือการมีชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นจากการตระหนักรู้เท่านั้น และในการตระหนักรู้จะเข้าใจว่าเกียรติยศไม่ได้มีความหมายอะไร มันเป็นแค่ธรรมเนียมทางสังคม 3 สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ไม่ใช่การมีร่างกายสมบูรณ์หรือมีปัญญาล้ำเลิศ

แต่สิ่งแรกคือตอบแทนความเกลียดชังด้วยความรัก

สองคือการโอบอุ้มคนชายขอบ

สามคือการยอมรับว่าผิด

แต่นี่คือสิ่งที่ง่ายที่สุดในโลกถ้าไม่ได้เข้าไปยึดติด คนเราถูกบอกว่าความสุขคือการมีผิวพรรณเรียบเนียน คือบ้านพักตากอากาศ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุข แต่ก็ทำให้ความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ๆ ทั้งภายนอกและภายในได้อย่างแยบยล มีเพียงเหตุผลเดียวที่ไม่ได้ประสบ สิ่งที่เรียกว่าความสุขเปี่ยมล้น มีเพียงเหตุผลเดียวที่ไม่ได้ประสบความสุขเปี่ยมล้นในปัจจุบันขณะ นั่นเป็นเพราะกำลังคิดหรือพุ่งความสนใจไปหาสิ่งที่ไม่มี มิฉะนั้นก็จะประสบความสุขเปี่ยมล้น กำลังคิดหรือพุ่งความสนใจไปหาสิ่งที่ไม่มี ทั้งที่ตอนนี้มีทุกอย่างที่จำเป็นต่อการมีความสุขเปี่ยมล้นแล้ว

การตีตรา

สิ่งสำคัญคือการไม่รู้ว่า ฉันคือใคร? หรือ ฉันคืออะไร? จะไม่มีวันได้รู้ผ่านถ้อยคำ สิ่งสำคัญคือต้องละวางการตีตรา ดังที่ปรมาจารย์เซนชาวญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า “ไม่ต้องแสวงหาความจริงแค่ระวังความคิดเห็นก็พอ” จงละทิ้งทฤษฎีอย่าแสวงหาความจริง ความจริงไม่ใช่สิ่งที่จะแสวงหาได้  การตีตราในที่นี้หมายถึงการตีตราทุกอย่างเท่าที่นึกออก ยกเว้นการตีตราว่าเป็นมนุษย์ เวลาพูดว่าฉันเป็นคนล้มเหลว เป็นทนายความ เป็นนักธุรกิจ รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นสิ่งเหล่านี้กำลังจะยึดติดมัน กำลังกังวลว่ามันจะพังทลาย และตรงนั้นที่ความทุกข์มาเยือน ความทุกข์คือสัญญาณบอกว่าไม่ได้สัมผัสความจริง ความทุกข์มีไว้เพื่อให้ลืมตาดูความจริง เพื่อให้เข้าใจว่ามีความเห็นผิดตรงไหน เช่นเดียวกับความเจ็บปวดทางกาย เมื่อภาพลวงตาขัดกับความเป็นจริง เมื่อความเห็นผิดขัดกับความจริงจึงเป็นทุกข์

สิ่งกั้นขวางความสุข

อยากมีความสุขใช่ไหม ความสุขต่อเนื่องเกิดขึ้นเอง ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นเอง ความสุขคือสภาวะธรรมชาติ ความสุขคือสภาวะธรรมชาติของเด็กเล็ก ๆ จวบจนความโง่เขลาของสังคมและวัฒนธรรมทำให้แปดเปื้อนและด่างพร้อย การจะได้มาซึ่งความสุขนั้นไม่ต้องฟังอะไรเลย เพราะความสุขไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาเพราะมีอยู่แล้ว จะได้รับสิ่งที่มีอยู่แล้วได้อย่างไร ชีวิตเป็นเรื่องง่าย ชีวิตนั้นน่าเบิกบานยินดี แต่มันจะยากเวลามีความทะเยอทะยาน ความโลภ และความอยาก สิ่งเหล่านี้มาจากการตีตรานานาประการ

โลกนี้ทุกอย่างปกติดี

เมื่อตื่นขึ้น เมื่อเข้าใจ เมื่อเห็น โลกจะเป็นปกติดี คนเรามักร้อนใจเพราะปัญหาความชั่วร้าย มีคำอธิบายที่จะอธิบายได้หมดถึงความทุกข์ ความชั่วร้าย ความเจ็บปวดทรมาน ความย่อยยับ และความหิวโหย ในโลกนี้ไม่มีทางอธิบายเรื่องนี้ได้ เพราะชีวิตเป็นสิ่งลี้ลับเกินกว่าที่จิตชอบคิดจะเข้าใจ ดังนั้น ต้องตื่นขึ้น แล้วก็จะรู้ว่าความเป็นจริงไม่ใช่ปัญหา

เปลี่ยนตามความโลภ

คิดถึงคนที่ร่วมชีวิตหรือร่วมงานซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบในตัว จะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก็คือ ความรู้สึกเชิงลบอยู่ภายในตัว ต้องรับผิดชอบความรู้สึกเชิงลบนั้น ไม่ใช่คนอื่น คราวนี้ต้องเข้าใจอีกอย่างว่า กำลังเรียกร้องต้องการและคาดหวังจากคนคนนั้น การปฏิเสธคนอื่นเป็นเรื่องวิเศษ เป็นส่วนหนึ่งของการตื่นขึ้น นั่นคือการที่มีชีวิตตามที่เห็นควร และเข้าใจว่านั่นไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคือการเรียกร้องให้คนอื่นมีชีวิตตามที่เห็นควร นั่นต่างหากที่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคือการเรียกร้องให้คนอื่นมีชีวิตตรงตามรสนิยม ความภูมิใจ ผลประโยชน์ หรือความพอใจของตัวเอง นั่นคือคนเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง

การตื่นรู้ควรเป็นเรื่องน่าแปลกใจ เมื่อไม่ได้คาดหวังว่าบางสิ่งจะเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้นจึงรู้สึกแปลกใจ บางคนให้การตื่นรู้เป็นเป้าหมาย พวกเขามุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงแค่ตระหนัก ถึงสิ่งที่เป็นการตระหนักรู้เรียบง่ายคือ ความสุขเมื่อเทียบกับการพยายามมีปฏิกิริยาตลอดเวลา คนมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาไม่ได้ตระหนักรู้ แต่ตราบเท่าที่ความตระหนักรู้เพิ่มขึ้น จะมีปฏิกิริยาน้อยลงและกระทำมากขึ้น ดังนั้น จงเริ่มตระหนักถึงสภาพปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เลิกเป็นจอมเผด็จการ เลิกพยายามผลักดันตัวเองไปที่ไหนสักแห่ง แล้วสักวันหนึ่งจะเข้าใจด้วยการตระหนักรู้ว่า สิ่งที่กำลังผลักดันตัวเองให้ไปถึงนั้น ไปถึงตั้งนานแล้ว

คุณค่าถาวร

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือเรื่องคุณค่าเฉพาะตน ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเห็นคุณค่าในตัวเอง จะเห็นคุณค่าในตัวเองจากความสำเร็จในหน้าที่การงาน จากการมีเงินออมมากมาย จากการดึงดูดผู้ชาย/ผู้หญิงหลายคน ความเปราะบางไม่คงทน เวลาพูดถึงการเห็นคุณค่าในตัวเอง คนคนหนึ่งจะเข้าใจคุณค่าเฉพาะตนก็ต่อเมื่อ ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นของชั่วคราวเหล่านี้อีกต่อไป ประสบการณ์น่าพอใจทำให้ชีวิตรื่นรมย์ ประสบการณ์อันเจ็บปวดนำไปสู่การเติบโต ประสบการณ์น่าพอใจทำให้ชีวิตรื้นรมย์ แต่มันไม่ได้นำไปสู่การเติบโต สิ่งที่จะนำไปสู่การเติบโตคือ ประสบการณ์อันเจ็บปวด ความทุกข์ชี้ให้เห็นว่าในตัวยังมีพื้นที่ซึ่งยังไม่เติบโต และต้องการการเติบโต แปรเปลี่ยน และเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกเชิงลบทุกอย่างเป็นประโยชน์ต่อการตระหนักรู้และความเข้าใจ ให้โอกาสได้สัมผัสและเฝ้าดูมันจากภายนอก

ปรารถนาไม่ใช่ความชอบ

อย่ากดทับความปรารถนา เพราะจะกลายเป็นคนไร้ชีวิตชีวา จะอยู่โดยไร้พลังงาน และนั่นเป็นเรื่องน่ากลัว ความปรารถนาในแง่ดีหมายถึงพลังงาน และยิ่งมีพลังงานมากก็ยิ่งดีอย่ากดทับความปรารถนา จงเข้าใจมัน แล้วก็อย่าพยายามตอบสนองความปรารถนาให้เกินกว่าการเข้าใจมัน และอย่าสละสิ่งที่ปรารถนา จงเข้าใจมัน ดูมันให้ถ่องแท้ ดูว่าจริง ๆ มันมีคุณค่าอะไร เมื่อใดดำเนินชีวิตด้วยความชอบ แต่ไม่ปล่อยให้ความสุขขึ้นอยู่กับมัน แสดงว่าตื่นแล้ว นั่นคือสภาวะของการไร้ซึ่งความหลงผิด นั่นคือสภาวะที่เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เป็น ตราบเท่าที่ยังเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ จงระวางความหลงผิด เห็นสรรพสิ่ง เห็นความเป็นจริง ทุกครั้งที่ไม่มีความสุข ได้เพิ่มเติมบางอย่างเข้าไปในความเป็นจริง สิ่งเพิ่มเติมนั้นทำให้ไม่มีความสุข มักจะมีความหลงผิดอยู่ตรงนั้นเสมอ ทั้งความเรียกร้องต้องการ ความคาดหวัง ความอยากมันจะอยู่ตรงนั้นเสมอ ความหลงผิดมีมากมาย แต่เมื่อมุ่งหน้ามาทางนี้แล้วจะค้นพบมันด้วยตัวเอง

จับต้องได้

แนวคิดไม่ได้มีความหมายในตัว แนวคิดนำไปใช้กับคนมากมายนับไม่ถ้วนได้ แนวคิดเป็นสิ่งสากล ยกตัวอย่างคำว่าใบไม้ที่นำไปใช้กับใบไม้ทุกใบบนต้นไม้ได้ คำเดียวกันนำไปใช้กับใบไม้แต่ละใบได้ คนคนหนึ่งอยู่นอกเหนือที่จิตจะคิดเข้าใจ แนวคิดมักจะพลาดและมองข้ามสิ่งสำคัญยิ่งและล้ำค่า ซึ่งพบได้เฉพาะในความเป็นจริง และมีความเฉพาะตัวที่สัมผัสได้จริง ถ้าไม่มองสิ่งต่าง ๆ ผ่านแนวคิดจะไม่มีวันเบื่อ ทุกสิ่งล้วนมีความเฉพาะตัว ถ้าประสบการณ์ทั้งหมดเป็นแค่แนวคิด ยังไม่ได้ประสบความเป็นจริงหรอก เพราะความเป็นจริงเป็นสิ่งรูปธรรม แนวคิดคือตัวช่วยพาไปสู่ความเป็นจริง แต่เมื่อไปถึงต้องหยั่งรู้หรือประสบโดยตรง

คุณสมบัติอีกอย่างของแนวคิดก็คือ มันเป็นสิ่งหยุดนิ่ง ในขณะที่ความเป็นจริงไหลอยู่ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง ความคิดนั้นตัดแบ่งภาพรวมของวิสัยทัศน์ ญาณหยั่งรู้หรือประสบการณ์ นั่นคือสิ่งที่ผู้มีญาณปัญญาบอกตลอดเวลา ถ้อยคำไม่อาจให้ความเป็นจริง มันแค่ชี้ทาง ใช้มันเป็นเครื่องชี้ทางสู่ความเป็นจริงได้ แต่เมื่อเข้าไปถึงความเป็นจริงแล้ว แนวคิดจะไร้ประโยชน์ ตอนเริ่มต้นชีวิตมองความเป็นจริงด้วยความพศวง แต่ไม่ใช่ความพิศวงเช่นผู้มีญาณปัญญา มันคือความพิศวงที่ไร้รูปแบบของเด็กน้อย เมื่อความสงสัยหมดลง ความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ ก็พัฒนาภาษา ถ้อยคำ และแนวคิดขึ้นมา

ตัวคัดกรองความเป็นจริง

ความเป็นจริงจากทุกรูขุมขนหรือเซลล์ต่าง ๆ ได้ร่างกาย และจากความรู้สึกจะส่งเสียงตอบรับมาหา แต่จะคัดกรองมัน ตัวคัดกรองนั่นคือเงื่อนไขในจิต วัฒนธรรม การโปรแกรมในจิต การเห็น และการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ในแบบที่ถูกสอนมา แม้แต่ภาษาก็เป็นตัวคัดกรอง มีการคัดกรองมากเสียจนบางครั้งไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ยังมีปีศาจร้ายอื่น ๆ อีกที่เป็นตัวคัดกรอง นั่นคือความยึดติด ความปรารถนา และความอยาก รากเหง้าของความโศกเศร้าคือความอยาก ความอยากกบิดเบือนและทำลายการรับรู้ ความกลัวและความปรารถนาหลอกหลอน คนเราถูกวางยาหลายรูปแบบตอนเป็นเด็ก ถูกเลี้ยงดูมาหใต้องการคน เพื่อให้มายอมรับ เห็นชอบ คำเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตอนเป็นเด็กยังถูกวางโปรแกรมให้เป็นทุกข์ พวกเขาสอนว่าเพื่อจะมีความสุขต้องมีเงินทอง ความสำเร็จ คู่ชีวิตที่สวยงามหรือหล่อเหลา งานดี ๆ มิตรภาพ วิถีจิตวิญญาณ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้จะไม่มีความสุข ถูกบอกเอาไว้เช่นนั้น ตรงนี้ที่เรียกว่าความยึดติด ความยึดติดคือความเชื่อว่าปราศจากบางสิ่งแล้วจะไม่มีความสุข ทันทีที่เชื่อเช่นนั้นแล้วมันฝังรากลงไปในจิตใต้สำนึกและความเป็นตัวเองก็เสร็จมัน

วาระซ่อนเร้น

ระหว่างความรู้และความตระหนักรู้ ระหว่างข้อมูลและความตระหนักรู้นั้นต่างกัน คนเราทำชั่วไม่ได้ถ้ามีความตระหนักรู้ แต่ถ้ามีความรู้หรือข้อมูลนั้นทำชั่วได้ ถ้ามีความตึงเครียดก็จงเฝ้าดูความตึงเครียด จะไม่เข้าใจตัวเองถ้าพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยิ่งพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง อะไร ๆ ก็ยิ่งเลวร้ายต้องตระหนักรู้ พูดง่าย ๆ ว่าสัมผัสความเป็นจริง และให้ความตึงเครียดหรือความสงบดูแลตัวมันเอง ความจริงต้องปล่อยให้มันดูแลตัวเอง เพราะจะยุ่งอยู่กับการสัมผัสความเป็นจริงค่อย ๆ ไปทีละขั้น การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ใช่ด้วยอัตตา แต่ด้วยความเป็นจริง ความตระหนักรู้ปลดปล่อยความเป็นจริงมาเปลี่ยน ด้วยความตระหนักรู้จะเปลี่ยนไป แต่ต้องสัมผัสมัน

สำหรับวัฒนธรรมที่ฝึกให้บรรลุเป้าหมาย ณ ที่ไหนสักแห่ง แต่ความเป็นจริงไม่มีที่ไหนต้องไป เพราะอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว การกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ แต่ไม่ใช่ความโลภทางจิตวิญญาณ ตื่นขึ้นมานั่นคือเรื่องวิเศษ แต่หลังจากนั้นสักพักก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนเราตระหนักรู้ก็เพราะมีชีวิต การมีชีวิตอย่างไม่ตระหนักรู้ไม่ควรค่าแก่การมีชีวิต แล้วจะปล่อยให้ความเจ็บปวดดูแลตัวมันเอง

เพิ่มอำนาจให้ปีศาจ

ยิ่งพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง อะไร ๆ ก็ยิ่งเลวร้าย ยิ่งต่อต้านก็ยิ่งเพิ่มอำนาจให้มัน นั่นคือความหมาย แต่ถ้าเลื่อนไหลไปกับศัตรูจะเอาชนะศัตรูได้ จะรับมือกับความชั่วร้ายไม่ใช่ด้วยการต่อสู้ แต่ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเข้าใจมันจะหายไป คนคนหนึ่งจะรับมือกับความมืดไม่ใช่ด้วยกำปั้นทุบ แต่ต้องเปิดไฟ ยิ่งต่อสู้กับความมืดมันจะยิ่งสมจริงขึ้นไปอีก และก็ยิ่งทำให้หมดแรง แต่เมื่อเปิดไฟแห่งความตระหนักรู้ มันก็มลายหายไป

กับระเบิดนานาชนิด

ชีวิตเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออุดมการณ์ นั่นคือเหตุผลที่คนมักจะมองหาความหมายในชีวิต แต่ชีวิตไม่มีความหมาย เพราะความหมายคือสูตรสำเร็จ คือสิ่งที่จิตเข้าใจได้ จะพบความหมายก็ต่อเมื่อไม่ติดอยู่ในความหมาย จะเข้าใจชีวิตเมื่อเห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งลี้ลับเกินกว่าที่จิตจะคิดเข้าใจ บางคนเห็นการตระหนักรู้อยู่สูงเกินกว่าจะสัมผัสได้ทุกขณะ นั่นคือการตั้งการตระหนักรู้เป็นเป้าหมาย แต่ในการตระหนักรู้ที่แท้จริงนั้นไม่มีที่ต้องไป ไม่มีอะไรให้บรรลุ แต่จะเข้าถึงการตระหนักรู้เช่นนี้ได้ก็ด้วยการตระหนักรู้

มองให้ทะลุและเข้าใจ

การเปลี่ยนแปลงตัวเองจะส่งผลอะไรบ้าง เรื่องแรกคือมองให้ทะลุ ไม่ใช่ให้พยายาม ไม่ใช่สร้างนิสัยหรืออุดมคติขึ้นมาตลอดเวลา พุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่ควรจะเป็น แทนที่จะพุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เป็นอยู่ แล้วก็กำลังยัดเยียดสิ่งที่ควรจะเป็นเข้าสู่ความเป็นจริงในปัจจุบัน อีกเรื่องที่สำคัญก็คือความเข้าใจ การเห็นความแตกต่างระหว่างฉันกับตัวฉัน จะช่วยให้เลิกยึดติดสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีเยี่ยม

สูญเสียการควบคุม

ถ้าอยากเข้าใจการควบคุม ลองคิดถึงเด็กตัวน้อยที่ได้ลองเสพยา เมื่อยาแผ่ซ่านเข้าร่างกาย เด็ก ๆ ก็เริ่มเสพติดทั่วทั้งร่าง ร้องหายา การอยู่โดยไม่มียาก็แสนทนทรมานสู้ตายเสียดีกว่า นี่แหละคือสิ่งที่สังคมทำ ตั้งแต่แรกเกิดสังคมให้ลองเสพยาที่เรียกว่าความเห็นชอบ ความชื่นชม และความสนใจ สังคมจะไม่ปล่อยให้เบิกบานกับสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตที่ดีและมีประโยชน์ เช่น การได้ทำงาน การได้เล่นสนุก การได้หัวเราะ การได้คบหาสมาคม และการมีความสุขทางกายและใจ ได้ลองเสพยามากมายทั้งความเห็นชอบ ความสนใจ ความสำเร็จ การเป็นที่หนึ่ง เกียรติยศชื่อเสียงและอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อลองเสพยาเหล่านี้ก็เริ่มเสพติด และเริ่มกลัวสูญเสียมันไป ตอนที่รู้สึกสูญเสียการควบคุม กลัวความล้มเหลว กลัวความผิดพลาด กลัวคำวิจารณ์จากคนอื่น ซึ่งโหยหาการพึ่งพิงผู้อื่นและสูญเสียอิสรภาพ คราวนี้คนอื่นก็มีอำนาจที่จะทำให้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ได้ เวลาอยู่ในสภาวะพึ่งพิงต้องแสดงพฤติกรรมที่ดีที่สุด ทำตัวตามสบายไม่ได้ ต้องมีชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น การอยู่กับผู้คนคือการอยู่ในความตึงเครียด การอยู่โดยไม่มีพวกเขานำมาซึ่งความอ้างว้างอันแสนทรมานเพราะคิดถึงพวกเขา สูญเสียความสามารถที่จะเห็นพวกเขาตามความเป็นจริง และตอบสนองพวกเขาอย่างถูกต้อง

ฟังชีวิต

ตอนนี้ต้องการความตระหนักรู้ ต้องการสิ่งหล่อเลี้ยงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชีวิตและจิตใจ จงเรียนรู้ที่จะเบิกบานกับสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต ลองลิ้มรสอาหารดี ๆ ดื่มไวน์รสดี และดื่มน้ำใสสะอาด เลิกใช้หัวคิดและหันมาใช้ความรู้สึกหาความสุขทางกายและความสุขทางใจ อาจจะหาหนังสือดี ๆ ที่ชอบมาอ่าน เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องพิเศษ แต่น่าเสียดายที่ผู้คนเพี้ยนไปแล้ว พวกเขาติดการเสพยามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้วิธีเบิกบานกับสิ่งรื่นรมย์ต่าง ๆ ในชีวิต พวกเขาจึงยิ่งต้องพึ่งสิ่งเร้าเทียมหนักขึ้นไปอีก นั่นคือสัญลักษณ์ของชีวิตสมัยใหม่ จงทำอะไรให้ช้าลง ค่อย ๆ ละเลียดรสชาติ ค่อย ๆ ดมกลิ่น ค่อย ๆ ฟังเสียง และให้ประสาทสัมผัสกลับมามีชีวิต ถ้าต้องการมุ่งสู่หนทางประเสริฐของผู้มีญาณปัญญา จงนั่งลงเงียบ ๆ และฟังทุกเสียงรอบตัว ไม่ได้จดจ่อไปที่เสียงใดเสียงหนึ่งพยายามฟังทุกเสียง จะเห็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นเวลาประสาทสัมผัสไม่ถูกปิดกั้น นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลง

ความตายอยู่ตรงหน้า

หนทางแห่งการมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริงก็คือการตาย ใบผ่านทางสำหรับการมีชีวิตก็คือการจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในหลุมฝังศพ ลองจินตนาการว่ากำลังนอนอยู่ในโลงศพ คราวนี้มองปัญหาจากมุมมองนั้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปเลยไช่ไหม หลายคนไม่อยากเห็นความเป็นจริง ไม่อยากคิดถึงความตาย ผู้คนไม่ได้มีชีวิต ส่วนใหญ่ไม่ได้มีชีวิต แค่ทำให้ร่างกายมีลมหายใจ นั่นไม่ใช่ชีวิต ไม่ได้มีชีวิตจนกระทั่งรู้สึกว่าจะอยู่หรือตายก็ช่างมัน เมื่อถึงจุดนั้นจึงจะมีชีวิต เมื่อพร้อมจะสูญเสียชีวิตก็มีชีวิต แต่ถ้ากำลังปกป้องชีวิตก็เท่ากับตาย

ชีวิตผ่านเลยไปขณะที่กำลังนั่งอยู่ในคุกน้อย ๆ อย่างหวาดหวั่น กำลังจะสูญเสียทุกสิ่งในชีวิต ชีวิตมีไว้สำหรับนักเสี่ยงโชค เป็นเช่นนั้นจริง ๆ รู้ไหมว่าเมื่อใดที่พร้อมจะเสี่ยง เมื่อค้นพบจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าชีวิตนั้นไม่ใช่ชีวิต ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าการมีชีวิตคือการทำให้ร่างกายมีลมหายใจ ดังนั้น จรงรักความคิดเรื่องความตาย รักมันกลับไปคิดถึงมันครั้งแล้วครั้งเล่า คิดถึงซากศพอันงดงาม คิดถึงโครงกระดูก ช่างปลอดโปร่งโล่งสบาย เมื่อย้อนกลับไปมองชีวิตจากมุมมองนั้นได้ จะรู้ว่ามันปลอดโปร่งโล่งสบายแค่ไหน ก็จะมีมุมมองต่อชีวิตที่ต่างไปจากเดิม เราคืออะไร จักวาลนี้คืออะไร ชีวิตมนุษย์คืออะไร เมื่อมีความรู้สึกนั้น จะรู้ว่าการตระหนักรู้หมายถึงอะไร

สั่งซื้อ หนังสือ AWARENESS คนไม่รู้จักตัวเอง (คลิ๊ก)