สรุปหนังสือ VISUALISE เทคนิคคิดให้เป็นภาพชีวิตสำเร็จแบบคนระดับท็อป 1%
คำนำ
ฝึกฝนจิตใจให้เหมือนกับที่ฝึกฝนร่างกาย รูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุดต้องใช้ทั้งสองอย่าง จิตใจเป็นคุณภาพครึ่งหนึ่งตั้งแต่ชั่วขณะที่ตื่นขึ้นมา มันคอยบงการทุกสิ่งที่ทำทั้งวิธีที่คิด รู้สึก หรือวิธีที่ทำงาน ดังนั้น ถ้าไม่ฝึกฝนหรือไม่รู้วิธีดูแลมัน จะมีจิตใจที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร ในฐานะคนที่อยู่ในสังคมคนหนึ่ง ต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับร่างกายและรูปลักษณ์ คนเราเกือบทุกคนกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับแง่มุมต่าง ๆ ในจิตใจตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับพลังอำนาจจากเครื่องมือที่จะใช้จัดการกับมัน การฝึกฝนจิตใจถูกละเลยโดยสิ้นเชิง และยอมทนทุกข์กับผลกระทบที่ตามมาในระดับต่าง ๆ กันไป
คนเราไม่ว่าจะอายุเท่าไร หรือทำงานอะไร ความแข็งแรงทางจิตใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีชีวิตที่มีสุขภาพดี สมหวัง การจะมีจิตใจที่แข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อฝึกฝนจิตใจ โดยใช้แบบฝึกหัดและกิจวัตรการฝึกที่ถูกต้อง นั่นคือสาเหตุที่เจาะจงเรื่องความแข็งแรงทางจิตใจ หนังสือเล่มนี้จะเปิดเผยเทคนิคที่มีศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตอย่างลึกซึ้งนั่นคือ การสร้างจินตภาพ เทคนิคนี้ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย สร้างความเชื่อมั่น และวางระบบสมองใหม่ สิ่งหนึ่งที่จะเน้นย้ำคือ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพที่เป็นทุกข์ ประสบปัญหาหนัก หรือเจ็บป่วยในการฝึกสร้างจินตภาพหรืออ่านหนังสือเล่มนี้ แทนที่จะลงมือทำบางสิ่งเพราะจำเป็นต้องทำ ขอให้ทำเพราะทำได้และอยากทำ ผู้ชนะจะทำเช่นนั้น
ส่วนที่ 1 การตระหนักรู้เรียนรู้หลักการพื้นฐาน
จิตใจเป็นทั้งกุญแจและแม่กุญแจของประตูทุกบานที่ปรารถนาจะเปิด นักกีฬาที่เก่งที่สุดมักใช้เวลาเรียนรู้และทบทวนเรื่องพื้นฐาน สิ่งนี้อาจหมายถึงหลักการพื้นฐานของการฝึกจังหวะเท้า ทักษะพื้นฐานหรือแม้แต่กลยุทธ์พื้นฐาน สิ่งเดียวกันนี้ใช้ได้กับความแข็งแรงทางจิตใจด้วย ไม่ว่าเทคนิคจะถูกพัฒนาให้ซับซ้อนหรือชั้นสูงแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรเอาชนะพื้นฐานได้ การเข้าใจหลักการพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังจิตใจคือ ขั้นตอนแรกของการมีจิตใจเข้มแข็ง
บทที่ 1 การสร้างจินตภาพวางระบบสมองใหม่ได้อย่างไร
โลกของการพัฒนาตัวเองเต็มไปด้วยเครื่องมือ ทฤษฎี และแนวปฏิบัติอันหลากหลายที่จะช่วยเหลือร่างกายและจิตใจ เทคนิคการฝึกจิตใจที่ทรงพลังที่สุดคือ การสร้างจินตภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการทางความคิดแบบพิเศษ ที่ใช้จินตนาการสร้างภาพสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความรู้สึกในร่างกายและจิตใจของตัวเองให้ชัดเจน ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง เพื่อวางระบบการทำงานของสมองใหม่ ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดอารมณ์และการกระทำ
ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของสมอง สมองสามารถวางระบบใหม่และซ่อมแซมตัวเองได้ ตอนนี้นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า สมองปรับตัวได้มากกว่านั้นเยอะ มันสามารถสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ ๆ ระหว่างเซลล์ประสาท ซึ่งจะเปลี่ยนการตอบสนองนิสัยและวิธีคิด สิ่งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนด้านพฤติกรรม อารมณ์ และการรู้คิด เพื่อจะเข้าใจได้อย่างแท้จริงต้องเข้าใจประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งก่อน สมองไม่เก่งเรื่องแยกแยะความต่างระหว่างสิ่งที่เป็นจริงกับสิ่งที่จินตนาการขึ้น
เมื่อใช้ร่างกายทำบางอย่าง เซลล์ประสาทจำนวนหนึ่งในสมองจะส่งกระแสออกไปและกระตุ้นพื้นที่สมองบางส่วนให้ทำงาน เมื่อฝึกซ้อมสิ่งนั้นในความคิด เมื่อเวลาผ่านไป การฝึกซ้อมในความคิดเช่นนี้จะปรับเปลี่ยนสมองได้จริง ซึ่งจะทำให้แสดงออกในชีวิตจริงด้วยความมั่นใจได้ง่ายขึ้น การวางโปรแกรมระบบประสาทใหม่ จะเปลี่ยนเป็นการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมในลักษณะการวางตัว นี่คือเหตุผลว่าทำไมการสร้างจินตภาพจึงเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง
เซลล์ประสาทกระจกเงา เมื่อคนคนหนึ่งสังเกตการกระทำหนึ่งอยู่ เซลล์ประสาทกระจกเงาจะทำงานราวกับว่าตัวเขากำลังทำสิ่งนั้น และถ้าหากเคยทำสิ่งนั้นมาก่อน เซลล์ประสาทก็จะทำงานมากขึ้นอีก กระบวนการสะท้อนภาพจะช่วยให้คน ๆ นั้นเข้าใจและซึมซับการกระทำ อารมณ์ และเจตนาของผู้อื่นไว้ในจิตใจ ซึ่งโดยแก่นแท้แล้วจะช่วยให้เขาทำได้ดีขึ้น และมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ผ่านการสังเกต แต่เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นใหม่แบบตรงกันข้ามก็ได้ เพราะได้เรียนรู้พฤติกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์มากมายมาโดยไม่รู้ตัว เช่น การคิดลบ ความขัดแย้ง และเรื่องดราม่าที่จงใจสร้างขึ้นมา ซึ่งต่อไปมันค่อย ๆ แสดงตัวออกมาอย่างแนบเนียนในชีวิตส่วนตัวและความสัมพันธ์
เซลล์ประสาทที่ส่งสัญญาณพร้อมกันจะเชื่อมต่อกัน เมื่อลงมือทำสิ่งหนึ่งซ้ำ ๆ การเชื่อมต่อเซลล์ประสาทสมองที่ทำงานอยู่จะเร็วขึ้น แข็งแรงขึ้น และมีประสิทธิภาพขึ้น มันจะถูกฝังลงไปในสมองในระดับที่ลึก ๆ ประสบการณ์ที่เข้มข้นยาวนานหรือซ้ำ ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงสมองได้ การซักซ้อมในจิตใจซ้ำ ๆ ว่าจะทำผลงานได้ดีขึ้น มีความมั่นใจสูงขึ้น และบรรลุเป้าหมาย จะกระตุ้นให้เกิดการส่งสัญญาณใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท ซึ่งสุดท้ายแล้วจะนำไปสู่การวางระบบใหม่ แต่บางครั้งเรื่องนี้ก็อาจทำงานในแบบตรงกันข้ามได้นั่นคือ อาจวางระบบสมองใหม่ให้คิดในแง่ลบขึ้นด้วย
บทที่ 2 ใส่ใจกับความคิด
ความคิดเป็นได้ทั้งอาวุธและเครื่องมือ มีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะให้มันทำร้ายหรือช่วยเหลือ โดยเฉลี่ยแล้วคนคนหนึ่งจะมีความคิดอยู่ประมาณ 20,000-60,000 เรื่องต่อวัน ความคิดบางอย่างก็อยู่เพียงชั่วครู่ แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามทุกความคิดที่มี แต่มีความคิดจำนวนหนึ่งที่ต้องการ และสามารถใส่ใจมากขึ้น ความคิดเดียวเพียงลำพังนั้นไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรมากมายนัก แต่การคิดซ้ำ ๆ และลักษณะของความคิดนั้นมีบทบาทสำคัญนี้ ถ้ามีความคิดเชิงลบเกี่ยวกับตัวเองหรือโลกอยู่เสมอ มันจะกลายเป็นอัตลักษณ์ ความคิดประเภทนี้อาจบั่นทอนและดึงให้จมลง หรือจะยกขึ้นและเป็นประโยชน์ก็ได้
เรื่องไม่จริงเกี่ยวกับการคิดบวกอยู่เสมอ การคิดแต่เรื่องที่มีความสุขไม่อาจขจัดสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้นได้ ในบางสถานการณ์มันช่วยได้จริง ๆ แต่การบังคับให้คิดแต่แง่บวกไม่ใช่คำตอบเสมอไป จำเป็นต้องศึกษาความสัมพันธ์ที่มีต่อความคิดและจิตใจในระดับที่ลึกขึ้น การคิดบวกตลอดเวลามันเป็นไปไม่ได้และไม่เป็นธรรมชาติด้วย แทนที่จะกดดันให้ต้องคิดบวกเท่านั้น เปลี่ยนมันเป็นการมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความคิดดีกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ใด ๆ ก็ตามในชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องสามารถยืดหยุ่นและปรับตัวให้ได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวความคิดโดยเฉพาะความคิดเชิงลบ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญคือสิ่งที่คิดถึงเป็นส่วนใหญ่พลังอยู่ตรงนั้น
พลังอำนาจของจินตนาการมนุษย์ ความคิดไม่ใช่แค่สิ่งที่คิดเป็นถ้อยคำ แต่อาจเป็นภาพ ฉาก หรือแม้แต่ความฝัน การสร้างภาพขึ้นมาในใจต้องอาศัยการประสานงานกันภายในสมองอย่างซับซ้อนและใช้ความประณีตสูง สมองสามารถสร้างแนวคิด มโนภาพ และการสัมผัสรับรู้ต่าง ๆ ขึ้นมาภายใน ไม่ว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นรอบตัว ความสามารถนี้คือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ จินตนาการของมนุษย์มีพลังในการชักจูงในระดับรากฐาน แต่ปัญหาคือน้อยคนใช้ประโยชน์จากมัน หรือไม่ก็นำมันไปใช้ในทางที่ผิด ส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับความกังวล ความเครียด และความเชื่อที่มีขีดจำกัด จินตนาการภาพสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น หรือสิ่งที่อาจผิดพลาดได้ ลองนึกภาพว่ามันจะวางระบบสมองอย่างไร ความรู้คือสิ่งที่เป็นอยู่ แต่จินตนาการสิ่งที่อาจเป็นได้ และสมองคือเครื่องยนต์แห่งความคิดสร้างสรรค์
บทที่ 3 จงรู้สึกเพื่อที่จะเยียวยา
สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ยอมรู้สึก สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นกำแพงที่ข้ามผ่านไม่ได้ ความคิดและอารมณ์เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างมิอาจแยกได้ มันมีอิทธิพลและก่อร่างสร้างรูปกันและกันอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ที่เคลื่อนไหวอยู่เสมอนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกในขณะนั้น แต่ยังส่งผลต่อกรอบความคิดในระยะยาวด้วย ในขณะที่ความคิดเป็นภาษาของสมอง อารมณ์ก็เป็นภาษาของร่างกาย คนเราสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองหลีกเลี่ยงการรู้สึกถึงอารมณ์ ถ้าเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่มีการเพิกเฉยต่ออารมณ์หรือเก็บกดอารมณ์ไว้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเรียนรู้การทำแบบเดียวกัน อาจเคยเห็นคนที่เก็บกดอารมณ์เอาไว้มากมายจนระเบิดออกมาในที่สุด แต่ไม่ว่าจะอายุเท่าไร มีชื่อเสียงแค่ไหน หรือฉลาดเพียงใด อารมณ์ก็ไม่เลือกปฏิบัติถึงมันได้ในระดับหนึ่ง ถ้าอยากเริ่มต้นบริหารอารมณ์ของตัวเองให้ดีกว่านี้ ขอให้ทำตาม 3 ขั้นตอนต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 การตระหนักรู้ทางอารมณ์ เริ่มต้นจากการสังเกตเห็นและระบุอารมณ์ที่กำลังรู้สึกได้ เป็นเหมือนจุดข้อมูล ส่วนสำคัญของการตระหนักรู้คือ การถามตัวเองว่ารู้สึกถึงอารมณ์ตรงไหนของร่างกาย ไม่ต้องกลัวมัน ไม่ต้องขยายมันให้ใหญ่ขึ้น แค่อยู่ตรงนั้นกับร่างกายในขณะที่มันกำลังเกิดขึ้น เรื่องนี้อาจยากในตอนแรก แต่ขอให้ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ มันจะช่วยเพิ่มความแตกต่างให้กับความเชื่อมโยงระหว่างจิตใจกับร่างกาย และจะเป็นหลักฐานพื้นฐานในการฝึกสร้างจินตภาพ
ขั้นที่ 2 ความฉลาดทางอารมณ์ จะช่วยให้เข้าใจว่าทำไมความรู้สึกนั้นถึงปรากฏขึ้นมา ยิ่งเพิกเฉยต่ออารมณ์ที่เก็บกดไว้นานเท่าใด ก็ยิ่งยากที่จะจดจำได้ว่าเหตุนี้มันขึ้นเป็นเพราะอะไร และเป็นไปได้สูงว่ายิ่งอารมณ์นั้นรุนแรง แสดงว่าต้นตอของมันก็ยิ่งเกิดขึ้นนานมาแล้ว บางครั้งอาจไม่พบเหตุผลก็ไม่เป็นไร ประเด็นสำคัญคือต้องไม่คิดมากเกินไป แต่ต้องเข้าใจรูปแบบซ้ำ ๆ เพื่อจะได้ทำลายมัน
ขั้นที่ 3 การเท่าทันอารมณ์ตัวเอง การมีเครื่องมือและความสามารถในการควบคุมหรือปล่อยวางอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้นำ นักกีฬา และผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง การรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องส่วนบุคคล และเป็นกระบวนการเชิงทดลอง ตอนนี้มีกลยุทธ์มากกว่า 160 ข้อสำหรับเปลี่ยนความรู้สึก จึงไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด
บางครั้งเข้าใจผิดว่าการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์คือการไม่แสดงอารมณ์ แต่มันห่างไกลจากความจริงเป็นที่สุด อารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของความงดงามในการเป็นมนุษย์ ความคิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์คือการมองอารมณ์เป็นข้อมูล ไม่ใช่ผู้กำกับ มันเป็นแค่ข้อมูลว่ามีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นในชีวิต ไม่จำเป็นต้องชี้นำส่วนที่เหลือในวันนั้น แต่กุญแจสำคัญไม่ว่ากับอารมณ์ใดก็ตามคือ ต้องมองว่ามันเป็นพลังงานในร่างกายที่ต้องปลดปล่อยหรือเคลื่อนย้าย ทีแรกอ่านเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อมองเห็น และที่สำคัญกว่านั้นคือถ้าสัมผัสรับรู้ได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างจิตใจกับร่างกาย ก็ยากที่จะเพิกเฉยกับเรื่องนี้ การสร้างจินตภาพ โดยเฉพาะการสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์ จะช่วยให้ไขประโยชน์จากพลังแห่งจินตนาการ เพื่อทำให้ความรู้สึกต่าง ๆ เป็นรูปธรรมมากขึ้น
บทที่ 4 เอาชนะความเชื่อที่จำกัด
ความเชื่อเป็นตัวกำหนดวิธีใช้ชีวิต แต่ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับความเชื่อเหล่านั้น เช่น ปัญหาความเชื่อมั่นในตัวเองหรือความเชื่อเรื่องเงิน มันก่อตัวขึ้นมาจากวัยเด็กครอบครัวและประสบการณ์ต่าง ๆ ในโลกทุกวันนี้มีความเป็นไปได้สูงยิ่งกว่ายุคไหน ๆ ที่มันจะมาในจากโซเซียลมีเดีย ซึมซับความคิดเห็นต่าง ๆ ที่เป็นตัวกำหนดสีสันให้กับโลกอยู่เสมอ ตั้งแต่อายุยังน้อยความคิดเหล่านี้ถูกวางระบบไว้ในสมอง และคอยบงการสิ่งที่คิด รู้สึก และกระทำ เมื่อความคิดเหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าถูกต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะก่อให้เกิดความเชื่อหลักในใจ ตัวตนที่เป็นในวันนี้คือ โปรแกรมที่ถูกกำหนดที่หลายปีก่อน และอาจไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับจากนั้น ชีวิตกลายเป็นสิ่งที่ยอมจำนนต่อความคาดหวังของคนอื่น ถ้าไม่ชอบสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ก็สามารถเปลี่ยนมันได้ และถ้าชอบสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ก็สามารถรักษามันให้เป็นเช่นนั้น หรือทำให้มันดียิ่งขึ้นอีก คุณภาพชีวิตเป็นภาพสะท้อนโดยตรงถึงคุณภาพความเชื่อ และเมื่อเข้าใจว่าสามารถเลือกว่าจะให้ความเชื่อเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผ่านการสร้างจินตภาพ ก็จะยิ่งมีอำนาจควบคุมชีวิตตัวเองมากขึ้น
การปลูกสร้างความเชื่อในตัวเอง กล่าวได้ว่าความเชื่อในตัวเองเป็นส่วนสำคัญ และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุดในบุคลิก ถ้าเชื่อในตัวเองจะมีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ดังนั้น จึงควรฝึกตัวเองให้เก่งในเรื่องนี้ มันเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ ที่จะนำผลตอบแทนและรางวัลมหาศาลมาให้ ในเรื่องของการปลูกสร้างความเชื่อในตัวเองที่แข็งแกร่ง เริ่มต้นด้วยการตระหนักรู้และเข้าใจความเชื่อเดิม ๆ ที่มีเกี่ยวกับตัวเอง ทั้งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ทำให้มองเห็นว่าความคิดไหนกำลังจำกัดอยู่ ทั้งในแง่ชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน
ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะปล่อยให้คนอื่นมาบอกว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ ถ้าอยากสร้างสิ่งที่แตกต่างไปในชีวิตจะต้องทำให้เลือกที่จะเชื่อในตัวเอง และความเป็นไปได้ใหม่ ๆ จากนั้นมุ่งมั่นอยู่กับความเชื่อนั้นและนำไปปฏิบัติ จะมีบางครั้งในชีวิตที่ไม่มีใครเข้าข้าง แต่ถ้าเข้าข้างตัวเองแล้วก็ไม่มีอะไรหยุดได้ ต้องสนับสนุนตัวเอง ขอให้นึกว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของตัวเอง อาจแพ้การแข่งขันบ้างเป็นครั้งคราว และจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องแตกสลาย ดังนั้น อย่าเป็นแค่แฟนคลับแต่ต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้ให้กับชีวิตของตัวเอง
เหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย ถ้าหากจิตใจไม่มีการวางระบบเพื่อเป้าหมาย ก็ไม่ได้มอบโอกาสที่ดีที่สุดแก่ตัวเองในการบรรลุเป้าหมายนั้น เมื่อพูดถึงเป้าหมายการจดจ่อกับเป้าหมายมากเกินไป กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ จะทำให้พร้อมที่จะล้มเหลว สิ่งที่ผู้คนไม่ตระหนักคือ ความคิดและความเชื่อมีบทบาทสำคัญกว่าที่คิด
วงจรความสำเร็จภายในจิตใจ วงจรนี้เริ่มต้นที่ความเชื่อ ซึ่งก็คือวิธีที่มองตัวเองและโลกรอบตัว ความแน่ใจต่าง ๆ ที่มีเกี่ยวกับตัวเอง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อศักยภาพ ซึ่งก็คือความสามารถที่มีอยู่แล้วในตัวเอง หรือสมรรถภาพในการทำบางสิ่ง ศักยภาพจะส่งอิทธิพลโดยตรงต่อการกระทำ ถ้ามีความเชื่อที่ช่วยสร้างพลัง ขยายศักยภาพให้กว้างขึ้น และในที่สุดมันจะนำไปสู่การปฏิบัติงาน และการดำเนินการที่ดีขึ้น นั่นคือตอนที่ไปถึงส่วนสุดท้ายของวงจรได้แก่ ผลลัพธ์ เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความเชื่อ วงจรนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และกับแง่มุมที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างเป้าหมายและโครงการต่าง ๆ
บทที่ 5 พลังแห่งการสร้างจินตภาพ
การวางระบบสมองใหม่ ไม่ได้เป็นแค่การซ่อมแซมสิ่งที่เสียหาย แต่คือการปลดปล่อยสิ่งที่เป็นไปได้ การสร้างจินตภาพกับการทำสมาธิและฝึกสติ บ่อยครั้งคำว่าการสร้างจินตภาพกับการทำสมาธิถูกนำมาใช้แทนที่กัน ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเทคนิคที่แตกต่างกัน แม้ว่าการทำสมาธิและการสร้างจินตภาพจะมีบางสิ่งที่คล้ายกันอยู่บ้าง เช่น ต้องนั่งลงและหลับตา แต่กระบวนการและประโยชน์ที่จะได้รับแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งยังส่งผลต่อสมองในแบบที่ต่างกันด้วย
การฝึกสมาธิคือการฝึกฝนจิตใจให้มีการตระหนักรู้ และมีมุมมองที่ดีต่อสุขภาพ สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเปลี่ยนไปเป็นคนที่ต่างไปจากเดิม เป็นคนใหม่ หรือเป็นคนที่ดีขึ้น แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะสังเกตจิตใจของตัวเองโดยไม่ตัดสิน การสร้างจินตภาพไม่ใช่การทำให้จิตใจโปร่งหรือช้าลง ต้องใช้ความคิดและจินตนาการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์โดยเจตนา เช่น การกำหนดเป้าหมาย สร้างความเชื่อมั่น การทำสมาธิก็เหมือนกับเทคนิคการรื้อออก และอาจกล่าวได้ว่าทำให้การจราจรช้าลง แต่การสร้างจินตภาพคือการสร้างกระบวนการ สร้างถนนใหม่ และทำลายถนนเก่า จึงถือเป็นเทคนิคการฝึกจิตใจแบบสร้างขึ้นมาใหม่
การสร้างจินตภาพกับการฝึกจิตดลบันดาล การสร้างจินตภาพแบบเน้นผลลัพธ์ดูจะถูกใช้เป็นเทคนิคในการฝึกจิตดลบันดาลอยู่บ่อย ๆ เพราะมันช่วยให้มองเห็นสิ่งที่ต้องการชัดเจนขึ้น และทำให้มันโดดเด่นขึ้นมาในจิตใจ เมื่อสมองวางระบบใหม่แล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น หรือมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ แต่การสร้างจินตภาพจะขยายได้กว้างขึ้น จินตภาพเป็นทักษะการฝึกจิตใจ ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับบันดาลให้เป้าหมายกลายเป็นจริง การวางกรอบว่ามันเป็นการฝึกฝนจิตใจ ช่วยทำให้มันเป็นรูปธรรมมากขึ้น เป็นสิ่งที่ใช้ได้อย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นจริง
บทที่ 6 การสร้างจิตใจของผู้ชนะ
จะต้องเป็นผู้ชนะให้ได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะจริง ๆ ทุกคนสามารถเป็นผู้ชนะได้ และสามารถพัฒนากรอบความคิดแบบผู้ชนะได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของความสามารถ พรสวรรค์ หรือการเอาชนะ แต่เกี่ยวกับความมุ่งมั่น จดจ่อ ความกล้าหาญ และความเชื่อในตัวเองที่ไม่สั่นคลอน หน้าที่คือการสร้างวิสัยทัศน์ของตัวเอง และเป้าหมายที่ทำให้อยากลุกขึ้นมาจากเตียงในตอนเช้า ลุยสู้กับวันนั้น ๆ และโอบรับทัศนคติแบบผู้ชนะ
การเตรียมพร้อมคือพลัง การเตรียมพร้อมทางจิตใจคือข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ไม่มีใครพูดถึง นักกีฬาชั้นนำคือผู้เชี่ยวชาญการเตรียมพร้อมทางจิตใจ พวกเขามีกิจวัตรที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีที่สุดและทำผลงานได้ดีที่สุด โดยเฉพาะก่อนหน้าเหตุการณ์ที่มีเดิมพันสูงกว่า เขาใช้สิ่งนี้ดำรงรักษาความเป็นเลิศ และควบคุมวิธีที่พวกเขาแสดงออกในสถานการณ์ต่าง ๆ การเตรียมพร้อมทางจิตใจไม่ได้แค่มีประโยชน์ทางการกีฬาหรือการทำผลงานเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงความสัมพันธ์ สุขภาพ เป้าหมาย อารมณ์ และกิจวัตรประจำวันด้วย การเตรียมพร้อมทางจิตใจไม่ใช่แค่เรื่องการไปให้ถึงจุดสูงสุด แต่ต้องอยู่ตรงนั้นต่อไปได้ด้วย เป็นการรักษาระดับผลการทำงาน และบริหารจัดการว่าจะแสดงออกอย่างไรในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับงานเล็ก ๆ หรือหาทางจัดการกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต การเตรียมพร้อมด้านจิตใจจะช่วยให้มีความเชื่อมั่นในแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องการมัน
การหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟในการทำงาน วิธีทำตามฤดูกาล หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่ผู้คนยอมแลกกับการได้ประสิทธิภาพการทำงานสูงหรือเป้าหมายก็คือสุขภาพ ซึ่งนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน ความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และความเครียดเรื้อรัง ทุกวันนี้วัฒนธรรมอันแสนวุ่นวายเทิดทูนแนวคิดที่ว่า การทำงานจนดึกดื่นโดยไม่สนใจความต้องการส่วนตัวคือเหรียญตราเกียรติยศ หนึ่งในบทเรียนเรื่องประสิทธิภาพสูงอันล้ำลึกคือไม่ต้องเดินเครื่องทำงานตลอดเวลา อันที่จริงแล้วกันทำเช่นนั้นจะทำลายผลการทำงานและสุขภาพโดยรวม การนำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับชีวิตเรียกมันว่าวิธีทำตามฤดูกาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างช่วงเวลาที่แตกต่างกันในชีวิต 3 ช่วง ได้แก่ การจำศีล การเติบโต และการเก็บเกี่ยว
ในช่วงของการจำศีล จังหวะของชีวิตจะเชื่องช้ามาก เป็นเวลาที่ต้องจงใจเข้าสังคมให้น้อยลง และคิดพิจารณาตัวเองให้มากขึ้น โดยโอบรับสภาวะเก็บตัว และไตร่ตรองทบทวนให้มากขึ้น นี่คือช่วงเวลาที่ต้องจดจ่ออยู่กับการวางแผนเป้าหมาย ใช้ไอเดียมากมายและคิดอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าโดยผิวเผินแล้วผลิตภาพการทำงานอาจจะดูต่ำ แต่นี่คือระยะเวลาของการทำงานระดับลึก การจดจ่อระดับลึก และที่สำคัญที่สุดคือการพักผ่อนระดับลึก
ในช่วงของการเติบโต จังหวะชีวิตจะเร็วขึ้น นี่คือตอนที่จะรดน้ำลงดิน และเพาะเมล็ดพืชใหม่ สำหรับวงจรถัดไปเป็นเวลาของความคิดสร้างสรรค์ และการทดลองสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น
ฤดูเก็บเกี่ยวเป็นช่วงเวลาที่เร่งรีบ และเต็มไปด้วยความท้าทาย นี่คือเวลาที่จะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง และสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังรวมถึงการเข้าสังคมบ่อย ๆ เข้าหาผู้คนมากกว่าที่จะเก็บตัว และมีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด จนมุ่งเน้นสิ่งที่อยู่ภายนอกและอุทิศตัวให้กับการทำงาน
หลังการเก็บเกี่ยวขอให้ตั้งใจย้อนกลับไปสู่การจำศีลได้เลย โดยไม่ต้องรู้สึกผิด การพักผ่อนไม่ใช่รางวัลของการทำงานหนัก แต่เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของกระบวนการ
ความเชื่อมั่นกับความมั่นใจในตัวเอง ความเชื่อมั่นดูจะเป็นเรื่องของการยอมรับจากคนภายนอก มันจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีคนอื่นยืนยันมากขึ้น ความเชื่อมั่นประเภทนี้อยู่ได้ไม่นาน เพราะส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของคนอื่น และสถานที่เกิดขึ้น แต่ความมั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องภายในจิตใจ เป็นความรู้สึกที่มีต่อตัวเอง โดยไม่เกี่ยวว่าคนภายนอกจะมีความคิดเห็นอย่างไร ความมั่นใจในตัวเองที่แท้จริงคือเกมที่เล่นในจิตใจ โดยได้แรงผลักดันจากระบบการเชื่อมต่อในสมอง เมื่อลงทุนกับจิตใจภายใน ความเชื่อมั่นภายนอกก็จะเกิดขึ้นตามมาเองโดยธรรมชาติ ความงดงามของความเชื่อมั่นอยู่ตรงที่มันเอื้อมถึงได้เสมอ ไม่ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก็สร้างความเชื่อมั่นที่ไม่คลอนแคลนได้ มันไม่ง่ายเสมอไป แต่ยิ่งฝึกมากมันก็จะยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น และอีกไม่นานจะพบว่าไม่ต้องวิ่งไล่ตามความเชื่อมั่นอีกแล้ว เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในตัวเองแล้ว
บทที่ 7 กำหนดเป้าหมายและบรรลุเป้าหมาย
การกำหนดและพยายามบรรลุเป้าหมายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ซึ่งมนุษย์ทำได้ถ้ากลั่นกรองสิ่งไม่สำคัญออก จนเหลือถ้อยคำที่เรียบง่ายที่สุดคือ มนตราที่กล่าวว่าจงมีวิสัยทัศน์และลงมือทำไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด บ่อยครั้งเกินไปคนเราลังเลที่จะฝันในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ความคิดนั้นก็จะไม่อยู่ในหัวด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการพยายามทำให้เป็นจริงเลย นี่คือจุดที่การสร้างจินตภาพได้เปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจ ทำให้เป้าหมายหดเล็กลง หรือขยายใหญ่ขึ้นได้ ดังนั้น ในการคิดเกี่ยวกับเป้าหมายโดยพื้นฐานแล้วเชื่อว่า มันเป็นเรื่องของการถามคำถามสำคัญ 3 ข้อกับตัวเอง คือ
- ฉันต้องการอะไร? เรื่องนี้อาจดูเหมือนว่าชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะประหลาดใจถ้าได้รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่ไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ ปัญหานี้เกิดขึ้นจากเหตุผล 2 ประการ
เหตุผลหนึ่งคือคนเรารู้สึกว่ายากที่จะแยกแยะระหว่างสิ่งที่ตัวเองต้องการกับสิ่งที่คิดว่าตัวเองต้องการ
เหตุผลที่ 2 คือผู้คนไม่ได้ให้เวลาตัวเองได้คิดพิจารณาคำถามนี้ จึงไม่มีความเข้าใจที่กระจ่างชัดเพียงพอ
นี่เป็นเรื่องปกติมากและต้องอาศัยเวลาในการหาคำตอบ แต่มีบางสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อจะพบคำตอบนั้น อย่างแรกคือลองพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าอะไรทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา มีแรงบันดาลใจ หรือไม่มีความสุข อย่างที่สองคือถ้าไม่รู้ว่าจะไขว่คว้าเป้าหมายอะไร เริ่มต้นจากตัวเองก่อน พยายามทำให้ตัวเองอยู่ในเวอร์ชั่นที่มีสุขภาพดีที่สุด ได้รับการเยียวยามากที่สุด และมีความเชื่อมั่นในตัวเองที่สุด อีกสิ่งหนึ่งที่ควรต้องรับรู้คือเมื่อกำหนดเป้าหมายที่ง่ายเกินไป มันจะไม่มากพอที่จะกระตุ้นการตอบสนองจากสมองและร่างกาย ในทางตรงข้ามถ้าเป้าหมายนั้นใหญ่หรือสูงส่งเกินไป สมองก็จะต่อต้านมัน จุดที่ดีที่สุดคือเป้าหมายที่ดูเป็นไปได้แต่ท้าทาย เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถที่จะทำได้แบบทันที
- ทำไมฉันถึงต้องการมัน? เป้าหมายจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับปรัชญาและค่านิยม ทำไมเป้าหมายนั้นถึงทำให้ตื่นเต้น ทำไมถึงเป็นสิ่งที่ทำให้อยากทุ่มเทเวลาและพลังงานให้ คำถามว่าทำไมจะช่วยกำหนดคุณค่าของเป้าหมาย และเชื่อมโยงกับแรงผลักดันในใจตัวเอง นี่จะช่วยให้มีวินัย มุ่งมั่นทุ่มเท และที่สำคัญที่สุดคือมีแรงบันดาลใจที่จะลงมือทำอย่างต่อเนื่อง แม้ในเวลาที่สิ่งต่าง ๆ ดูจะยากลำบาก
- ฉันจำเป็นต้องเป็นใครเพื่อจะบรรลุเป้าหมายนี้ เป้าหมายไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่ทำสำเร็จ แต่ยังเกี่ยวกับคนที่กลายเป็น ในระหว่างกระบวนการนั้นจะมีโอกาสทำสำเร็จได้มากที่สุด จะต้องปรับอัตลักษณ์ตัวตนให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่กำลังไขว่คว้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการสร้างจินตภาพ เป้าหมายคือการระบุอย่างชัดเจนว่า อยากรู้สึกอย่างไรเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว
สิ่งที่เป็นแก่นหลักอย่างแท้จริง อะไร ทำไม และใคร แน่นอนว่ามีสิ่งอื่นที่สร้างความแตกต่างด้วย มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก และจะช่วยให้เกิดความกระจ่างชัด ความเชื่อมโยง และความสามารถในการไขว่คว้าเป้าหมายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
จงใช้ชีวิตอย่างผู้ล่าไม่ใช่ผู้ถูกล่า ในอาณาจักรของสัตว์มีสัตว์อยู่ 2 ประเภทคือผู้ล่าและผู้ถูกล่า จะรู้ความแตกต่างนี้ได้ด้วยการมองตาพวกมัน ผู้ล่าจะมีดวงตาอยู่ด้านหน้า สำหรับมุ่งเน้นการมองตรงไปข้างหน้า และจริงจังกับการทำบางสิ่งให้เกิดขึ้น สัตว์ที่เป็นผู้ถูกล่ามีดวงตาอยู่ด้านข้าง เพราะต้องมองไปรอบ ๆ อยู่เสมอเพื่อระวังภัย พวกมันเล่นเกมนี้เพื่อไม่ให้แพ้เท่านั้น คนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่า แต่ส่วนใหญ่กลับถูกวางเงื่อนไขให้ต้องกลายเป็นผู้ถูกล่า หยุดไล่ล่าชีวิตที่ต้องการ และเริ่มเป็นฝ่ายตอบสนองต่อชีวิตที่มีอยู่ ผู้ล่าจะก้าวร้าวในเรื่องเป้าหมาย จะไม่รอคอยให้โอกาสมาถึง แต่จะสร้างโอกาสขึ้นมาเอง ลงมือทำงานหนัก ตลอดจนพากเพียรต่อไป แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่เป็นไปตามแผน นั่นคือแก่นแท้ของความเป็นนักล่า ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนสมาธิและแรงกดดัน จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะมองไม่เห็นสิ่งที่มีความหมาย หรือยอมรับชีวิตแบบที่ไม่ต้องการอย่างแท้จริง แต่ถ้าต้องการความเป็นเลิศ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร จะต้องเรียกร้องมันให้แก่ตัวเองให้ได้ เพราะความคิดแบบนักล่าคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
ส่วนที่ 2 ความฉลาด
ฝึกฝนเทคนิคการสร้างจินตภาพ 5 แบบ
ความเชี่ยวชาญไม่ใช่แค่การไปถึงตอนจบ แต่เกี่ยวกับการตกหลุมรักเส้นทางแห่งการทำให้ตัวเองดีขึ้นทุกวัน การสร้างจินตภาพแต่ละแบบประกอบด้วยองค์ประกอบ 8 อย่าง ซึ่งแต่ละอย่างมีหน้าที่เฉพาะที่เป็นเหตุผลที่ทำให้การสร้างจินตภาพแตกต่างจากการฝันกลางวันหรือฝันลม ๆ แล้ง ๆ การฝึกปฏิบัตินี้มีความเจาะจงและทำโดยเจตนา ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 8 อย่างนี้คือ
- ท่าทาง หลังและไหล่ตั้งตรง ควรอยู่ในความตื่นมีสติในท่าที่ตั้งฉากกับพื้น
- หลับตา ขจัดสิ่งรบกวนสมาธิ แล้วปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่จินตนาการ
- การใช้ลมหายใจ ทำให้ระบบประสาทสงบลง (ขอให้จำไว้ว่าความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของสมองจะมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อเครียด)
- ช่วงเวลาสงบนิ่ง ชะลอการทำงานของสมองให้ช้าลง และทำให้เชื่อมโยงกับร่างกายและจิตใจของตัวเอง
- สร้างจินตภาพ ช่วงเวลาแห่งการยกน้ำหนักและฝึกความแข็งแกร่ง
- ช่วงเวลาสงบนิ่ง ช่วยให้อยู่กับปัจจุบัน
- การฝึกหายใจ ช่วยควบคุมระบบประสาท
- ลืมตา พร้อมสำหรับวันใหม่ที่รออยู่
การสร้างจินตภาพไม่ใช่สิ่งที่ทำครั้งเดียวแล้วเสร็จ แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนและทุ่มเทอย่างสม่ำเสมอ
บทที่ 8 การสร้างจินตภาพเชิงเน้นผลลัพธ์
จินตภาพไม่ใช่แค่ภาพของสิ่งที่อาจเป็นไปได้ แต่เป็นการร้องขอต่อตัวตนในรูปแบบที่ดียิ่งขึ้น เป็นการเรียกร้องให้เป็นมากกว่าที่เป็นอยู่ การสร้างจินตภาพแบบเน้นผลลัพธ์เป็นวิธีฝึกฝนจิตใจแบบหนึ่ง ที่จะได้เห็นผลลัพธ์ที่ปรารถนาหรือจุดสิ้นสุดล่วงหน้า ซึ่งมักนิยมใช้กันเวลาสร้างจินตภาพของความสำเร็จ เป้าหมาย หรืออนาคต การสร้างจินตภาพเชิงเป้าหมาย 5-7 นาที
- เตรียมพร้อม นั่งในท่าที่สบายแล้วหลับตา ขยับเนื้อขยับตัวเพื่อปลดปล่อยความตึงเครียด สูดลมหายใจลึก ๆ 5 ครั้ง และใช้เวลาสงบนิ่งสักพัก
- จดจ่อ เริ่มด้วยการพุ่งความสนใจไปที่เป้าหมาย โครงการ พันธกิจที่กำลังทำอยู่ สิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น
- สร้างจินตภาพของผลลัพธ์ปลายทาง เริ่มต้นมองเห็นตัวเองบรรลุเป้าหมายนั้นอย่างประสบความสำเร็จ นึกภาพผลลัพธ์นั้นไว้ล่วงหน้า มันมีหน้าตาเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน กำลังอยู่ข้างในหรือข้างนอก อากาศหนาวไหมหรือว่าร้อน เห็นรูปทรงและสีสันต่าง ๆ รอบตัว นำตัวเองไปสู่สถานที่ที่จะได้อยู่ในตอนนั้น
- เพิ่มรายละเอียด ได้ยินเสียงอะไร บทสนทนาประเภทไหนกำลังดำเนินอยู่ในตอนนั้น มีเสียงเชียร์หรือเปล่า หรือว่าเป็นความเงียบ มีใครอื่นอีกไหมที่อยู่ตรงนั้น
- ลงลึกขึ้น กำลังสวมเสื้อผ้าแบบไหน กำลังกินหรือดื่มอะไร ลองชิมอาหารนั้นดู ตอนนี้กำลังทำกิจกรรมอะไร จำไว้ว่านี่คือเป้าหมายที่ได้บรรลุแล้ว ผลลัพธ์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร พยายามมองให้เห็นภาพผลลัพธ์นั้นที่ชัดเจนขึ้น
- เชื่อมโยงทางอารมณ์ ต้องการจะรู้สึกอย่างไร ภูมิใจ ตื่นเต้น สงบ สมหวัง หรือมีแรงขับดัน เริ่มนำอารมณ์นั้นเข้าสู่ร่างกาย ประสานมันกับจินตภาพและเป้าหมาย
- ทำให้ใหญ่ขึ้น มาเพิ่มระดับขึ้นอีกเล็กน้อย ลองจินตนาการให้สิ่งนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นอีก 1% ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเป้าหมายนี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร จะทำหรือพยายามทำสิ่งใด ถ้าไม่ปล่อยให้ความกลัวหรือความลังเลสงสัยเข้าครอบงำ ปล่อยให้จิตใจขยายออก และสำรวจจินตภาพที่ใหญ่ขึ้นและบ้าบิ่นขึ้น อยู่ตรงจุดนั้น 2-3 นาที
- ซักซ้อมการกระทำ ตอนนี้ขอให้ฝึกซ้อมการกระทำ สิ่งหนึ่งในใจเพื่อก้าวไปให้ถูกเป้าหมายนี้ ไม่ว่ามันจะใหญ่หรือเล็ก อะไรคือก้าวแรก มองเห็นตัวเองลงมือทำ มุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ
- จบด้วยความกระจ่างชัด หายใจเข้าออกลึก ๆ อีก 5 ครั้ง ใช้เวลาสงบนิ่งสักพัก แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนโยน
เพิ่มความเชื่อในตัวเอง ความเชื่อในตัวเองเป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกสิ่งที่ทำในชีวิต มันไม่ใช่แค่การมองโลกในแง่ดี หรือมีความหวังเกี่ยวกับชีวิตและเป้าหมาย แต่เป็นเรื่องของความไว้วางใจที่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ และความแน่ใจในตัวเอง การสร้างจินตภาพเพื่อเพิ่มความเชื่อในตัวเอง 4-6 นาที
- เตรียมพร้อม นั่งในท่าที่สบายแล้วหลับตา ขยับเนื้อขยับตัวเพื่อปลดปล่อยความตึงเครียด หายใจเข้าออกลึก ๆ 5 ครั้ง และใช้เวลาสงบนิ่งสักครู่
- ตำแหน่ง นึกภาพตัวเองกำลังอยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่ปกติแล้วจะรู้สึกขาดความเชื่อในตัวเอง อาจเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและรู้สึกไม่คุ้นเคย หรือความทรงจำจากอดีตตอนที่จิตใจฉุดรั้งไม่ให้ทำบางสิ่ง
- ตีกรอบ ถามตัวเองว่าถ้ามีความเชื่อ และความไว้วางใจในตัวเองมากกว่านี้ จะทำตัวอย่างไร ในสถานการณ์นี้จะทำอะไร จะพูดอย่างไร จะเดินอย่างไร จะยืนหยัดเผื่อตัวเองอย่างไร ให้เฝ้าดูตัวเองกระทำสิ่งเหล่านี้ในแบบใหม่ ใส่รายละเอียด ทำตัวให้คุ้นเคยกับวิธีการแสดงออกแบบใหม่
- เติมอารมณ์ รู้สึกอย่างไรเมื่อมีความเชื่อในตัวเองมากขึ้น รู้สึกอุ่นไหม รู้สึกจั๊กจี้บริเวณอกหรือเปล่า หรือรู้สึกเข้มแข็งและตื่นเต้น เชื่อมโยงกับร่างกายเพื่อให้มันเข้มแข็งมากขึ้น ฝึกซ้อมสถานการณ์นั้นในจิตใจไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้นในจิตใจและร่างกายของตัวเอง
- ผูกมัด เลือกที่จะผูกมัดกับความเชื่อในตัวเองเช่นนี้ พูดกับตัวเองซ้ำ ๆ 3 ประโยคในตอนจบถ้าต้องการ
- จบด้วยความแน่ใจในตัวเอง สูดลมหายใจลึก ๆ อีก 5 ครั้ง ใช้เวลาสงบนิ่งสักครู่แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ทันทีที่ได้ลองสร้างจินตภาพแบบเน้นผลลัพธ์ เป็นธรรมดาที่อาจจะรู้สึกว่าความมีพลัง แรงจูงใจ ความหวัง และพลังงานพุ่งสูงขึ้น เทคนิคนี้จะช่วยให้เข้าสู่ระดับชั้นที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจ ทำให้เป้าหมายมีชีวิตชีวาด้วยรายละเอียดที่แจ่มชัด เมื่อจินตภาพนั้นมีความหมายลึกซึ้ง ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกถึงการตอบสนองทางอารมณ์ที่ชัดเจน
บทที่ 9 การสร้างจินตภาพเชิงเน้นกระบวนการ
การสร้างจินตภาพแบบเน้นกระบวนการ เป็นเทคนิคด้านการรู้คิด ที่ช่วยให้งาน กระบวนการ หรือทักษะหนึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และดีขึ้น มันเกี่ยวข้องกับการซักซ้อมขั้นตอนในจิตใจสำหรับการทำกิจกรรมนั้นอย่างถูกต้อง แม่นยำ โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดสร้างภาพที่มีรายละเอียดแจ่มชัดของตัวเองขณะทำสิ่งนั้นอยู่ การทำเช่นนี้จะกระตุ้นและสร้างความแข็งแกร่งให้กับวิถีประสาทใหม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานนั้นเป็นในความเป็นจริง การสร้างจินตภาพแบบเน้นกระบวนการมีประโยชน์ในการพัฒนาทักษะใด ๆ ก็ตามให้ดีขึ้น ตั้งแต่การพูดในที่สาธารณะ ไปจนถึงการผ่าตัดที่ซับซ้อน และเมื่อนำมาประสานกับการฝึกทางกาย มันจะทำให้เกิดความชำนาญที่เฉียบคมอย่างยิ่ง
การทำผลงานแบบสุดยอดคนเก่ง 1% การสร้างจินตภาพแบบเน้นกระบวนการเป็นเครื่องมืออันดับ 1 สำหรับการทำผลงานที่สม่ำเสมอและดีที่สุด ให้คิดถึงงาน กิจกรรมที่อยากทำผลงานได้ดี ให้สร้างจินตภาพแบบด้านล่างซ้ำอย่างน้อย 5 ครั้งก่อนลงมือทำ การสร้างจินตภาพเพื่อทำผลงานแบบสุดยอดคนเก่ง 1% 3-6 นาที
- เตรียมตัว นั่งในท่าที่สบายแล้วหลับตา ขยับเนื้อขยับตัวเพื่อปลดปล่อยความตึงเครียด สูดลมหายใจลึก ๆ 5 ครั้ง และใช้เวลาสงบนิ่งสักครู่
- สร้างสิ่งแวดล้อม นึกภาพตัวเองกำลังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะอยู่เวลาทำผลงานนั้น ๆ อยู่ข้างนอกหรืออยู่ข้างในอาคาร เห็นอะไร มีใครอื่นอีกที่อยู่ตรงนั้น
- ทำผลงาน ซักซ้อมการทำสิ่งนั้นในจิตใจตามแบบที่ต้องการทุกอย่าง ผลงานที่สมบูรณ์แบบหน้าตาเป็นอย่างไร มุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหว อัตราความเร็ว ความถูกต้องแม่นยำ และความสม่ำเสมอ
- ลงลึกกว่าเดิม ใช้ร่างกายส่วนไหนมากที่สุดในการทำกิจกรรมนั้น ลงรายละเอียดแบบที่รู้สึกได้ในกล้ามเนื้อ รับรู้ถึงสัมผัสต่าง ๆ ในร่างกาย
- เพิ่มรายละเอียด ยังมีรายละเอียดอะไรอีก มีใครกำลังดูอยู่ไหม มองเห็นใครมีวัตถุอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า
- เพิ่มอารมณ์ รู้สึกอย่างไรในการทำกิจกรรมนี้ รู้สึกถึงความต่อเนื่อง หรือมีสมาธิ หรือกระฉับกระเฉง ไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้สึกที่เข้มข้นเกินไป
- ดีขึ้น 1% การทำผลงานดีขึ้น 1% หน้าตาเป็นอย่างไร มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
- ทำซ้ำ ๆ ทำกิจกรรมนั้นซ้ำต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตใจเข้าสู่สภาวะลื่นไหลต่อเนื่องกับการทำสิ่งนั้น มองผ่านมุมมองของบุคคลที่ 1 และบุคคลที่ 3 ทำผลงานนั้นซ้ำในแบบที่ต้องการให้มันเป็นทุกประการ
- จบด้วยความมั่นใจ หลังจากการซักซ้อมในจิตใจดูจะมั่นคงดีแล้ว และรู้สึกว่าทำมันได้อย่างง่ายดาย หายใจเข้าออกลึก ๆ อีก 5 ครั้ง ใช้เวลาสงบนิ่งสักครู่ แล้วค่อย ๆ ลืมตา
การเลิกนิสัยและการสร้างนิสัย นิสัยไม่ว่าดีหรือไม่ดีล้วนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน นิสัยคือการกระทำที่ทำซ้ำมานานพอจนมันกลายเป็นความเคยชิน ดังนั้น มันจึงถูกวางระบบระดับลึกในสมอง การสร้างจินตภาพแบบเน้นกระบวนการสามารถตั้งโปรแกรมจิตใจให้เลิกนิสัยที่ไม่เป็นประโยชน์และสร้างนิสัยใหม่
มาเริ่มด้วยการเลิกนิสัยกันก่อน ทุกคนล้วนมีนิสัยที่ไม่ดีบางอย่าง กุญแจสำคัญในการเลิกนิสัยคือ การก่อกวนวงจรอัตโนมัติ และแนะนำตัวเลือกที่ตั้งใจเลือกมา นอกจากการเลิกนิสัยที่ไม่ดีแล้ว การสร้างจินตภาพแบบเน้นกระบวนการยังทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อในการสร้างนิสัยใหม่ เมื่อเริ่มต้นนิสัยใหม่ จิตใจมักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้น เพราะเป็นการกระทำที่รู้สึกไม่คุ้นเคย การซักซ้อมนิสัยในใจจะเป็นการปูพื้นสมองไปสู่ความสำเร็จ การสร้างจินตภาพเวลาสร้างนิสัยใหม่ ๆ เลือกนิสัยหนึ่งที่ต้องการปลูกฝังให้ตัวเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกสมาธิ การออกกำลังกาย หรือการจดบันทึก จากนั้นจะสร้างจินตภาพตัวเองทำสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในการซักซ้อมในจิตใจนี้ทำให้คุ้นเคยกับนิสัยดังกล่าว ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำเสียอีก ซึ่งจะช่วยเร่งความเร็วให้กับกระบวนการสร้างนิสัยนั้นในชีวิตจริง การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้จะสะสมเป็นพัฒนาการที่สำคัญและสังเกตเห็นได้ ถ้าใช้มันกับทักษะที่กำลังเรียนรู้อยู่ หรือยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก อาจต้องใช้เวลานานนิดนึงกว่าจะมองเห็นผลลัพธ์ นั่นเพียงเพราะว่ากำลังสร้างวิถีประสาทใหม่ขึ้นมา การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอผลลัพธ์จะปรากฏเอง การสร้างจินตนาการแบบเน้นกระบวนการช่วยทำให้สิ่งที่ไม่คุ้นเคยกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และเปลี่ยนสิ่งที่ยากให้กลายเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าทำสำเร็จได้
บทที่ 10 การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์
การเข้าใจอารมณ์ของตัวเองคือ การปลดล็อคบทสนทนาระหว่างจิตใจกับร่างกาย การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์ใช้ประโยชน์จากพลังของจินตนาการ มาทำให้ความรู้สึกหรือสัมผัสเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น นี่รวมทุกสิ่งตั้งแต่อารมณ์และความเครียดในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงความเจ็บปวดทางกายที่รุนแรง เป้าหมายคือการใช้รูปทรง สีสัน ตัวละคร และวัตถุ ในการช่วยสมองประมวลว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ หรืออยากรู้สึกอย่างไร และสุดท้ายก็ปลดปล่อยอารมณ์เหล่านั้นออกมา การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ซึ่งใช้เวลาเพียง 40 – 90 วินาทีต่อครั้งเท่านั้น จึงทำได้ง่ายไม่ว่าจะเมื่อไหร่หรือที่ไหน
การบริหารอารมณ์ที่ทำให้หนักใจ โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ทำหนึ่งในสามอย่างนี้เวลาต้องรับมือกับอารมณ์ได้แก่ แสดงออกมา เก็บกดไว้ หรือพยายามหลีกหนี คนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง หรือคนที่ทะเยอทะยานมักจะอยู่ใน 2 หมวดหลังคือเก็บกดหรือหลีกเลี่ยงอารมณ์ เพื่อจะได้มุ่งมั่นอยู่กับเป้าหมาย การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์นั้นเป็นวิธีที่ดีเยี่ยม สำหรับจัดการกับการตระหนักรู้ถึงอารมณ์และความคล่องแคล่วทางอารมณ์ มันสนับสนุนให้รับรู้ร่างกายตัวเองอย่างละเอียด
การปลดปล่อยความวิตกกังวล การสร้างจินตภาพเพื่อปลดปล่อยความวิตกกังวล 4-6 นาที
- เตรียมพร้อม นั่งในท่าที่สบายแล้วหลับตา ขยับเนื้อขยับตัวเพื่อปลดปล่อยความตึงเครียด สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ 5 ครั้ง และใช้เวลาสงบนิ่งสักครู่
- ระบุตำแหน่งความกังวลในร่างกาย ใช้เวลาสักครู่คิดว่าอะไรทำให้รู้สึกกังวล นำมันมาสู่ปัจจุบันขณะ สังเกตว่าร่างกายส่วนใดกำลังรู้สึกถึงความวิตกกังวลนั้น
- สร้างจินตภาพความกังวล คราวนี้ให้สร้างจินตภาพว่าความกังวลมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรบนร่างกาย ทำให้มันมีสี รูปทรง หรือทำให้มันเป็นตัวละครหรือสัตว์ก็ได้ มันร้อนหรือว่าเย็น
- ปล่อยให้มันขยายใหญ่ขึ้น สิ่งนี้อาจทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ขอให้ทนหน่อย ปล่อยให้รูปทรงหรือตัวละครนั้นใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น รู้สึกถึงมัน
- ทำให้ภาพนั้นหดเล็กลง คราวนี้ใช้จิตใจทำให้ภาพนั้นเล็กลงไปเรื่อย ๆ สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ตามสบายได้เลยว่า อยากให้มันเป็นเช่นนั้นด้วยวิธีใด
- ทำซ้ำ ทำซ้ำจนกระทั่งภาพนั้นเล็กเท่าเมล็ดถั่ว
- ปลดปล่อย สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ และในขณะที่หายใจออก ปล่อยให้ภาพนั้นสลายไปให้หมด แล้วได้รับการปลดปล่อย
- หาตำแหน่งอีกครั้ง กลับไปตระหนักรู้บริเวณนั้นของร่างกายอีกครั้ง และสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกได้
- ทำซ้ำ ทำกระบวนการนี้ซ้ำหลาย ๆ ครั้งเท่าที่ต้องการ
- จบด้วยความเบาสบาย สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ อีก 5 ครั้ง ใช้เวลาสงบนิ่งสักครู่แล้วค่อย ๆ ลืมตา
การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์เช่นนี้ จะช่วยเปลี่ยนสภาพอารมณ์ที่มองไม่เห็นให้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เพื่อที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับมัน และสุดท้ายก็ควบคุมมันได้
การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์มักจะแสดงผลทันที โดยเฉพาะเมื่อใช้กับการบริหารอารมณ์ การผ่อนคลาย หรือการบรรเทาความเจ็บปวด จะรู้สึกเบาขึ้น สงบขึ้น สบายตัว และจิตใจเปิดกว้างขึ้น ในระยะยาวการสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์ช่วยให้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับร่างกายและจิตใจของตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการกับความเครียด อารมณ์ และสุขภาพโดยรวม การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างยิ่ง ไม่มีคำว่าถูกหรือผิดในการทำวิธีนี้ แค่โอบรับจินตนาการของตัวเอง และปล่อยให้มันแสดงพลัง สิ่งสำคัญคือไว้วางใจกระบวนการนี้ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อได้รับประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่
บทที่ 11 การสร้างจินตภาพเชิงลบ
การสร้างจินตภาพเชิงลบคือ กระบวนการซักซ้อมในจิตใจเกี่ยวกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด หรือความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การประสบปัญหาทางการเงิน การตกงาน หรืออุปสรรคปัญหาที่ไม่คาดคิด ด้วยการคิดเชิงเน้นการกระทำล่วงหน้าว่า ควรทำสิ่งใด จะพร้อมมากขึ้น ฟื้นคืนกำลังใจได้ง่ายขึ้น และในบางสถานการณ์อาจจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคปัญหาได้อย่างดุเดือด
การส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานและการเตรียมพร้อม การใช้การสร้างจินตภาพเชิงลบนี้ เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ การซักซ้อมในจิตใจว่าจะตอบสนองอย่างไร และจะเอาชนะมันอย่างไร ย่อมทำให้ได้เปรียบกว่าแน่นอน บริษัทต่าง ๆ ยังใช้การสร้างจินตภาพเชิงลบเป็นเครื่องมือในการรับรองอนาคตบริษัท มักจะมีทีมงานที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งทำหน้าที่มองหาสถานการณ์ในอนาคตที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจ มีโครงการและเป้าหมายจำนวนมากเกินไปที่ต้องล้มเหลวด้วยสาเหตุที่อาจป้องกันได้ นี่ไม่ใช่การคิดในแง่ลบ แต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอุปสรรค ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สนับสนุนการเห็นคุณค่าและแรงจูงใจ ในการสร้างจินตภาพนี้เริ่มด้วยการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ให้คุณค่าในชีวิต เช่น ครอบครัว สุขภาพ บ้าน มิตรภาพ และอื่น ๆ จากนั้นหลับตาแล้วจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีสิ่งเหล่านั้น หรือคนคนนั้นในชีวิตอีกต่อไป การคิดเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีในชีวิต แต่มันอาจจะถึงกับเปลี่ยนทัศนคติ หรือการกระทำที่มีต่อสิ่งเหล่านั้น ด้วยการจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีคนที่รัก อาจเป็นกำลังใจให้ดูแลหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ที่มีอยู่ และใช้เวลาอยู่กับพวกเขามากขึ้น ความกลัวการสูญเสียเป็นแรงจูงใจอันทรงพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้
การบรรลุเป้าหมาย ระหว่างการสร้างจินตภาพความสำเร็จกับความล้มเหลว แบบไหนทำให้คนเรามีความก้าวหน้ามากกว่ากัน ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า การนึกภาพสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าไปไม่ถึงเป้าหมาย การจินตนาการว่าถ้าล้มเหลวจะรู้สึกอย่างไร และผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นหากไปไม่ถึงเป้าหมาย ส่งผลให้ผู้คนมีแรงผลักดันมากขึ้น ที่จะฝ่าฟันความยากลำบากและมุ่งมั่นอยู่บนหนทางสู่ความสำเร็จ เป็นเรื่องการใช้สถานการณ์ที่เป็นความจริงแต่โหดร้ายซึ่งอาจเกิดขึ้น เพื่อทำให้มีวินัยในการไปให้ถึงเป้าหมาย
บทที่ 12 การสร้างจินตภาพเชิงสำรวจตรวจตรา
การสร้างจินตภาพเชิงสำรวจตรวจตรานั้น อาจจะเป็นเทคนิคที่มีการบันทึกไว้น้อยที่สุด และเป็นที่รู้จักน้อยที่สุด บางครั้งถูกเรียกว่าการสร้างจินตภาพแบบเป็นฝ่ายรับมันแตกต่างจากการสร้างจินตภาพที่มีเป้าหมายเป็นแรงผลักดันเพราะเทคนิคนี้เกี่ยวกับการโอบรับจินตนาการอันกว้างไกลไร้พรมแดนในขณะที่การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์ใช้จินตนาการอย่างเฉพาะเจาะจงกับอารมณ์หรือร่างกายการสร้างจินตภาพเชิงสำรวจตรวจตราจะใช้จินตนาการเพื่อตรวจดูไอเดียแก้ปัญหาหรือสร้างแนวคิดใหม่ๆขึ้นมาทั้งหมดแนวทางนี้ช่วยให้ไม่ถูกจำกัดอยู่กับผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจงแต่จะปล่อยให้จินตนาการได้เผยตัวออกมาอย่างอิสระ
การสร้างเนื้อหา เมื่อต้องผลิตเนื้อหาอะไรก็ตาม ให้เริ่มจากแก่น แนวคิด หรือไอเดียหลวม ๆ ลองจินตนาการว่ากำลังจะเขียนทวิตเกี่ยวกับวิธีการสร้างความเชื่อมั่น การสร้างจินตภาพเพื่อผลิตเนื้อหา 2-3 นาที
- เตรียมพร้อม นั่งในท่าที่สบายแล้วหลับตา ขยับเนื้อขยับตัวเพื่อปลดปล่อยความตึงเครียด สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ 5 ครั้ง และใช้เวลาสงบนิ่งสักครู่
- ระบุตำแหน่ง เริ่มนึกภาพว่ากำลังอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
- พิมพ์ในใจ เริ่มพิมพ์เนื้อหาของทวิตเกี่ยวกับการสร้างความเชื่อมั่น จะเริ่มตรงไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำ ข้อความ หรือไอเดีย
- เรียบเรียงในใจ พิมพ์ ลบ หรือเรียบเรียงข้อความนั้น
- อ่านในใจ เขียนทวิตนั้นให้จบ แล้วอ่านในใจ 2-3 ครั้ง
- จบด้วยความคิดสร้างสรรค์ สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ อีก 5 ครั้ง สงบนิ่งสักครู่แล้วค่อย ๆ ลืมตา
- สร้างงานขึ้นมา ตอนนี้ให้จดบันทึกสิ่งที่สร้างในจินตนาการไว้
บางคนอาจรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ยากกว่าคนอื่น นั่นเป็นเรื่องปกติ ให้เวลาฝึกฝนเทคนิคนี้นานที่สุด แต่เมื่อทำได้แล้ว จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมืออันอัจฉริยะในอาชีพการงานและชีวิต
การตัดสินใจและการแก้ปัญหา วิธีการสร้างจินตภาพที่จะช่วยให้ตัดสินใจได้ ในเรื่องของการตัดสินใจนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่แน่นอนว่ามีสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถทำเพื่อช่วยในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ
ในการสร้างจินตภาพนี้ให้นึกภาพว่าเลือกทางเลือก A จากนั้นให้สำรวจว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อเลือกเส้นทางเลือกนั้นจะทำงานที่ไหน จะอยู่กับใคร กิจวัตรประจำวันจะเป็นอย่างไร ขอให้ตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของร่างกายตัวเองอย่างชัดเจน รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เรื่องนี้สำคัญเพราะร่างกายจะตึงเครียดหรือปิดการตอบรับ เมื่อรู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับบางสิ่ง
จากนั้นให้ลองเลือกทางเลือก B และให้ใช้กระบวนการแบบเดียวกัน สิ่งนี้ช่วยให้ได้สำรวจตัวเลือกทั้งสองในแบบที่ต่างออกไป แทนที่จะเขียนรายการข้อดีและข้อเสีย จะได้นำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในความเป็นจริงนั้น ครั้งต่อไปที่ต้องตัดสินใจ ลองซักซ้อมแต่ละทางเลือกในความคิด ดื่มด่ำไปกับภาพที่บ่งบอกว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ถ้าเลือกทางใดทางหนึ่ง ควรต้องตระหนักรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกายและความคิดที่ผุดขึ้นในใจด้วย เพราะนี่จะเป็นสัญญาณหรือข้อมูลที่ความรับฟัง
การสร้างไอเดียใหม่ ๆ และความคิดสร้างสรรค์ ทุกวันนี้บริษัททั้งหลายถูกกดดันให้ต้องคิดค้นสิ่งใหม่ที่ดีที่สุด หรือสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับโลกนี้มากยิ่งกว่าสมัยใด แต่ถ้ายังคงคิดแบบเดิมก็จะได้แต่ผลลัพธ์แบบเดิม จิตใจเป็นเครื่องมืออันน่าอัศจรรย์ ในการคิดค้นแนวคิดหรือไอเดียใหม่ ๆ และคิดแบบสร้างสรรค์ จะทำได้โดยให้นั่งลงแล้วหลับตา จากนั้นเริ่มการสร้างมโนภาพด้วยการคิดว่ากำลังยืนอยู่ในร้านที่ว่างเปล่า มีผนังสีขาว พื้นที่ว่างมากมาย และไม่มีอะไรในนั้นเลย จากนั้นให้ออกแบบร้านค้าปลีกนั้น นึกภาพว่าสินค้าที่ขายอยู่มีหน้าตาอย่างไร จัดงานอีเวนต์ที่มีเอกลักษณ์ มองดูผู้คนกำลังเดินอยู่ในร้าน เสียงของสิ่งต่าง ๆ และเสียงดนตรีทุกอย่างเลย ลองใช้กระบวนการเดียวกันนี้กับชีวิตและการงานได้ เป็นการสร้างจินตนาการเพื่อสร้างสรรค์ไอเดียที่แปลกใหม่ขึ้นมา
ผลที่เกิดขึ้นทันทีจากการสร้างจินตภาพเชิงสำรวจตรวจตรา มีความหลากหลายอย่างยิ่ง สำหรับบางคนอาจรู้สึกเหมือนได้ดาวน์โหลดไอเดียมากมาย กับบางคนอาจรู้สึกตื่นเต้น และมองปัญหาได้อย่างกระจ่างขึ้น แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกสับสนมากขึ้น เทคนิคนี้มีความหมายอย่างมากกับครีเอทีฟ คนที่คิดเป็นภาพ และนวัตกร เมื่อนำมันมาใช้จะเห็นความแตกต่างอย่างมาก ยิ่งใช้เทคนิคนี้บ่อยก็จะยิ่งชำนาญขึ้น เนื่องจากมันมีการชี้นำน้อย จิตใจจึงชอบที่จะทำสิ่งที่มันต้องการ ดังนั้น จึงต้องมีสมาธิจดจ่อจริง ๆ แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่า จะจดจ่อกับเรื่องอะไร จะมีภาพและไอเดียต่าง ๆ มากมายปรากฏขึ้นมา ในระยะยาวการสร้างจินตภาพเชิงสำรวจตรวจตรา จะช่วยให้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากส่วนของสมองที่คนอีกมากไม่มีวันเข้าถึงได้
ส่วนที่ 3 การลงมือปฏิบัติไขว่คว้าความเป็นเลิศ
ที่ผ่านมาได้เรียนรู้ทฤษฎีเบื้องหลังการสร้างจินตภาพ และมีโอกาสได้ทำความรู้จักเทคนิคต่าง ๆ ที่นำไปปฏิบัติได้จริงและปรับใช้ได้ เนื้อหาส่วนนี้จะมอบเครื่องมือให้ ซึ่งไม่ใช่สำหรับเพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่โลกแห่งการสร้างจินตภาพเท่านั้น แต่ยังทำให้มันกลายเป็นแนวปฏิบัติประจำวัน ที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการคิด รู้สึก และลงมือทำ การสร้างจินตภาพครั้งเดียวอาจให้ประโยชน์ระยะสั้น แต่ความแข็งแรงทางจิตใจที่แท้จริง มาจากการฝึกฝนประจำวันอย่างสม่ำเสมอและความมีวินัย
บทที่ 13 สร้างกิจวัตร
การสร้างกิจวัตรการฝึกสร้างจินตภาพที่สม่ำเสมอและเป็นประจำคือ กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันได้เต็มที่ จำเป็นจะต้องกำหนดกิจวัตรการฝึกที่ได้ผล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ประเด็นสำคัญไม่ใช่การสร้างกิจวัตรการฝึกที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องเป็นการฝึกที่ทำได้ในระยะยาว มาค้นหาช่วงเวลาที่ดีที่สุดกัน
เมื่อใด ไม่มีกฎที่เคร่งครัดว่าควรฝึกการสร้างจินตภาพเมื่อใด แต่บางเวลาก็อาจมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากลักษณะการทำงานของสมอง ให้ข้อแนะนำกว้าง ๆ ดังนี้
- การสร้างจินตภาพเชิงเน้นผลลัพธ์ ทำตอนเช้าหรือก่อนนอน
- การสร้างจินตภาพเชิงเน้นกระบวนการ ทำตอนเช้าก่อนการทำงาน การแสดง หรือก่อนนอน
- การสร้างจินตภาพเชิงสร้างสรรค์ ทำเวลาใดก็ได้
- การสร้างจินตภาพเชิงลบ ทำเวลาใดก็ได้
- การสร้างจินตภาพเชิงสำรวจตรวจตรา ทำเวลาใดก็ได้
ตอนเช้าคลื่นสมองจะเคลื่อนจากทีตาไปสู่แอลฟา นี่เป็นเวลาที่จิตใจเปิดรับคำแนะนำได้ดีที่สุด ซึ่งหมายความว่ามันสามารถซึมซับความคิด อารมณ์ และเป้าหมายใหม่ ๆ ได้ โดยไม่เสียสมาธิไปกับเสียงรบกวนในชีวิตประจำวัน
บางคนชอบสร้างจินตภาพในช่วงก่อนนอน และมีเหตุผลที่ดีในการทำเช่นนั้น เมื่อจดจ่อมุ่งมั่นอยู่ที่เป้าหมาย หรือผลงานในช่วงก่อนที่จะหลับ สมองจะยังคงวางระบบใหม่ในขณะที่หลับโดยหลัก ๆ แล้วความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของสมอง หรือความสามารถในการจัดระเบียบตัวมันเองใหม่ จะเกิดขึ้นในช่วงที่หลับอยู่ การสร้างจินตภาพอย่างตั้งใจและกระตือรือร้นเป็นเวลา 2-3 นาที ก็ยังช่วยฝึกฝนจิตใจและให้ประโยชน์ บันทึกเสียงนำทางสำหรับสร้างจินตภาพ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในกรณีที่รู้สึกว่าบังคับตัวเองให้อยู่ในสภาวะอื่นได้ยาก ในระหว่างการสร้างจินตภาพ
ที่ไหน ควรฝึกฝนการสร้างจินตภาพในพื้นที่ที่เงียบสงบปราศจากสิ่งรบกวน มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเสียสมาธิ โดยเฉพาะในช่วงที่เพิ่งเริ่มฝึก แต่ความงามของการสร้างจินตภาพ อยู่ที่การปรับเปลี่ยนได้หลากหลายคือจะทำที่ไหนก็ได้
นานแค่ไหน เมื่อเพิ่งเริ่มฝึกขอให้ยึดการสร้างจินตภาพ 2 แบบ แล้วฝึกเป็นระยะเวลา 7-12 นาที อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เหนือสิ่งอื่นใดกุญแจสำคัญคือ การทำซ้ำ การฝึกฝน 2 นาทีต่อวันได้ประโยชน์มากกว่าการฝึกฝน 1 ชั่วโมงต่อ 1 สัปดาห์ ขอให้คิดถึงเรื่องนี้ในแง่ความแข็งแรงทางกายภาพ การออกไปวิ่ง 1 ครั้งทำให้รู้สึกดี แต่ความสม่ำเสมอคือสิ่งที่สร้างความอดทนและทำให้แข็งแรงขึ้น หลักการเดียวกันสามารถนำมาใช้ในที่นี้ การฝึกซ้ำ ๆ อย่างสม่ำเสมอ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่คงทนยาวนาน
ออกแบบการสร้างจินตภาพให้เหมาะกับตัวเอง แม้หลักการของการสร้างจินตภาพจะยังคงเหมือนเดิม แต่การฝึกปฏิบัติเป็นสิทธิที่จะปรับเปลี่ยนได้ การปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลมันจำเป็น จงทำการปรับเปลี่ยนถ้าจำเป็น และให้กิจวัตรการฝึกพัฒนาควบคู่ไปกับเป้าหมาย
สร้างนิสัยการฝึกสร้างจินตภาพ การสร้างนิสัยฝึกการสร้างจินตภาพอาจเป็นสิ่งที่ดูเกินจะรับไหวในตอนแรก เพราะมีคำแนะนำว่าจะต้องทำอะไร เมื่อใด และอย่างไรอยู่ในเรื่องนี้อยู่มากมาย ซึ่งบ่อยครั้งก็ขัดแย้งกันเอง แต่กระบวนการนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ขอให้แตกมันออกมาเป็นขั้นตอนง่าย ๆ โดยแก่นแท้แล้วนิสัยคือการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำจนกลายเป็นนิสัยติดตัว
ขั้นแรกคือต้องเชื่อมโยงกับเหตุผลว่าทำไมของตัวเอง เช่น ทำไมถึงอยากสร้างจินตภาพเพื่อบรรลุความฝัน เพื่อฝึกความแข็งแรงทางใจ หรือเพื่อจะได้เป็นตัวตนในแบบที่ดีที่สุด
ขั้นต่อไปคือลงมือทำ แต่อย่ากระตือรือร้นให้มากเกินไปจะดีกว่า เริ่มต้นฝึกครั้งละ 2-3 นาที จากนั้นค่อยเพิ่มขึ้นมา เมื่อเวลาผ่านไปนิสัยเล็ก ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ความยาวหรือขนาดของนิสัยนั้นจะเพิ่มขึ้นในที่สุด อาจจะสร้างจินตภาพ 10 นาทีได้โดยไม่รู้สึกว่าต้องพยายามมากเป็นพิเศษ เพราะนิสัยเริ่มแรกได้รับการวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงแล้ว
บทที่ 14 ตกหลุมรักความมีวินัย
วินัยที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เคยมี ประสบการณ์ในโรงเรียนซึ่งมักจะมีคนคอยบอกว่าต้องทำอะไร ถ้าไม่ทำก็จะถูกลงโทษ วินัยที่แท้จริงคือการทำให้ความตั้งใจ การกระทำ และการลงมือดำเนินการมีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่การคิด การทำ และการเป็นวินัยไม่ใช่การจำกัดตัวเอง แต่เป็นการให้อิสรภาพกับตัวเอง ในการทำสิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริง ตามกฎหลัก 7 ข้อในการรักษาวินัยในชีวิตและอาชีพการงาน มีดังต่อไปนี้
กฎข้อที่ 1 ทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว คำถามแรกที่ต้องถามตัวเองคือทำไม ทำไมถึงต้องพยายามมีวินัย ทำไมถึงต้องพยายามรักษานิสัยบางอย่างเอาไว้ ทำสิ่งนี้เพื่อใคร การทำให้เป็นเรื่องส่วนตัวจะผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งเพื่อตัวเอง อยากรู้สึกดีขึ้นไหม อยากไปสูงขึ้นอีกระดับหนึ่งไหม อยากก้าวหน้าในอาชีพการงานไหม วินัยเป็นเรื่องส่วนตัว
กฎข้อที่ 2 ต่อต้านทางลัด ทางลัดทั้งหลายกำลังทำลายวินัยของมนุษย์ ทุกคนอยากได้วิธีแก้ปัญหาแบบได้ผลทันที และเรื่องเศร้าก็คือคนจำนวนมากหลงเชื่อในสิ่งเหล่านี้ แม้ว่ามันจะดูยั่วยวนและดึงดูดใจ แต่ไม่มีฤทธิ์ที่พาขึ้นไปถึงความสำเร็จได้ทันที การสร้างจินตภาพไม่ใช่สูตรสำเร็จของการฝึกฝนจิตใจ และจะไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตภายในชั่วข้ามคืน แต่เมื่อทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนกับความแข็งแรงทางร่างกายหรือการเดิน มันจะนำผลลัพธ์ที่ดีอย่างเหลือเชื่อมาให้แน่นอน
กฎข้อที่ 3 ทำเพื่อตัวเองในทุก ๆ วัน หนึ่งในหนทางที่ทำให้สูญเสียวินัยได้เร็วที่สุดคือ การให้สิ่งอื่นหรือคนอื่นมาก่อนตัวเอง มันเป็นหนทางสู่หายนะ วิธีแก้ปัญหานั้นเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง นั่นคือจะต้องไม่ต่อรองเรื่องการให้ความสำคัญกับตัวเองทุกวัน การให้ความสำคัญกับตัวเองนั้นไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ก็สามารถสร้างแรงผลักดันให้ได้ผลลัพธ์ อาจไม่เกิดขึ้นทันทีแต่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น เริ่มตั้งแต่วันนี้เลย ฝึกให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนสิ่งอื่นแม้เพียงแค่นาทีเดียวก็ตาม ชั่วขณะเล็ก ๆ เหล่านั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยืนยาวได้
กฎข้อที่ 4 เรียนรู้ที่จะรักและทุ่มเทให้กับกระบวนการ บ่อยครั้งมักจะมองไม่เห็นความก้าวหน้าในชั่วขณะปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่แค่การไปถึงเส้นชัย แต่อยู่ในทุกก้าวย่างที่พาไปสู่จุดนั้น ประเด็นก็คือกระบวนการนี้อาจยุ่งเหยิง น่าเบื่อ และเหน็ดเหนื่อย แต่ตรงจุดนี้เองที่เวทมนต์จะเกิดขึ้น ไม่ว่ากำลังรู้สึกดีหรือแย่ก็ตาม ขอให้ยึดมั่นกับกระบวนการ กฎข้อนี้ยากจะปฏิบัติตามเมื่อมองไม่เห็นผลลัพธ์ แต่นั่นแหละคือตอนที่กฎข้อนี้มีความสำคัญที่สุด
กฎข้อที่ 5 เตรียมตัวให้พร้อม สิ่งรบกวนสมาธิมีอยู่ทุกที่ การรักษาวินัยจึงดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยากลำบาก การเตรียมตัวคืออาวุธลับ มันเป็นข้อได้เปรียบที่สามารถควบคุมได้ท่ามกลางโลกที่วุ่นวายนี้ การเตรียมตัวหมายถึงการสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองประสบความสำเร็จ โดยการสร้างการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม และปรับกรอบความคิดให้พร้อม การเตรียมตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยลดอุปสรรค และเพิ่มโอกาสให้ไปถึงเป้าหมายได้มากขึ้น จงแยกตัวเองออกจากสิ่งรบกวนสมาธิ ก่อนที่มันจะแยกออกจากเป้าหมายของตัวเอง
กฎข้อที่ 6 เริ่มต้นหนึ่งอย่างแล้วทำให้ดี คนเราไม่ได้กลายเป็นคนมีวินัยในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้ความพยายามและก้าวหน้าอย่างตั้งใจ สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นด้วยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะได้แสดงให้ตัวเองเห็นว่ามีทักษะนั้น ควรเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากจนตัวเองไม่สามารถปฏิเสธได้ การทำเช่นนี้จะมีประโยชน์เมื่อสร้างนิสัยใหม่ หรือทำกิจกรรมใหม่ ๆ เมื่อบางสิ่งเป็นเรื่องใหม่ การมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นอาจยากยิ่งกว่าเดิม ให้สร้างรากฐานและสมรรถภาพแห่งความมีวินัยก่อน
กฎข้อที่ 7 ให้รางวัลตัวเอง การฝึกวินัยไม่ควรถูกมองว่าเป็นการลงโทษแบบหนึ่ง แม้บางครั้งจะรู้สึกเช่นนั้นก็ตาม การให้รางวัลตัวเองจะเป็นการเสริมแรงเชิงบวก เพราะสมองกำลังสร้างการเชื่อมโยงเชิงบวกกับนิสัยที่พยายามปลูกฝัง ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่หรือครั้งเล็กฉลองให้หมดเลย
ความก้าวหน้ายิ่งใหญ่กว่าความสมบูรณ์แบบ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการสร้างจินตภาพที่สมบูรณ์แบบ หรือความแข็งแรงทางจิตใจที่สมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าคนคนหนึ่งสามารถมีเทคนิคและรูปแบบที่ดีกว่าได้ แต่การทำได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอยู่จริง เมื่อเป็นเรื่องของการฝึกฝนจิตใจ และการประสานความแข็งแรงทางจิตใจเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ควรเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดเรื่องความสมบูรณ์แบบให้เป็นความก้าวหน้าแทน ความก้าวหน้ามีหน้าตาแตกต่างกันไปในแต่ละคน ทั้งนี้เป็นเพราะเป้าหมายแตกต่างกัน จิตใจแตกต่างกัน ตัวตนก็แตกต่างกัน และมีแนวโน้มสูงที่เวลาและเงินที่ลงทุนให้กับเรื่องนี้ก็แตกต่างกัน ตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าจึงแตกต่างกันไปมากมาย ซึ่งรวมถึงความก้าวหน้าทางจิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในวิธีที่คิดและรู้สึกได้ใน 2 สัปดาห์ จากนั้นจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในการทำผลงาน กรอบความคิด และการบริหารอารมณ์ได้อย่างยั่งยืนภายในประมาณ 4 สัปดาห์ จากนั้นประมาณ 8-12 สัปดาห์ขึ้นไป หนทางใหม่ในการคิด รู้สึก และทำผลงานจะกลายเป็นเหมือนนิสัยติดตัว
ถ้อยคำส่งท้าย
ถ้าอยากตั้งคำถามกับทุกสิ่ง ขอให้ตั้งคำถามกับข้อจำกัดของตัวเอง ไม่ใช่ศักยภาพ การเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่การให้ความสำคัญกับตัวเอง และฝึกฝนการสร้างจินตภาพ ทำให้ได้เริ่มต้นสร้างตัวตนรูปแบบที่ดีที่สุดแล้ว มันง่ายที่จะมองดูคนที่เป็นผู้ชนะ แล้วสันนิษฐานว่าพวกเขามีสิ่งพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดนักกีฬา นักแสดงระดับโลก หรือแม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จสูงรอบตัว สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างคือ ทักษะ หรือกล่าวโดยเจาะจงคือทักษะทางจิตใจ และความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนทักษะนี้
ความเชื่อมั่นในตัวเองมันคือทักษะอย่างหนึ่ง การสงบได้แม้อยู่ใต้แรงกดดันล้วนเป็นทักษะทั้งนั้น การฟื้นคืนกำลังใจ มีเมตตา สร้างสรรค์ หรือจดจ่อมุ่งมั่นทั้งหมดคือทักษะ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ฝึกฝนได้ จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันสามารถวางระบบตัวเองใหม่ หากได้ฝึกฝนอย่างถูกต้องและพากเพียรอดทนตามหลักการสร้างจินตภาพ ขณะที่ก้าวไปข้างหน้า โปรดจำไว้ว่าความแข็งแรงทางจิตใจเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดชีวิต งานนี้ไม่มีเส้นชัย มันเป็นกระบวนการขัดเกลา ทดลอง และสัมผัสประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง
คนเราอยู่ในโลกที่ล่อลวงด้วยสูตรสำเร็จง่าย ๆ เช่น ยา การไปเข้าคอร์ส อุปกรณ์ที่ทรงอิทธิพลต่อสมองแบบใหม่ โดยคาดหวังให้มันเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน แต่สิ่งที่เป็นพื้นฐานล่ะ พื้นฐานคือสิ่งที่ได้ผลจริง มันได้ผลตลอดมาและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป นี่คือเหตุผลที่หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นในเรื่องพื้นฐาน ดังนั้น แทนที่จะให้การสร้างจินตภาพเป็นเทคนิคที่มีแต่สุดยอดนักกีฬาและ CEO ระดับแนวหน้าเท่านั้นที่ใช้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่ และกลายเป็นผู้ชนะในแบบของตนเอง ปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่ต้องเผชิญในโลกปัจจุบันคือ ให้ความสำคัญกับชีวิตของผู้อื่นมากกว่าชีวิตของตัวเอง ขอให้เริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นและสิ่งที่มีจิตใจ เหมือนกับลูกสุนัข ถ้าไม่ฝึกมัน มันก็จะอึไปทั่ว แต่ถ้าใช้เวลาชี้นำ เลี้ยงดู และสั่งสอน มันจะเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทั้งภักดี ทรงพลัง และสามารถช่วยให้ประสบความสำเร็จในสิ่งใดก็ได้.