สรุปหนังสือ เงินเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน
คำนำ
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของคนที่ฉลาดเรื่องอื่น แต่กลับโง่เรื่องเงินทองจนพาตัวเองเข้าสู่จุดวิกฤตของชีวิต แล้วค่อย ๆ เรียนรู้หลักการอ่านออกเขียนได้ทางการเงิน จนกลายมาเป็นวิทยากรและนักเขียนด้านการเงินเต็มตัวในทุกวันนี้ ความฝันสูงสุดของผู้เขียนคือนำความฉลาดทางการเงินไปสอนในโรงเรียนประถมและมัธยมทั่วประเทศ บรรจุเป็นหลักสูตรเสริมวิชาทักษะชีวิตในทุกชั้นเรียน เพื่อสร้างเด็กรุ่นใหม่ของชาติให้มีความฉลาดในการบริหารเงินตัวเอง จนไปสู่การสร้างความมั่งคั่งยั่งยืนให้กับประเทศชาติได้ในที่สุด
สำหรับหลายคนที่เคยชินกับการอ่านหนังสือการเงิน ที่แปลจากตำรากูรูการเงินทั้งหลายของเมืองนอก หรืออ่านหนังสือไทยที่ผู้เชี่ยวชาญการเงินจากตลาดหุ้น นักเศรษฐศาสตร์ และนักการเงินระดับเทพเป็นผู้เขียน อาจจะรู้สึกว่าทำไมจะต้องมาอ่านหนังสือเล่มนี้ ที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยล้มเหลวทางการเงินอย่างแสนสาหัสมาแล้ว คนที่เคยล้มเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่ล้มอย่างลึกซึ้งว่ารู้สึกอย่างไร ผู้เขียนใช้การเขียนเป็นภาษาจับเข่าคุยแบบใจถึงใจ และไม่ใช่ภาษาวิชาหุ้น การเงิน การธนาคาร หรือเศรษฐศาสตร์มหภาคแต่ประการใด เพื่อให้หนังสือเงินเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอนเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า เพื่อทุกท่านที่ได้อ่านอย่างเต็มที่จริง ๆ
ภาคที่ 1 นิสัยการเงินเริ่มต้นที่จิตใต้สำนึก
บทที่ 1 ทำไมทุกคนต้องเรียนรู้หลักบริหารเงินของตัวเอง
ครอบครัวและโรงเรียนเตรียมพร้อมให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องเงินน้อยมาก ๆ บางครอบครัวไม่เคยเตรียมตัวให้ลูก ๆ เลย แถมหลายครอบครัวยังขยันสร้างแต่แบบอย่างการหาเงินที่ย่ำแย่เลวร้ายไปให้ลูกจำฝังใจด้วยซ้ำ พวกเรามากมายในโลกใบนี้จึงกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเรื่องการเงินของตัวเอง
วิธีบริหารเงินให้อยู่หมัด ตามวิธีการเรียบง่ายแต่ได้ผลมาก เริ่มตั้งแต่
- จัดการกับรายได้ รายจ่าย เงินเก็บ ก่อนถึงขั้นต่อไปคือการทำเงินให้งอกเงย
- รู้จักทำบันทึกการเงินว่ามันคืออะไร สำคัญสุดยอดแค่ไหน
- รู้จักนิสัยการเงินของตัวเองว่าดีแล้วหรือเข้าขั้นหายนะหรือไม่
- สัญญาณบอกเหตุของการเป็นนักจ่ายมือเติบ และวิธีแก้ไขก่อนสายเกินการ
- รู้ว่าเงินกับจิตใต้สำนึกคือเรื่องเดียวกัน การรู้ต้นตอปัญหาจิตใต้สำนึกในอดีต ทำให้รู้ต้นตอปัญหาทางการเงินในวันนี้
บทที่ 2 เงินกับอารมณ์คือเรื่องเดียวกัน
คนทุกคนควรได้รับรู้ความรู้เรื่องการบริหารเงิน และต้องฝึกฝนการจัดการกับเงินส่วนตัวของตัวเองให้เป็น คนบนโลกเรามากมายยังไม่รู้เลยว่าเงินกับจิตได้สำนึกคือเรื่องเดียวกัน จึงเป็นปัจจัยก่อให้เกิดกันและกันอย่างแยกไม่ออก ปัญหาการเงินที่เผชิญอยู่ทุกวันนี้มาจากจิตใต้สำนึกที่ฝังรากลึก ดังนั้น การแก้ปัญหาทางการเงินทุกเรื่อง ต้องเริ่มต้นที่การแก้จากจิตใต้สำนึกก่อนเป็นอันดับแรกถึงจะได้ผล
ทำไมอารมณ์ด้านลบถึงปิดกั้นจากการมีเงิน
เมื่อความโกรธหรืออารมณ์ด้านลบอื่น ๆ ผุดขึ้นมา มันส่งผลให้กระทำเรื่องที่ปกติไม่คิดจะทำ เช่น เอาเงินไปซื้อของที่ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเลย หรือแทนที่จะกำเงินไปจ่ายค่าไฟฟ้ากลับโกรธหัวเสียที่เจอใบแจ้งหนี้ เลยเอาเงินก้อนนั้นไปซื้อรองเท้า ความรู้สึกผิด อาย กลัว เครียด และโกรธตัดขาดออกจากเงินทองเรียกว่าอารมณ์ด้านลบกำลังต่อต้านเงิน
บทที่ 3 ล้างความเชื่อผิด ๆ เรื่องเงิน (1)
วิธีที่จะแก้ปัญหาการเงินได้นั้น ไม่ใช่อยู่ที่การหาเงินให้มากขึ้นเหมือนที่เคยเชื่อ เพราะมันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ยังไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาคือต้นตอจิตใต้สำนึกด้อยค่า ซึ่งเป็นตัวปิดกั้นเงินทองเข้ามาหรือกำจัดเงินออกไปจากชีวิต ถ้าจิตใต้สำนึกไม่ตระหนักในคุณค่าตัวเอง ไม่ตระหนักในคุณค่าของเงิน ถึงจะหาเงินได้มากขึ้นมันก็ต้องมีการใช้ออกไป ทำให้เหลือเงินจำนวนน้อยนิดเท่าเดิมอยู่ดี ทางแก้ไขปัญหาการเงินที่แท้จริงอยู่ที่การยกระดับจิตให้เชื่อว่า ตัวเองมีค่ามากกว่านี้เรียกว่าแก้ที่ต้นตอ
สาเหตุของทัศนคติฝังราก มักปลูกฝังในใจมาตั้งแต่เด็กได้แก่
- จากการได้ยินครอบครัวพูดกันจนฝังใจ
- จากที่พ่อแม่บอก
- จากที่สังคมยอมรับต่อ ๆ กันมา
ไม่ว่าจะได้รับทัศนคติฝังรากจากแหล่งไหนมันก็ไม่ใช่ความจริง แต่ไปยอมรับมันแล้วว่าจริง ทำให้มันมีอิทธิพลเหนือกว่ากลายเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตทางการเงิน ทัศนคติฝั่งรากลึกเกี่ยวกับเงินมีผลต่อสภาวะการเงินในปัจจุบัน
10 ทัศนคติผิด ๆ เกี่ยวกับเงิน ที่ต้องได้รับการแก้ไข
- เงินทองเป็นของหายาก จิตภายในที่เชื่อในความฝืดเคืองก็เลยสร้างสภาวะฝืดเคืองให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตตรงตามความเชื่อข้างใน ทางแก้ไขให้เชื่อตามหลักการธรรมชาติที่แท้จริงของจักรวาลคือ ความอุดมสมบูรณ์มีอยู่ทุกที่ทุกโอกาส แต่มองไม่เห็นความเหลือเฟือนั้นเอง
- เงินทองเป็นต้นตอของความชั่วร้าย หรืออย่าพูดเรื่องเงินเดี๋ยวดูเป็นคนไม่ดี เนื่องจากโยงคำว่าเงินเข้ากับคำว่าไม่ดี คนพูดเรื่องเงินเป็นคนไม่ดี ก็เลยทำให้กลายเป็นคนทำงานฟรีไปเลย คนที่ทำตัวจนต่างจากคนสมถะ คนสมถะมักมีความสุข พอใจกับสิ่งที่ตัวเขามี เขาร่ำรวยตามมาตรฐานของเขา แต่คนที่ทำตัวจน มักเป็นเพราะปมด้อยกลัวไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลยเหวี่ยงกลับไปอีกทางด้วยการกดตัวเองต่ำ แล้วหลอกตัวเองว่าเป็นคนดีมีความสุขแล้วกับการจน ตามหลักการทำงานของจิตใต้สำนึกแล้ว เมื่อเกลียดสิ่งใดจะผลักสิ่งนั้นออกจากตัวโดยอัตโนมัติ ทางแก้ไข
- เงินมีค่าเป็นกลาง ทัศนคตินี้บอกว่าตัวเงินเองไม่ได้ชั่วร้ายและไม่ได้ประเสริฐ
- การพูดเรื่องเงินตั้งแต่แรกเป็นการแสดงความรับผิดชอบและบอกความจริงใจ
บทที่ 4 ล้างความเชื่อผิด ๆ เรื่องเงิน (2)
- เราต้องทำงานหนักเพื่อเงิน การย้ำว่าคนเราต้องทำงานเพื่อแลกเงินเป็นการฝังทัศนคติที่ผิดพลาดลงไปในจิตใจ ดังนี้
- คนเราทำงานเพื่อเงินไม่ใช่เพื่อความสนุก เขาจะเลือกงานที่ทำเงินเท่านั้น โดยไม่สนใจคุณค่าของงาน
- การทำงานเป็นเรื่องน่าเหนื่อย เนื่องจากทำงานเพื่อแลกเงินเท่ากับไม่มีความปิติสุขอยู่ในงานเลย
- ปลูกฝังทัศนคติคนเป็นทาสเงินไม่ใช่นายเงิน ทำงานเพื่อแลกเงินอย่างเดียวความคิดสร้างสรรค์มันจะไม่เกิด จะตกเป็นทาสวงจรทำงานเพื่อเงิน คิดแบบลูกจ้างตลอดชาติ
ทางแก้ไขเปลี่ยนคำสอนเสียใหม่จากทำงานเพื่อแลกเงินเป็นทำงานเพื่อสร้างคุณค่าในตนเอง เงินเป็นค่าตอบแทนสติปัญญา ความสามารถ และความทุ่มเทซึ่งเป็นทัศนคติของผู้มั่งคั่ง
- เงินคือพระเจ้า ข้อนี้ตรงข้ามกับทัศนคติเงินเป็นสิ่งไม่ดีโดยสิ้นเชิง คนที่เห็นเงินเป็นความเลวร้ายจะกำจัดเงินออกจากชีวิตทุกครั้งเท่าที่เป็นไปได้โดยไม่รู้ตัว ส่วนคนประเภทเงินคือทุกอย่างในชีวิตก็จะวัดค่าของคนตามเงินที่เขามี ที่ไหนในโลกบูชาเงินที่นั่นมักมีการติดสินบนสูงมาก มันหาทางแสดงออกผ่านธรรมเนียมการให้ทิป พนักงานบริการตั้งหน้ารอแต่ทิปหนัก ๆ จากแขก จนลืมว่ามันคือหน้าที่ตัวเองต้องทำแท้ ๆ คนที่ทำงานเพื่อเกียรติเป็นคนมีคุณค่า เงินอาจทำให้สบายได้ แต่เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต คิดได้อย่างนี้คืออิสรภาพทางการเงินขนานแท้
การแก้ไขเงินจริง ๆ มีค่าเป็นกลางอยู่ที่ตัวของคนใช้เงินที่คิด จะคิดว่าเขาเป็นอะไรบวกหรือลบดี หรือเลวทำตัวเองให้เป็นทาสเงิน หรือนายเงินอยู่ที่ตัวเองเท่านั้น
- เงินเป็นเรื่องยุ่งยาก เด็ก ๆ ที่โตมากับการเห็นพ่อแม่คร่ำเครียดอยู่กับบัญชีค่าใช้จ่ายภายในบ้านตลอดเวลา หรือพ่อแม่ที่มีปัญหาการเงิน เขาจะโตขึ้นมาเป็นโรคคิดเรื่องเงินแล้วปวดหัว จนพัฒนาเป็นอาการทางจิต ทำให้ปฏิเสธการดูแลจัดการผลประโยชน์ด้วยตัวเอง แล้วยกบัญชีให้คนอื่นจัดการทั้งหมด
ทางแก้ไขขอแค่มีครูดีและเปิดใจเรียนรู้เท่านั้น การจัดการหนี้ การสร้างสเตตเมนต์ การทำแผนการเงินแบบง่าย รายได้ รายจ่าย เงินเก็บ เป็นต้น
- คนรวยเพราะทำบุญมาดีมีวาสนา การคิดฝังหัวแบบใคร ๆ นี้เป็นการตอกย้ำความเชื่อว่าตัวเองต่ำต้อย ไม่มีค่า เชื่อแล้วว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอจะไต่เต้าให้ถึงดวงดาวได้เหมือนเศรษฐีเหล่านั้น แต่ที่ขลาดเกินกว่าจะกล้ายอมรับว่าไม่เก่ง ไม่พยายาม กลับโยนไปที่กฎแห่งกรรมว่าเพราะเขาทำบุญมาดี
ทางแก้ไขในโลกนี้ถ้ามีคนรวยเป็นพันล้านได้ แสดงว่ามันต้องเป็นไปได้ ขอให้เรียนรู้วิธีการของเขา ใช้จิตใจแบบเขา และทุ่มเทให้มากอย่างเขา ความสำเร็จก็จะเป็นของเราแน่นอน
- เรียนให้เก่ง ๆ ได้เกรดสูง ๆ จะได้งานดี ๆ มีเงินเยอะ ถ้ามันจริงตามนั้นคงไม่มีนักแต่งเพลงระดับโลกที่ไม่จบมัธยม แต่แต่งเพลงได้ไพเราะดังไปทั่วโลก ทำให้เขาได้ค่าลิขสิทธิ์จนรวยมหาศาลตลอดชีวิต ทางแก้ไขศึกษาคนที่เป็นเศรษฐีระดับสูงขึ้น ๆ ไปมักรวยจากสติปัญญาสร้างสรรค์ของตัวเองทั้งนั้น การเรียนเก่งและเรียนสูงไม่ใช่การการันตีว่าจะได้เงินเยอะ มันคนละเรื่องกัน รายได้ที่เยอะมาจากจิตใต้สำนึกที่เชื่อว่ามีความสามารถพอกับเงินจำนวนนั้น ๆ ต่างหาก
ทัศนคติด้านลบเป็นข้าราชการจะได้มั่นคง ไม่อดตาย มีคนนับล้านที่คอยแต่จะให้คนอื่นช่วยเหลือเรื่องเงินหรือค่ารักษาพยาบาล พวกเขาเอาแต่พึ่งญาติ ๆ หรือรอแต่รัฐบาลดูแล เช่น รอเงินบำนาญ หรือสวัสดิการค่ารักษาฟรี การสอนลูกหลานแบบนี้เกิดจากความกลัวของคนเป็นพ่อแม่คือกลัวจน กลัวอดตาย เพราะไม่มีใครเลี้ยงยามแก่เฒ่า
ทางแก้ไข
- อะไรคือความมั่นคงที่แท้จริง เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องพึ่งปัจจัยอื่น คนอื่น นอกเหนือจากตัวเราล้วนไม่มั่นคงทั้งนั้น เพราะอำนาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับมือเรา ความมั่นคงที่แท้จริงมาจากข้างใน
- ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ ความสามารถในตัวล้นหลามแต่ไม่ได้แสดงออกมาเลย เพราะมัวยึดติดอยู่กับความมั่นคง
- ถ้ามีเงินมากขึ้นปัญหาทุกอย่างจะหมดไป ปัญหาที่กำลังเจออยู่นี้ถ้าได้เงินมาเพิ่มมากแค่ไหนก็แก้ไม่ได้อยู่ดีเพราะ
- ถึงมีเงินแต่ไม่มีความรู้เรื่องบริหารมันไม่นานเงินก็เกลี้ยง
- ถ้าพฤติกรรมคือมักใช้เงินหมดทุกบาทที่หาได้ การได้รายได้เพิ่มก็จะจบลงที่มีเรื่องต้องจ่ายเพิ่มตามกัน
ทางแก้ไขก่อนจะแก้ปัญหาด้วยการหารายได้เพิ่ม ควรเรียนรู้นิสัยบริหารเงินก่อนดีกว่า
- ได้เงินมาแล้วต้องให้รางวัลตัวเอง คนเราชอบตีความคำว่ารางวัลชีวิตเท่ากับของหรู เช่น ให้รางวัลด้วยการไปเที่ยวที่แพง ๆ สุดหรู หรือกินอาหารหรู หรือซื้อของหรูทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จ จนท้ายสุดเงินที่ได้มาไม่เหลือเก็บ เลยต้องเครียดกับการหาเงินมาชดเชยอีก
ทางแก้ไขเปลี่ยนพฤติกรรมให้รางวัลตัวเองด้วยสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต แทนการให้รางวัลตัวเองด้วยสิ่งที่เติมเต็มความหมายให้ชีวิต มีประโยชน์สูง และเพิ่มคุณค่าจนกลายเป็นความสุขกว่าอย่างถาวร
- เงินทองเป็นหน้าที่ของผู้ชาย
ทัศนคติทั้งหมดนี้ล้วนเป็นทัศนคติฝังใจด้านลบเกี่ยวกับเงินทองทั้งสิ้น ล้างทิ้งให้หมด เพราะขืนยังมีทัศนคติแบบนี้อยู่ในใจต่อไป ปัญหาการเงินในชีวิตก็จะไม่มีทางดีขึ้น
บทที่ 5 ปัญหาการเงินของเราวันนี้มีที่มาจากครอบครัว
ไม่มีคนคนไหนเลยโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับอิทธิพลจากการเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโตเลย อิทธิพลจากการเลี้ยงดู อบรมปลูกฝัง หรือการโตขึ้นมากับการเห็นภาพอะไรที่ชินชาซ้ำ ๆ ซาก ๆ จะฝังลงไปในจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกที่ฝังรากนั่นแหละจะเป็นตัวกำหนดวิธีการที่เลือกเชื่อ เลือกใช้ในชีวิต และเลือกพาตัวเองไปสู่จุดนั้นทันที การปลดปล่อยจิตใต้สำนึกด้านลบผิด ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาคือ การเข้าใจตัวการว่าคิดและแสดงตัวอย่างผิด ๆ แบบนี้เพราะอะไร แล้วปลดปล่อยอิทธิพลของเขาออกไปจากชีวิตด้วยการให้อภัย และปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากชีวิตเรา ลองใช้วิจารณญาณในการทบทวนดูนิสัยการใช้เงินของพ่อและแม่อย่างเปิดใจกว้างว่า โตมากับพ่อแม่ที่มีพฤติกรรมจัดการเงินทองแบบไหน ที่มีอิทธิพลจนถึงทุกวันนี้ การรับรู้ปัญหาที่แท้จริงจะช่วยให้ล้างพฤติกรรมได้ ก่อนอื่นขอให้ตัดความกลัวว่าจะเป็นลูกที่ไม่ดีตำหนิพ่อแม่ทิ้งไป แต่กล้ายอมรับความจริงได้ แล้วจะได้แก้ปัญหาได้
บทที่ 6 มาทำความรู้จักนิสัยการใช้เงินของคุณกันเถอะ
คนนิสัยเสียเรื่องใช้เงินจะมีรูปแบบซ้ำซาก คือ
- ใช้เงินล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตจนเต็มทุกใบ แทนที่จะใช้เต็มใบเดียวแล้วจ่ายหนี้จนหมด
- พอไม่มีเงินจ่ายก็โทษคนอื่นว่าบริหารเงินให้เขาไม่ดี แทนที่จะนั่งนึกว่าตัวเองทำพลาดตรงไหน
- สุดท้ายถ้าเงินชอร์ตจริง ๆ ก็จะโทษคนอื่นว่ามุบมิบหรือโกง
ทุกครั้งได้ที่รับเงินมาแล้วจัดการเงินนั้นอย่างไรจะเท่ากับนิสัยใช้เงิน
บทที่ 7 เริ่มเปลี่ยนแปลงนิสัยใช้เงินจากหายนะเป็นมั่งคั่ง
หากตั้งใจมั่นว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ และมั่นใจจากข้างในว่าไม่เกินงบแน่นอน จิตใต้สำนึกจะจดจำตัวเลขงบประมาณนั้นไว้และคุ้มให้ใช้จ่ายพอดี เคล็ดลับยิ่งใหญ่ของพลังจิตใต้สำนึกคือขอให้ผ่อนคลาย และไว้ใจตัวเองเท่านั้นตั้งงบไว้ดีแล้ว แล้วก็ปล่อยให้การโปรแกรมจิตนำทางจนบรรลุเป้าหมายเอง ถ้ามีวินัยก็สามารถสร้างนิสัยใช้เงินใหม่ได้ จากใช้จนหายนะมาเป็นใช้เงินอย่างรู้คุณค่า ทำให้เดินทางไปสู่ความมั่งคั่งได้ในที่สุด หายนะหรือมั่งคั่งอยู่ที่ตัวเรานี่เอง ไม่ใช่วาสนาหรือไม่ใช่เพราะรวยมาตั้งแต่เกิดเลยแม้แต่น้อย เพราะว่ายังคิดพึ่งพาอำนาจนอกตัวเรา ทำให้กำลังตกอยู่ในสภาพเหยื่อไปตลอด อำนาจในการสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ที่เราแล้ว ต่อให้จนมาแต่เกิด แต่ถ้าเข้าใจถ่องแท้ถึงนิสัยใช้เงิน 5 แบบนี้ จะกลายเป็นผู้มั่งคั่งได้แน่นอน นิสัยเป็น 5 แบบที่กำหนดชะตาชีวิตคือ
แบบที่ 1 ใช้จ่ายเท่ากับที่หาได้ ไม่มีออม กำหนดชีวิตว่าจน
แบบที่ 2 ใช้จ่ายเกินกว่าที่หา ได้กำหนดชีวิตว่าล้มละลาย
แบบที่ 3 ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้หัก 10% เป็นเงินออม ได้กำหนดชีวิตว่าชนชั้นกลาง
แบบที่ 4 ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้หัก 20-30% เป็นเงินออม กำหนดชีวิตว่ารวย
แบบที่ 5 ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้หัก 50% โดย 20% เป็นเงินออมอีก 30% นำไปลงทุนในกองทุน หรือธุรกิจที่ให้ผลประโยชน์งอกเงย ตามหลักให้เงินทำงาน กำหนดชีวิตว่าเศรษฐีเงินล้าน
ถ้าหากใช้จ่ายต่ำกว่ารายได้จนติดนิสัยแล้ว จะมีเงินออมโดยอัตโนมัติ และเมื่อนั้นอิสรภาพทางการเงินจะตามมาในทันที
บทที่ 8 เจาะลึกนิสัยใช้เงิน 5 แบบ
ใช้เงินเท่ากับที่หาได้นี้ ทำไมถึงจน นิสัยใช้เงินเท่ากับที่หาได้นี้ ปัญหาคือถ้าหาได้ 100 ก็ใช้ 100 จะไม่มีเงินเก็บสำรองยามฉุกเฉินเลยเปลี่ยนจากนิสัยหา 100 บาทใช้ 100 บาทตามขั้นตอนเหล่านี้
1.เริ่มลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น คนเราเข้าใจผิดมาตลอดว่าถ้าอยากรวยต้องหาเงินเพิ่ม ซึ่งผิดหลักการบริหารเงินส่วนตัวทุกครูอาจารย์ในโลก เพราะกำลังพึ่งพาอำนาจนอกตัว เราคือคนที่จ้างงานเรา แทนที่จะเริ่มต้นที่ตัวเองก่อนคือการตัดรายจ่าย ซึ่งได้ผลมากที่สุด เร็วที่สุด เพราะไม่ต้องรอใคร
2.ปลูกฝังนิสัยได้เงินมาปั๊บหัก 10% เป็นเงินออมเลย
3.นำเงินออมนั้นเข้าบัญชีแยกต่างหากเป็นเงินออมฉุกเฉิน ต้องแยกบัญชีต่างหากเพราะเจ้าของเงินจะได้เห็นตัวเลขเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่ฝากเพิ่ม ทำให้เกิดกำลังใจผลักดันให้สร้างนิสัยใหม่ให้ผลคุ้มค่าน่าชื่นใจอย่างนี้นี่เอง ก็จะมีมานะอยากทำดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
4.ทุกครั้งที่หักเงินออมแล้วนำเข้าธนาคาร จงชมเชยตัวเองเพื่อสร้างกำลังใจ รางวัลตัวเองที่ดีที่สุดคือ การสร้างอนาคตที่ดีให้กับตัวเอง และเมื่อกำลังสร้างอนาคตทีละขั้น ๆ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เกิดพลังกายและใจคือ หัดชมตัวเองทุกครั้งที่ทำดี การชมเชยตัวเองคือการให้พลังแก่จิตวิญญาณข้างในของตัวเองชนิดหาค่ามิได้ มันบอกนิสัยรักตัวเองอย่างชัดเจน
5.อย่านำเงินออมนี้ไปให้รางวัลตัวเองด้วยของฟุ่มเฟือยเด็ดขาด กุญแจสำคัญที่ทำให้เปลี่ยนจากความเชื่อแบบใช้เงินพอดีกับรายได้ไม่เห็นเดือดร้อน มาเป็นแบบที่เห็นคุณค่าของการออมเงิน ต้องอาศัยการชมเชยตัวเองบวกกับวินัย
ใช้จ่ายเกินกว่าที่หาได้ทำไมถึงล้มละลาย คนที่หา 100 ใช้ 120 นอกจากไม่มีวันรวยและช่วยกำหนดชะตาชีวิตตัวเองว่าเป็นหนี้ตลอดชาติแน่นอนแล้ว ยังกำหนดชะตาตัวเองให้กลายเป็นคนล้มละลายอย่างไม่มีวันถอนตัวขึ้นอีกด้วย คนที่ติดนิสัยใช้เงินเกินรายได้ตลอดมา จะเป็นโรคที่อยากได้ก็ซื้อเลยทันทีไม่ต้องคิด ซึ่งเป็นอาการทางจิตอีกแบบหนึ่ง เหมือนกับโลกบ้าซื้อต้องบำบัดเลย ซึ่งสามารถบำบัดรักษาด้วยตัวเองก็ได้ หากอาการยังไม่หนักมาก ด้วยยาที่ชื่อว่าใจแข็ง อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใช้เงินเกินกว่ารายได้คือนิสัยใช้เงินเติมเต็มความว่างเปล่าของตัวเอง ด้วยการซื้อวัตถุที่จะให้นิยามใหม่แก่ตัวเอง
บทที่ 9 นิสัยเป็นหนี้ที่คุณคิดไม่ถึง
ชะตาลิขิตเรื่องเงินเกี่ยวกับนิสัยใช้เงินอย่างแยกไม่ออก มาลุยเจาะนิสัยใช้เงินแบบหายนะที่คนไทยและทั่วโลกหลายสิบล้านชีวิตเป็นกันโดยไม่รู้ตัวคือใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ แถมยืมคนอื่นมาใช้อีก นิสัยเป็นหนี้ท่วมหัวจนล้มละลายเกิดขึ้นกับคนนับล้าน ๆ คนทั่วโลก โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยจนกว่าจะเจอใบทวงหนี้นับแสนล้าน ที่ยอดเงินต้นจริง ๆ แค่ไม่กี่หมื่น แต่ทบเป็นแสนเป็นล้านเพราะมันบวกดอกเบี้ยที่ถูกปรับฐานค้างชำระหัวโต
พฤติกรรมที่เป็นสัญญาณเตือนภัยบอกว่าใช้เงินจนล้มละลาย พฤติกรรมเหล่านี้อาจรู้สึกว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน หรือมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่เห็นจะน่ากลัว แต่พฤติกรรมเหล่านี้เองที่เป็นสัญญาณเตือนภัยบอกเหตุล่วงหน้าแล้วว่า กำลังมีปัญหาเรื่องการใช้เงินอย่างหนัก
1.เสพติดบัตรเครดิตหรือไม่
2.พกเงินไป 1,000 บาทแต่ใช้เกินงบประมาณทุกทีหรือไม่
3.ทุกวันนี้ต้องหมุนเงินเอาตรงโน้นไปโปะตรงนี้จนวุ่นวายหรือไม่ หลักการบริหารเงินส่วนบุคคลที่พาไปสู่ความมั่นคงและมั่งคั่งคือ เงินสดคืออำนาจ เพราะการใช้เงินสดทำให้รู้ดีว่ามีงบประมาณเท่าไหร่ในมือ ห้ามใช้เกินงบ ทุกคนมีบัตรเครดิตในมือใบเดียวพอ เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินเท่านั้น บัตรเครดิตใบเดียวที่ใช้ต้องจ่ายเงินคืนเต็มจำนวน ตรงเวลาทุกเดือน การมีเงินเก็บคือนโยบายที่ดีที่สุด เพื่อใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน
4.มีนิสัยชำระบัตรเครดิตจำนวนต่ำที่สุดแทนที่จะใช้เต็มวงใช่หรือไม่
5.ใช้การช้อปปิ้งเป็นการบำบัดความเครียดใช่หรือไม่
6.เสพติดการซื้อของแพงกว่าฐานะของคุณใช่หรือไม่
7.มีนิสัยบ้าซื้อของผ่อนหรือไม่
หากยึดหลักการใช้เงินสดดีกว่าเป็นหนี้ ก็แค่เก็บออมจนพอเงินดาวน์ แล้วค่อยซื้อบ้าน ซื้อรถ อันจะส่งผลให้เป็นหนี้เบาลง อัตราการผ่อนชำระจะได้สบาย ๆ ไม่เกินตัว
นิสัยปลดหนี้สำคัญที่สุด ในการพาไปสู่ความเป็นไททางการเงิน นิสัยปลดหนี้เป็นนิสัยการเงินที่ทรงพลังมหาศาลมาก เพราะมันหมายถึงการกล้ารับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ แถมมันทำให้ต้องสร้างระเบียบวินัยทางการเงินในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านคุมรายจ่าย สร้างรายได้ ออมเงิน จนไปถึงการจัดสรรระบบใช้หนี้คือ มันจะช่วยหยุดยั้งจากการก่อหนี้ใหม่ได้ เพราะต้องมุ่งมั่นทุ่มเทกับการปลดหนี้เก่าให้ได้หมด
บทที่ 10 นิสัยความมั่งคั่ง
จะมั่นคงจนถึงมั่งคั่งทางการเงินได้อยู่ที่นิสัยใช้เงิน รายได้จะมากขึ้นหรือน้อยลงไม่ใช่ปัจจัย หากไม่แก้นิสัยใช้เงินไม่เป็น ต่อให้ได้มรดก ถูกลอตเตอรี่ ก็หมดตัวภายในเวลาไม่กี่ปี
นิสัยแห่งความมั่งคั่ง
- ใช้เงินต่ำกว่ารายได้ หัก 10% เป็นเงินเก็บทันที ทำแบบไม่ต้องคิด ทำให้เป็นนิสัยติดตัวเท่ากับว่ากำลังเริ่มต้นสร้างนิสัยทางการเงินที่พาไปสู่ความมั่งคั่งแน่นอน
- เมื่อทำครบ 6 เดือนเมื่อไหร่เริ่มหัก 15% แล้วเพิ่มเป็น 20% ในที่สุด แยกประเภทบัญชีออกจากกันเมื่อรวบรวมเงินเพื่ออนาคตได้ก้อนนึงแล้วจนพอใจ ก็มีสิทธิ์เอาเงินก้อนนี้ไปสร้างประโยชน์สูงสุดให้ตัวเอง เช่น ลงทุนทำกิจกรรมของตัวเอง ส่วนฝั่งเงินฉุกเฉินนั้น การเอาไว้ในยามเจ็บป่วยหรือซ่อมแซมอะไรกระทันหันเรียกว่าพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด จัดระเบียบเป็นสัดส่วนได้แบบนี้ก็จะไม่ต้องวิตกจริตกับสถานการณ์การเงินเหมือนก่อนอีกแล้ว
- เมื่อออมเงิน 20% จนเป็นนิสัยได้สำเร็จ ให้เริ่มฝึกหักรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% เพื่อลงทุนแล้วค่อยเพิ่มเป็น 50% นิสัยนี้ทำได้ยากกว่าข้อที่แล้วมาก เพราะนอกจากต้องอาศัยความใจแข็งสุด ๆ ในการตัดของที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตทิ้งไปแทบทั้งหมด ยังต้องพึ่งความอดทนและตั้งใจจริงอย่างมากอีกด้วย แต่เป็นนิสัยสร้างเศรษฐีอย่างแท้จริง
- เงินออม 30% ที่ออมเพิ่มไว้เพื่อให้เงินทำงานให้ หรือใช้เงินสร้างเงินนั่นเอง เงินทุนเป็นอีกหนึ่งในสี่ของการบริหารเงินส่วนตัวที่เรียบง่ายแต่ได้ใจมากคือการหาเงินใช้เงินออมเงินและนำเงินไปลงทุน การสร้างให้เงินงอกเงยมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นต้องมีเป้าหมายที่ดีก่อนว่าทำไปเพื่ออะไร
บทที่ 11 พร้อมที่จะครอบครองเงินต่อเมื่อมีวุฒิภาวะ
การเรียนรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก ทำให้เป็นนิสัยติดตัว นิยายเรื่องหมาน้อยสอนรวย ตัวเอกเป็นเด็กหญิงผู้ขาดความมั่นใจวัย 10 ขวบชื่อคีร่า เธอมีพ่อแม่ที่เป็นคนดีแต่กลุ้มเรื่องหนี้สินตลอดเวลาจนไม่มีความสุข วันหนึ่งฟ้าลิขิตให้เจ้าหมาลาบราดอร์ผู้น่ารักและแสนฉลาดพลัดหลงมาอยู่ในอุปการะของครอบครัวเธอ เธอตั้งชื่อหมาน้อยว่ามันนี่แปลว่าเงิน ปรากฏว่ามันนี่พูดได้และมันแอบสอนเธอถึงหลักการบริหารเงินที่ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่
- จงตั้งเป้าหมายว่าได้เงินมาแล้วจะไปใช้ทำประโยชน์อะไร การฝึกเขียนเป้าหมายและพิจารณาดูว่าเป้าไหนมีคุณค่าที่สุด จะทำให้มีแรงมานะที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
- ทำบันทึกความสำเร็จ เขียนทุกวันว่าวันนี้ทำอะไรสำเร็จมาบ้าง แม้เรื่องที่เล็กน้อยที่สุด ต้องนึกถึงสิ่งที่ทำได้และทำได้ดี แทนที่จะมัวกังวลถึงสิ่งที่ทำไม่ได้
- จงออมเงิน 50% ของเงินที่มี อีก 50% จ่ายหนี้ ค่ากินอยู่ แต่ไม่ควรก่อหนี้เลยดีที่สุด
- ใครก็ตามที่มีหนี้สินจงโยนเครดิตการ์ดลงทิ้งไปให้หมด แล้วจ่ายผ่อนชำระให้ต่ำที่สุด เพื่อจะได้มีเงินพอใช้จ่ายไม่ขัดสน
- เริ่มเลี้ยงห่านให้ออกไข่มาเป็นทองคำ เปรียบห่านเป็นเงินออม การมองเงินเป็นแค่ตัวเลขในธนาคารมาเป็นห่านมีชีวิต มันเห็นภาพชัดเจนกว่าเยอะเลยว่าการเลี้ยงเงินออมให้เติบโตงอกเงยขึ้นเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝากหรือนำไปลงทุนให้ได้ผลกำไรก็ตาม ดอกเบี้ยหรือผลกำไรนั้นคือไข่ทองคำนั่นเอง
- จงอย่าฆ่าห่านของตัวเอง เพราะถ้าฆ่าห่านกินเนื้อจะอดได้ไข่ทองคำทุก ๆ เดือน
วุฒิภาวะนี่แหละคือตัววัดว่าพร้อมจะเป็นเจ้าของสิ่งที่ขอไว้หรือยัง
บทที่ 12 เลิกใช้ชีวิตแบบรอความเมตตาจากคนอื่น
การใช้ชีวิตรอความเมตตาจากคนอื่นคืออะไร เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่มีอำนาจในการกำหนดชีวิตตัวเอง แสดงว่าโชคชะตาชีวิตกำลังขึ้นอยู่กับคนอื่นกำหนดให้ เช่น การใช้ชีวิตแบบลูกจ้างกินเงินเดือน ย่อมมีอิสระในการเลือกชีวิตทำงานได้ไม่เท่ากับคนที่เป็นนายตัวเอง หรืออย่างคนที่เป็นฟรีแลนซ์หรือเจ้าของกิจการแน่ ๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มมีอาการเฝ้ารอวันสิ้นเดือนอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อจะได้รับเงินเดือนสักทีจะได้เอาไปใช้หนี้ใช้ซื้อของที่ต้องการ ถือว่ากำลังใช้ชีวิตแบบรอความเมตตาจากคนอื่นแล้ว ทางออกจากเขาวงกตอันเร็วร้ายของการใช้ชีวิตพึ่งตัวเองไม่ได้ต้องรอความเมตตาทางการเงินจากคนอื่นคือ จงสะสมเงินและเรียนรู้ให้เงินทำงานให้ตัวเรา เราก็จะเป็นอิสระ คำว่าเป็นนายตัวเองอ่านดูเหมือนเป็นภาระ ถ้าไม่เคยเจ็บป่วยจากการพึ่งพาคนอื่นแล้วล้มเหลวย่อยยับจะไม่มีวันรู้สึก ความหอมหวานของคำว่าเป็นนายตัวเอง และอิสรภาพทางการเงินเลย วิธีตัดวงจรชีวิตแบบพึ่งพาหรือต้องรอความเมตตาจากคนอื่นนั้นคือ เลิกนิสัยทำงานไปจนตาย และนิสัยให้คนอื่นหาเลี้ยงไปจนตาย แล้วหันมาเป็นเจ้าของการลงทุนที่สร้างรายได้มากพอเลี้ยงตัวเองได้ จงกำหนดชะตาชีวิตการเงินไว้ในมือตัวเองวันนี้เลย โดยไม่ต้องพึ่งพาไม่ต้องรอไม่ต้องง้องอนใคร นี่แหละคืออิสรภาพที่แท้จริง
บทที่ 13 การควบคุมการเงินบอกความนับถือและรู้ซึ้งในคุณค่าของตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย พลิกจากชีวิตเก่าสู่ชีวิตใหม่นั้น จะส่งผลได้ไม่เต็มที่เลย ถ้าไม่ล้างทัศนคติด้านลบ อันก่อให้เกิดนิสัยทำลายล้าง ที่เป็นตัวสร้างรูปแบบซ้ำซากทางการเงินให้เกิดกับชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า นิสัยทำลายล้างแบบเดิมเป็นตัวบล็อกความสำเร็จถาวร แถมยังคอยจ้องซุ่มทำลายทุกความสำเร็จอยู่ตลอดเวลา
นิสัยทำลายล้างแบบแรก นิสัยไร้วุฒิภาวะทางการเงิน ซึ่งส่งผลทำให้เป็นคนที่ได้เงินมาแล้วใช้เลย ไม่ยอมรับรู้ความรับผิดชอบทางการเงิน ไม่เคยเก็บเงินเพื่ออนาคต
นิสัยทำลายล้างแบบที่ 2 นิสัยพึ่งพาคนอื่น
นิสัยทำลายล้างแบบที่ 3 คือนิสัยไม่กล้าควบคุมการเงินของตัวเอง
การรู้จักคุณค่าของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ คนที่ปฏิเสธไม่ยอมควบคุมจัดการเงินของตัวเอง มันบอกสัญญาณชัดเจนเลยว่า รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจ ไม่มีปัญญาพอที่จะจัดการชีวิตตัวเองได้ คนที่อยู่แบบนี้บอกได้เลยว่าอันตรายมาก การทำตัวไร้อำนาจ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอกจากผลักเงินออกแล้ว ยังผลักคนออกจากตัวด้วย จะหลุดพ้นจากนิสัยทำลายล้างทางการเงินนี้ได้ มีวิธีปฏิบัติคือต้องเอาอำนาจในตัวเองกลับคืนมา ด้วยการเข้าควบคุมจากการเงินที่หาได้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับความจริงตั้งแต่ตอนนี้ ท้ายที่สุดแล้วพลังอำนาจในตัวทุกคนนี่แหละ ที่จะช่วยให้เสริมสร้างความนับถือตัวเอง และเริ่มหันมารู้ซึ้งถึงค่าของตัวเองมากขึ้น จนไม่ยอมให้ใครหน้าไหนรวมทั้งตัวคุณเองด้วย มาคิดว่าไม่มีปัญญาควบคุมชีวิตทางการเงินตัวเองได้ คนที่กล้ามีอำนาจควบคุมดูแลชีวิตตัวเอง จะไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไร้ปัญญา จะไม่รู้สึกผิด และไม่เคารพนับถือตัวเองเลย
บทที่ 14 บ่มเพาะทัศนคติมั่งคั่งร่ำรวยตั้งแต่วันนี้
ความเข้าใจผิดที่ว่าความรวยต้องมาจากการหาเงินเก่ง และหาได้มาก ๆ เข้าไว้ เอาความสามารถในการสร้างเม็ดเงิน มาเป็นมาตรฐานวัดการก้าวขึ้นสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย เป็นการคิดแบบเอาผลลัพธ์มาเป็นตัวต้นเหตุ เรียกว่าผิดทางตั้งแต่เริ่มคิด คนที่คิดผิดทางแบบนี้จะทำให้ยิ่งหาเงินได้มากก็ยิ่งอยากรวยเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากรวยเพิ่มขึ้นก็ยิ่งต้องวิ่งหาเงิน การวิ่งไม่รู้จักหยุดทำให้ความร่ำรวยเป็นความทุกข์ หาความสุขไม่ได้อีกเลย เพราะจุดสิ้นสุดไม่มี พวกที่มีเงินล้านแล้วรู้สึกว่าตัวเองจนคือ คนประเภทคิดผิดทางนี่เอง
ทัศนคติที่มั่นคงร่ำรวยต่างหากคือ ตัวสร้างความร่ำรวยให้ ทัศนคติเชิงบวกมีอานุภาพต่อสถานการณ์การเงิน สถานการณ์การเงินเกี่ยวข้องกับความสำคัญที่มีต่อเงินอย่างแย่งไม่ออก ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อย ก็สามารถรู้สึกดีกับเงินและรู้สึกดีกับตัวเองได้ แต่ถ้ามีความสัมพันธ์กับเงินอย่างย่ำแย่ เงินจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง ทัศนคติมั่งคั่งร่ำรวยจึงไม่ใช่เกี่ยวกับการเป็นคนรวย แต่เกี่ยวกับการรู้สึกรวยต่างหาก คนคนหนึ่งสามารถมีเงินหมดโลก แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองจน
กลับกันถ้ามีทัศนคติต่อเงินอย่างเปี่ยมสุข แข็งแรง ต่อให้มีเงินน้อยนิดก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมคุ้มค่าได้จริง ๆ ดังนั้น ความมั่งคั่งร่ำรวยที่แท้จริงจึงไม่ได้วัดที่มีเงินมากแค่ไหนจริง ๆ แต่วัดกันที่ความสุขใจและสุขกายที่ได้รับจากเงินทองที่มีเงิน การสร้างความมั่งคั่งอย่างดีงามและมั่นคงถาวรนั้น ต้องเริ่มต้นที่การสร้างทัศนคติร่ำรวย และใช้ชีวิตตามทัศนคตินั้น ทัศนคติร่ำรวยคือ
- สำนึกขอบคุณต่อทุก ๆ รายได้ที่ได้มา
- รู้จักถนอมรักษารายได้อย่างดี
- ฝึกจิตใจกว้างขวางเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
- เคลียร์ของรกที่หมักหมมในชีวิตให้สะอาด
- ทำสิ่งที่รัก แล้วเงินจะตามมาเอง
ภาคที่ 2 เรียนรู้ 3 ขั้นตอนของการบริหารเงินรายได้ รายจ่าย เงินเก็บ
บทที่ 15 รายได้มาจากหลายทาง
ความเชื่อในจิตใต้สำนึกเป็นตัวกำหนดปริมาณ และความไหลลื่นของรายได้ในชีวิต แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยโอกาสสร้างรายได้ จะพบว่าชีวิตเปลี่ยนไปจริง ๆ รายได้หลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้จากงานเล็กงานน้อยไปถึงงานใหญ่ไม่ขาดสาย การมองโลกเหล่านี้เต็มไปด้วยโอกาสที่ไร้ข้อจำกัด การมองโลกแบบเห็นอะไรก็เป็นช่องทำมาหากิน เป็นการมองโลกแบบทั่วพื้นปฐพีมีขุมทรัพย์ให้ค้นหาคือ เห็นโอกาสความเป็นไปได้ในทุก ๆ อย่างรอบตัว ในการสร้างงานสร้างเงิน แทนที่จะคิดติดกรอบอย่างเดียวว่า เงินรายได้มาจากแหล่งเดียวเท่านั้นคือ จากงานที่ทำ ถ้ามัวคิดว่าเงินได้จากงานแค่นั้น ชีวิตก็จบเลย เพราะเมื่อหมดงาน ก็หมดเงินไปด้วย แล้วทีนี้พอคิดจะปรับตัวไปหาช่องทางอื่น ๆ ในการสร้างรายได้ ก็จะทำไม่ได้แล้ว เพราะชีวิตเคยชินกับการติดกรอบไปแล้วนั่นเอง
นั่งลงจดแหล่งที่มาของรายได้ตอนนี้ให้หมด ทำให้รู้ว่ามีแหล่งที่มาของเงินจากไหนบ้าง มีมากี่ทาง จะได้ปรับตัวได้ถูกต้อง โดยอิงจากหลักฐานที่จดให้เห็นจะจะจับตาตัวเอง เช่น รายได้จากงานที่ทำ รายได้จากเงินปันผล ดอกเบี้ยจ่ายเงินออม เงินลงทุน เงินกู้ยืม ค่าเช่า ผลประโยชน์จากรัฐบาล ถ้ามีค่าเลี้ยงดู (จากพ่อแม่หรือคู่สมรส) รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ รายได้จากการเล่นหุ้น แลกเปลี่ยนเงิน แลกเช็ค รายได้จากการซื้อมาขายไป รายได้จากนายหน้า รายได้จากนายหน้า ถ้ารายได้มาจากหลายทาง ยินดีด้วย ถ้าใครมาจากทางเดียว แย่แล้ว เปลี่ยนชีวิตใหม่ตอนนี้เลย
บทที่ 16 อ่านรายได้ของตัวเองให้แตกฉาน
พอเข้าใจวิธีจัดการเงินให้อยู่ จะไม่ลืมวิธีอีกเลย การรู้จักบริหารเงินก็เหมือนเรียนขี่จักรยาน มันจะกลัวก่อนเพราะไม่ชินกับการเลี้ยงตัวบน 2 ล้อ หกล้มถลอกปอกเปิกในช่วงแรกบ้าง พอจับทางได้แล้วก็ขี่ได้ ที่นี้พอโตแค่ไหน ไม่ได้ขี่จักรยานมานานแค่ไหนก็ตาม พอได้จับอีกครั้งแล้วมันจะจำได้เอง สัจธรรมสูงสุดของการบริหารเงินคือ ทำให้มันเรียบง่ายได้ใจความเข้าไว้ ถ้าบุคคลใดพยายามทำให้เงินเป็นเรื่องยุ่งยาก หรือมาบอกว่ามันทั้งยุ่งทั้งยาก อย่าไปเชื่อ การจัดการเงินไม่จำเป็นต้องยากขนาดนั้น การบริหารเงินมี 4 ข้อคือ รายได้ รายจ่าย เงินเก็บ และเงินลงทุน ต้องรู้กติกาง่าย ๆ 4 ข้อ คือ
- ต้องรู้ว่าเงินเข้ามาจากไหน
- ต้องรู้ว่าใช้เงินไปเท่าไหร่
- ต้องใช้ออกให้น้อยกว่าเงินเข้า
- ต้องลงบันทึกรายได้และรายจ่ายทุกรายการอย่างถูกต้องตรวจสอบได้
ถึงเวลาอ่านสถานการณ์รายได้ วิธีสร้างประโยชน์สูงสุดจากเงินคือ ต้องมองเงินให้แตก เห็นตัวเงินแล้วมองทะลุปรุโปร่งว่าจะทำอะไรกับเขา จะใช้เขาทางไหน จะโยกเขาไปอยู่ที่ใด ก็จะเห็นข้อเท็จจริงทางการเงิน 3 ข้อมี
- มีรายได้จากหลายทาง
- รายได้มีทั้งมาเป็นรายเดือนและรายปี
- รายได้บางรายการมีจุดสิ้นสุด (คือต่อไปจะไม่ได้อีกแล้ว)
เรื่องเงินทุกอย่างวางแผนได้ แก้ไขได้ ขอให้มีข้อมูลชัดเจน ถ้าเริ่มกล้าพอที่จะรู้จักสถานการณ์ชีวิตตัวเองด้วยการเขียนแหล่งรายได้ลงไปบนสมุดบันทึก แล้วเริ่มจากตรงนั้น วันหนึ่งจะหลุดพ้นจากความกลัวและความอายไปสู่อิสรภาพ
บทที่ 17 วิธีดึงดูดและเพิ่มพูนรายได้ให้งอกงาม
ตำราการเงินมี 3 แบบ
แบบแรกแบบแข็งติดวิชาการมาก มักเขียนโดยนักการเงินและนักลงทุนที่แก่วิชาและติดภูมิ เหมาะสำหรับคนที่รู้จักศัพท์แสงและเทคนิคการเงินพอสมควร
แบบที่ 2 แบบชีวิตจริง นักเขียนมักเป็นโค้ชการเงินหรือเจ้าของกิจการจริง ที่เอาประสบการณ์ชีวิตตัวเองมาตีแผ่
แบบที่ 3 ที่คนไทยไม่คุ้นเคยเลย เพราะไม่มีคนเคยอ่านเคยแปลคือ แบบที่เรียกว่าแนวจิตวิญญาณ ผู้เขียนหนังสือเหล่านี้ไม่เรียกตัวเองว่านักการเงิน ไม่เรียกวิชาบริหารเงินแต่เรียกว่าวิชาสร้างสรรค์ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ก่อนอื่นให้แยกแยะว่าจะเพิ่มพูนรายได้แหล่งไหน รายได้จากงานอาชีพหรือรายได้จากงานพิเศษ
เพิ่มพูนรายได้จากงานที่ใฝ่ฝันให้เป็นอาชีพ งานที่ได้เงินเดือน ซึ่งทำเพื่อให้มีกินแต่ไม่ใช่สิ่งที่ภูมิใจได้ว่านี่คืออาชีพ จงเลิกกลัว แล้วจงร่างอาชีพในฝันที่สมบูรณ์แบบโดย
- เขียนสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข 10 อย่าง
- ทบทวนเพื่อเลือกความสุขที่สุดมาอย่างเดียว ที่รู้สึกว่าเต็มใจจะได้รับเงินทองจากการทำสิ่งที่มีความสุขนั้น
- คิด 10 หนทางที่จะบริหารผู้คนด้วยสิ่งที่ทำ
- ทบทวนแล้วเลือกหนทางให้บริการที่ชอบที่สุด จดลงไป
- จงเขียน 10 หนทางที่เต็มใจจะสร้างให้ไอเดียสร้างงานสร้างเงินที่ชอบที่สุดนี้ กลายเป็นความสำเร็จทางการเงิน
- ด่านนี้สำคัญเรียกด่านทดสอบใจสู้ จงถามตัวเองก่อนเลยว่าเต็มใจจะทุ่มเทกับโครงการนี้โดยไม่หวั่นไหวหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จนกว่าจะได้รับเงิน 10,000 บาทแรกจากงานนี้
ถ้าคำตอบคือลังเลไม่แน่ใจ แสดงว่ายังไม่พบไอเดียสร้างเงินที่ควรจะประสบความสำเร็จได้
ถ้าคำตอบคือไม่เอาแน่ จงไปทำรายการใหม่ตั้งแต่แรก จนกว่าคำตอบจะเป็นใช่เลย
คนเรามักลาออกหรือเปลี่ยนงานเพราะรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ทำไม่ได้ ไม่รุ่ง และถ้าฝึกฝนตัวเองให้แน่วแน่มั่นคงกับไอเดียที่ชอบมาก จนยอมยืนหยัดสู้จนกว่าจะได้เงิน 10,000 บาทแรก จะไม่รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวอีกเลย
- ถ้าคำตอบคือใช่เลย จงนำไปเขียนสวย ๆ แปะข้างฝา ติดตู้เย็น วางบนหัวเตียง หรือพกติดในกระเป๋า แล้วเริ่มลงมือทำจริง โดยวางแผนลงบนปฏิทิน กำหนดตารางให้ตัวเองเลยว่าจะสำเร็จได้เมื่อไหร่
วิธีเพิ่มพูนรายได้พิเศษ เครียดไปก็ไม่เข้าท่า จงใช้หัวสร้างสรรค์มาสร้างวิธีหาเงินเพิ่มจะดีกว่า จงเขียนลงไปบนกระดาษว่า “10 วิธีที่จะหาเงินเพิ่ม…บาทภายใน…” ที่เว้นไว้คือให้เติมตัวเงินและกำหนดระยะเวลาเอง เอาแบบที่สบายใจที่สุดไม่กดดันไม่เครียด และไม่ยืดยาวเยิ่นเย้อเกินไปจนขี้เกียจ
บทที่ 18 จงรู้เสมอว่าใช้เงินเพื่ออะไรบ้าง
คนเราวุ่นวายกับการหาเงิน สร้างเงิน ใช้เงิน ต่อเงินจนหัวหมุน แต่ทีเรื่องค่าใช้จ่ายกลับปล่อยให้กลายเป็นพื้นที่สีเทาไม่รู้ไป การไม่เคยรู้ค่าใช้จ่ายตัวเองเรียกว่าพลาดอย่างน่ากลัว ตราบใดที่ไม่รู้ค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จะไม่มีวันสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่งได้เลย
ทำไมคนเราเก่งสารพัดเรื่อง แต่ไม่เคยรู้ค่าใช้จ่าย เหตุผลแค่ 3 ข้อคือ
- เพราะเข้าใจผิดต่อ ๆ กันมาว่า จะรวยได้อยู่ที่หาเงินเก่ง ทั้งที่ความจริงของการเงินคือ คนจะรวยได้ถ้ารู้จักใช้จ่ายอย่างฉลาดต่างหาก
- เพราะโดนสอนมาแต่เรื่องประหยัดและเก็บเงิน แต่กลับไม่เคยได้รับการสอนให้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้จ่ายเงินอย่างรู้คุณค่าเลย
- เพราะกลัวจนไม่กล้าเปิดใจเห็นค่าใช้จ่ายของตัวเอง การกอบกู้สถานการณ์การเงินให้ได้ผล ต้องเริ่มต้นจากการบริหารการใช้จ่ายก่อน ด้วยการจดบันทึกค่าใช้จ่ายแต่ละวันลงบัญชี แล้วรวบรวมสถิติแต่ละเดือนไว้ ซึ่งเรียกว่าทำงบการเงิน
บทที่ 19 รู้ค่าใช้จ่ายคือรู้วิธีควบคุมการเงิน
วิธีที่จะรู้จักสถานการณ์ชีวิตของตัวเองถ่องแท้ว่าใช้จ่ายต่ำกว่ารายได้หรือไม่ เงินที่หามาได้นั้นหายไปทางไหน ใครเป็นคนเอาไป ให้ทำบัญชีรายจ่าย เดือนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายเท่าไร ใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้รู้ประวัติการเงินของตัวเอง ก่อนอื่นขอให้นำกระดาษโล่ง ๆ มา 1 แผ่น แล้วเริ่มต้นจดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนลงกระดาษ เพื่อทำให้รู้ว่าเงินที่หามาได้ถูกใช้ไปด้วยเรื่องอะไรบ้าง โดยแบ่งประเภทออกเป็น 2 ฝั่งกระดาษ ดังนี้
ค่าใช้จ่ายประจำ ในช่องค่าใช้จ่ายประจำ ที่หมายถึงรายจ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน
ค่าใช้จ่ายจร ซึ่งได้แก่รายจ่ายที่มีบ้างไม่มีบ้างไม่แน่นอน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าอะไหล่รถ ค่าของขวัญ ค่าซองกฐิน เป็นต้น
เมื่อทำรายการออกมาแล้วจึงลงจำนวนเงินที่ต้องจ่ายลงไป
บทที่ 20 วิธีใช้เงินบอกความเป็นตัวเองว่าเป็นคนฉลาดหรือไม่ยังคิด
ถึงไม่ได้ทะเยอทะยานอยากเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวยก็ตาม ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการบริหารเงินถ้าอยากมีชีวิตคุณภาพแบบที่เลือกได้ ไม่ใช่จำเป็นหรือถูกบังคับ เพราะเงินถึงเป็นลูกเศรษฐีมีอันจะกินอยู่แล้วก็ต้องเรียนรู้เรื่องการบริหารเงิน ถ้าอยากรักษาสมบัติเดิมไว้และทำให้มันงอกเงย
รู้ไหมว่าการตัดสินใจใช้เงินบอกได้เลยว่าเป็นคนอย่างไร การใช้เงินอย่างฉลาดรู้ค่าคือ การลดการจ่ายเงินไปกับสิ่งที่มีคุณค่าน้อยและทำให้สุขใจน้อย เพื่อเหลือเงินไว้จ่ายกับสิ่งที่มีคุณค่ามากขึ้น ทำให้ทุกข์ใจมาก การใช้จ่ายอย่างฉลาดรู้ค่าก็มีแค่นี้เอง
ทางแก้นิสัยซื้อไม่ยังคิดคือแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่อยากได้กับจำเป็น ก่อนซื้อของสิ่งใดถามตัวเองดัง ๆ ของนี้แค่อยากได้หรือจำเป็นต้องมี ฝึกนิสัยคิดและถามตัวเองก่อนซื้อทุกครั้งอยากได้หรือจำเป็น นิสัยคิดก่อนซื้อต้องอาศัยวินัยอย่างสูง
ฝึกนิสัยใช้เงินสดซื้อ ห้ามซื้อของด้วยเงินล่วงหน้าที่ตัวเองยังไม่มี ไม่ว่าเงินล่วงหน้านั้นจะเป็นเงินพลาสติก (บัตรเครดิต) เงินยืมคนอื่นหรือเงินค่าจ้างที่คาดว่าจะได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มา ใช้เงินสดเสมอ บังคับให้ตัวเองสร้างนิสัยมีเงินสดค่อยซื้อ
ทางแก้นิสัยซื้อโดยไม่มีเหตุอันควรคือ ทำรายการการซื้อเสมอว่าจะซื้ออะไรและซื้อทำไม จากนั้นตั้งใจมั่นว่าจะใช้จ่ายเงินเฉพาะสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าน่าซื้อ และมีเหตุผลสมควรกับการซื้อเท่านั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่สามารถควบคุมตัวเอง ด้วยการฝึกนิสัยใช้จ่ายต่ำกว่ารายได้เสมอ และใช้จ่ายกับสิ่งที่มีคุณค่า จะเกิดสภาพคล่องทางการเงินไปจนตลอดชีวิตคือ สิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งสามารถทำให้เกิดจริงได้ด้วยวินัย
บทที่ 21 คาถาแก้วิกฤตการเงินไปสู่อิสรภาพ
คนเราทุกคนต้องเคยเจอสภาพวิกฤตการเงินนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย แต่บางคนเจอแทบจะคบทุกวิกฤต อย่างนี้เรียกว่าสาหัสสากรรจ์แล้ว วิกฤตการเงินดูดพลังชีวิตปล่อยมันออกจากชีวิต แล้วจะรู้สึกถึงอิสรภาพได้แล้ว และวิธีปลดปล่อยวิกฤตการเงินออกจากตัวได้ดีที่สุดก็คือการออมเงินนั่นเอง
คุณเป็นคนมีอิสรภาพทางการเงินหรือไม่ อิสรภาพทางการเงินคือ สภาวะมีอิสระเสรีภาพพอที่จะเลือกใช้ชีวิต และเลือกอาชีพแบบที่ตนเองต้องการได้ โดยไม่หวาดกลัวว่าจะมีเงินไม่พอ คนที่จะอยู่ในสภาวะนี้ได้ ต้องมาจากการรู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นคงทางการเงินเพียงพอแล้ว ที่จะเลือกชีวิตได้ตามใจรัก
ทางแก้ปัญหาการขาดอิสรภาพทางการเงินก็ช่างเรียบง่ายแสนง่าย แต่ทำยากมาก ๆ เพราะต้องอาศัยวินัยทางการเงินอย่างจริงจัง นั่นคือ ต้องมีเงินออมไว้รองรับมากพอ จนสามารถเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ และมีความสุขความพอใจได้
บทที่ 22 วิธีออมเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายชีวิต
ตัวรั้งหรือตัวบ่อนทำลายตัวสำคัญ ไม่ให้เริ่มต้นเก็บออมเงินมีดังนี้
- ประเภทขาดเป้าหมายทางการเงิน พอเริ่มต้นเก็บออมได้ดี เห็นตัวเลขในบัญชีเพิ่มขึ้นมันนิ่ง ๆ เป็นตัวดำอยู่แบบนั้น ชักเบื่อ ๆ จึงถอนมันออกมาใช้ดีกว่า
- ประเภทรู้สึกที่ผิดถ้าชีวิตตัวเองจะดีกว่าคนอื่น พอเริ่มต้นเก็บออมได้ ในใจจะรู้สึกผิดมาก ๆ ที่ละเลยพ่อแม่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีเวลาพี่ ๆ น้อง ๆ บ่นไม่มีเงิน จึงต้องถอนออกมาใช้เลยกลับไปจนเท่ากับคนอื่นอีก
- ประเภทประมาทกับชีวิตอย่างแรง พอเริ่มต้นเก็บออมได้สัก 1,000 บาท แทนที่จะรู้สึกชื่นใจที่ได้ออมเงินสำเร็จ กลับรู้สึกร้อนมือร้อนใจอยากใช้ให้มันมือทันที
วิธีสลายตัวรั้งที่ไม่ให้ออมเงินได้สำเร็จคือ จงตั้งเป้าหมายการเงินที่ทำให้มีความสุขที่สุด แล้วเริ่มทำตามขั้นตอนเพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายนั้น การออมเงินแบบตระกร้า 3 ใบ มีดังนี้
ตะกร้าใบที่ 1 ตะกร้าเพื่อความมั่นคงคือ บัญชีการออมเงินสำหรับตัวเองหรือครอบครัว เพื่อใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน
ตะกร้าใบที่ 2 ตะกร้าเพื่อเกษียณคือ การกันเงินรายได้ทันทีเพื่อไปสะสมไว้ในกองทุนเกษียณ เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่ออายุมากขึ้นไม่มีรายได้แล้วจะอยู่ได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องลำบากและไม่ต้องพึ่งพาใคร
ตะกร้าใบที่ 3 ตะกร้าเพื่อความฝัน คือการการเงินออมเพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง
วิธีออมเงิน 5 ขุมพลัง
พลังที่ 1 เงินฉุกเฉินสำหรับค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด เพราะมีคนมากมายที่ใช้ชีวิตแบบไม่คิดจะเจออุปสรรคไม่คาดฝัน จึงไม่เคยคิดเตรียมสำรองเงินฉุกเฉิน จงฝึกนิสัยจ่ายให้ตัวเองก่อนจนชิน
พลังที่ 2 เงินสำรองเลี้ยงชีพ 6-12 เดือนเพื่อใช้ในยามตกงาน อานิสงส์แห่งการทำดีให้ตัวเองจะเป็นแรงผลักให้อยากทำดีขึ้นกว่าเดิมเรื่อยไป
พลังที่ 3 เงินประกันที่ช่วยให้มั่นคงในชีวิต ไม่มีอะไรย่ำแย่ไปกว่าการตายหรือพิการ แล้วคนอยู่ข้างหลังเขาจะลำบาก เพราะไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เขาเลยอีกต่อไปแล้ว ที่แย่มากคือเจ็บป่วยขณะที่ไม่มีเงินรักษาเลย
พลังที่ 4 เงินลงทุนเพื่องอกเงยเงิน เพื่อสร้างฝัน การลงทุนช่วยให้มีอิสรภาพทางการเงินมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพารายได้จากการทำงานอย่างเดียว วิธีนี้เรียกง่าย ๆ ว่าให้เงินทำงานให้
พลังที่ 5 เงินตอบแทนผู้มีพระคุณและตอบแทนโลก ไม่ว่าจะเป็นตำราสอนพลังจิตใต้สำนึก ตำราโค้ชการเงิน หรือตำราการเงินแบบจิตวิญญาณก็ตาม ล้วนสอนตรงกันข้อหนึ่งว่า จงเป็นผู้ให้ วิธีการคือเมื่อได้รายได้มาจงแบ่งปัน 3 – 5% ให้แก่คนที่รัก แก่ศาสนา หรือบริจาคให้ผู้ที่ยากไร้กว่าทุกครั้ง
แยกบัญชีออมหลายธนาคารดีอย่างไร
- ช่วยแก้ปัญหาเงินออมปนกันจนแยกไม่ออกว่า เงินส่วนไหนออมถึงไหนแล้ว เป็นการสร้างนิสัยการเงินที่ดีงาม
- ช่วยกันไม่ให้ถอนออกมาใช้มั่วจนงงเอง ว่าเงินออมส่วนไหนหายไปไหน และหายไปเท่าไหร่
- ช่วยให้รู้แน่ชัดว่าเงินออมแต่ละเป้าหมายมาจากทางใดบ้าง มาจำนวนแค่ไหน และเพิ่มขึ้นแค่ไหนแล้ว
วิธีแยกบัญชีเฉพาะยังช่วยแก้นิสัยชอบหมุนเงินจนตาลาย ตอนนี้ขอเพียงแค่เริ่มต้นก้าวแรกจ่ายตัวเองก่อนใครอื่นคือ หักเงิน 10% มาเข้าบัญชีออมไว้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ภาคที่ 3 ปลดหนี้
บทที่ 23 มาตรการปลดหนี้อย่างมีสติ
คนไทยทุกวันนี้เป็นหนี้หัวโต โดยที่ตัวเลขหนี้ครัวเรือนนั้นเพิ่มขึ้นมาก หนี้นั้นไม่ใช่หนี้ดีเป็นหนี้สินค่าอุปโภคบริโภคคือ บรรดาหนี้บัตรเงินผ่อน หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล
เคล็ดลับสำคัญของการปลดหนี้ให้ได้ผลคือ ต้องสร้างทัศนะคติที่ดี สร้าง 4 ทัศนคติที่ดีงามก่อนปลดหนี้
- เป็นหนี้ก็ต้องใช้อย่าหนี
- การใช้หนี้คือการรับผิดชอบ ซึ่งจะดึงดูดความมั่งคั่งอีกในอนาคตไม่ใช่การเสียเปรียบ
- ไม่ว่าหนี้จะเยอะและเรื้อรังขนาดไหนเจรจาต่อรองหนี้ได้ทั้งนั้นไม่ต้องกังวล
- เริ่มชำระหนี้วันนี้วันหนึ่งหนี้ก็ต้องหมด
หากขาดการปลูกฝังทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการใช้หนี้ 4 ข้อนี้ เรื่องหนี้สินจะกลายเป็นความทุกข์มากทันที จงแก้ไขทัศนคติเหยื่อหรือทัศนคติต่ำต้อยกว่าว่าเป็นหนี้ย่อมต้องต่ำต้อยกว่าเจ้าหนี้ จำไว้เสมอเลยว่าเขามีกำไรจากดอกเบี้ยไม่ได้ยืมเงินเขามาฟรี ๆ ดังนั้น เจ้าหนี้นี้มิใช่นายและเราไม่ใช่ขี้ข้าไม่ต้องไปหวาดกลัวเขา ถ้าเจ้าหนี้กับลูกหนี้ปฏิบัติต่อกันแบบให้เกียรติ ในบทบาทหน้าที่ของกันและกันเช่นนี้ได้รับรองไม่มีทางหนี้สูญ
บทที่ 24 สิ่งที่ลูกหนี้ทุกคนต้องรู้แต่ไม่มีใครสอน
ถ้าไม่มีเงินจะซื้ออะไรแล้วต้องขอเงินใครเขามาก่อน ไม่ว่าจะรูดบัตรเครดิต กู้ไฟแนนซ์รถยนต์ หรือยืมเงินแฟนมาก็ตาม แสดงว่ากำลังเปลี่ยนสถานะจากลูกค้ามาเป็นลูกหนี้แล้ว ต่อไปนี้คือเรื่องที่ต้องรู้เพื่อจะได้เป็นหนี้แบบมีสติ
- หนี้สินมี 2 ประเภท คือ
หนี้ดีคือหนี้ที่ก่อให้เกิดทรัพย์สินหรือสร้างรายได้ หนี้ซื้อบ้านหรือที่ดินสำหรับอยู่อาศัยขายต่อเพื่อเอากำไร หรือให้เช่าเพื่อเกิดรายได้
หนี้เลวคือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดทรัพย์สินหรือสร้างรายได้ เช่น รถยนต์ ของใช้ฟุ่มเฟือย ตู้เย็น ทีวีสี คอมพิวเตอร์ เครื่องประดับ มือถือ บรรดาของประดับเงินผ่อนทั้งหลาย
- หลักการปลดหนี้ที่ถูกต้อง จงจดรายการหนี้แต่ละรายออกมา โดยไล่เรียงตั้งแต่ยอดหนี้กับดอกเบี้ยแต่ละราย เพื่อตรวจสอบยอดหนี้ที่ต้องชำระว่ายอดไหนเยอะสุด กับอัตราดอกเบี้ยว่าที่ไหนคิดสูงสุด ทั้งนี้เพื่อกำหนดว่าจะเริ่มชำระหนี้อันใหม่ให้หมดก่อนโดย
เริ่มปลดหนี้ยอดหนี้น้อยสุดก่อน แล้วค่อยไล่ปลดหนี้ก้อนที่โตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเก็บยอดหนี้สูงสุดไว้เจ้าสุดท้าย วิธีนี้ใช้กันทั่วโลก กลยุทธ์คือเพื่อให้ลดจำนวนเจ้าหนี้ให้น้อยลงโดยเร็วที่สุด
เริ่มปลดหนี้ที่ต้องเสียดอกเบี้ยสูงสุดก่อน แล้วทยอยไล่ไปจนถึงรายที่ดอกเบี้ยน้อยที่สุด ต้องคำนวณว่าหนี้รายไหนแม้ยอดหนี้จะน้อยกว่าเจ้าอื่นก็ตาม ทว่าดอกเบี้ยท่วมต้นแล้วเริ่มทำการปลดหนี้ตัวนั้นก่อนเลย
- ข้อเรียกร้องหรือข้อตกลง จงขยันทำเป็นลายลักษณ์อักษร ทุกครั้งที่มีการเจรจาให้ทำจดหมายลงรายละเอียดการเจรจาส่งไปที่ธนาคารหรือตัวแทนเจ้าหนี้ทุกครั้ง โดยระบุชื่อ นามสกุล เลขที่บัญชีลูกหนี้ พร้อมชื่อนามสกุลและตำแหน่งของตัวแทนเจ้าหนี้ที่มาเจรจา เพราะ
- จดหมายเป็นการันตีได้ดีที่สุดว่าเป็นลูกหนี้ที่เข้าเจรจากับเจ้าหนี้แล้ว
- เป็นการยืนยันกับบริษัทเจ้าหนี้ว่าตัวแทนของท่านคนนั้นคนนี้ได้มาทำข้อตกลงไว้เรียบร้อยแล้ว
- ดอกเบี้ยค่าผิดนัดสามารถลดได้ถึงดอกเบี้ยตามเกณฑ์สิทธิ์ ธนาคารเจ้าหนี้เขามีวิธีคิดดอกเบี้ย 2 แบบ แบบแรกคือดอกเบี้ยปรับค่าผิดนัดชำระที่ทบต้นทบดอก กับดอกเบี้ยตามเกณฑ์สิทธิ์คือจำนวนเงินค่าดอกเบี้ยที่เขาให้ลูกหนี้กู้ยืมไปจนถึงจุดคุ้มทุนไม่ขาดทุน ลูกหนี้ต้องรู้มันจำเป็นมากเวลาเจรจาต่อรองเรื่องขอลดยอดหนี้กับขอตัดหนี้ปิดหนี้บัญชี เพราะถ้าไม่รู้ว่าจุดคุ้มทุนของธนาคารที่ให้กู้ยืมเงินมาทำอะไรก็แล้วแต่ จะกู้ไปซื้อบ้าน กู้ไปทำทุนธุรกิจ หรือกู้สินเชื่อส่วนบุคคลก็ตาม จะเจอเจ้าหนี้เสนอแต่ตัวเลขเงินต้นบวกดอกเบี้ยเต็มเพดานทั้งปีมาให้ชดใช้แล้ว เวลาคิดจะต่อรองขอลดยอดหนี้ เขาจะไม่มีความมั่นใจที่จะต่อรอง เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องอยู่ในมือนั่นเอง การมีข้อมูลที่แท้จริงในมือ จะทำให้เจรจาได้อย่างมั่นใจมีหลักการ และอยู่บนเหตุและผลตามความเป็นจริง
- ค้างชำระเกิน 30 วันจึงจะเรียกว่าค้างชำระแล้วลงบันทึก
- ติดเครดิตบูโรทำไงดี เครดิตการเงินที่เสียจะมีผลทำให้กู้ยืมที่จำเป็นไม่ได้ไปเป็นเวลาหลายปี แต่มันไม่ใช่จุดจบ เพราะมีโอกาสฟื้นตัวได้หลัง 3 ปี
- ลูกหนี้สามารถกอบกู้เครดิตได้หลังเจอหนี้เสีย ความกลัวเรื่องเครดิตเสียเป็นเพราะขาดความรู้ ความเป็นจริงคือทุกอย่างแก้ไขได้ ขนาดคนล้มละลายยังกอบกู้เครดิตเสียของตัวเองได้ภายในไม่กี่ปีเลย ถ้าใช้วิธีแก้ไขที่ถูกต้องและตั้งใจแน่วแน่จริง ๆ วิธีกอบกู้เครดิตหลังเป็นหนี้คือ
- ขณะทำการปลดหนี้จงจ่ายตรงเวลาทุกงวด แล้วเก็บหลักฐานไว้ทุกชิ้น
- หนี้สินตัวไหนที่จ่ายตรงเวลาให้รักษาเครดิตไว้ตลอด
- อย่าก่อหนี้ซ้ำซาก
การปลดหนี้จะสำเร็จได้แค่จดจำในหัวใจ 2 เรื่องนี้คือ มันต้องอาศัยเวลากับวินัยอย่างใหญ่หลวง
ภาคที่ 4 สรุปเนื้อหา
บทที่ 25 กฎทอง 5 ข้อเพื่ออิสรภาพและความผาสุกทางการเงิน
กฎทองที่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีอิสระเสรี และมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมีความสุข กฎ 5 ข้อนี้จำไว้เสมอปฏิบัติตลอดเวลา จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
กฎข้อที่ 1 ทันทีที่รับรายได้ จ่ายให้ตัวเองก่อน (ออมเงิน)
กฎข้อที่ 2 ซื้อเฉพาะของที่มีคุณค่า โดยเทียบคุณค่ากับราคา
กฎข้อที่ 3 จ่ายเงินตรง และลงบันทึกการเงิน
กฎข้อที่ 4 ตั้งเป้าหมายการเงิน แล้วเดินตามแผน
กฎข้อที่ 5 ให้ก่อน แล้วจึงได้รับ
ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของชีวิตการเงินที่ผาสุกนี้ได้ ปลดปล่อยตัวเองจากความเครียดความกลุ้มเรื่องเงินตลอดเวลาได้ สามารถเป็นไทยแก่ตัวเอง ไม่ต้องคอยพึ่งพาเงินทองจากใครได้ และสร้างตัวเองจากคนยากจนหาเช้ากินค่ำหรือล้มละลายให้กลายเป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยแบบยั่งยืนได้ ถ้ายึดมั่นทำตามกฎทอง 5 ข้อนี้
บทที่ 26 คำคมจากในเล่ม
เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินและความร่ำรวยอย่างเปี่ยมสุขและยั่งยืน
ความรู้เรื่องเงิน
ชีวิตเป็นเรื่องของการมีสมดุล การจัดการเงินก็เช่นกัน
หายนะหรือมั่งคั่งอยู่ที่ตัวเรานี่เอง ไม่ใช่วาสนา
เงินจะอยู่กับคนที่พร้อม
รายได้
โลกนี้มีรายได้จากทุกทิศทางไร้ขีดจำกัดจริง ๆ
ทั่วพื้นปฐพีมีขุมทรัพย์ให้ค้นหา
เลิกคิดติดกรอบอย่างเดียวว่าเงินรายได้มาจากแหล่งเดียวเท่านั้นคือจากงานที่ทำ
การใช้จ่าย
อยากมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ หรือปลดหนี้ปลดสินได้ ไม่ได้อยู่ที่ต้องหาเงินให้มากขึ้น แต่อยู่ที่จงใช้จ่ายให้น้อยลงต่างหาก
การที่เราใช้เงินไปกับอะไรและใช้จ่ายได้ดีแค่ไหน จะสอดคล้องกับคุณค่าในตัวเราเองอย่างแยกไม่ออก
แยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือของที่เราอยากได้กับจำเป็น
การออมเงิน
การออมเงินไม่ได้เกี่ยวกับตัวเงินอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับทัศนคติที่คุณมีต่อตัวเอง
การออมเงินไม่ได้สร้างแค่ฐานชีวิตที่มั่นคงเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วมันเป็นการสร้างความรู้สึกชื่นชมยกย่องตัวเองต่างหาก
การเห็นคุณค่าของนิสัยการออม สัมพันธ์กับความรู้สึกดีกับตัวเองอย่างแยกไม่ออก
การตั้งเป้าหมายทางการเงิน
เป้าหมายการเงินช่วยให้ชัดเจนและแน่วแน่กับตัวเองว่าสิ่งไหนจำเป็นที่สุดสำหรับชีวิต และต้องการอะไร ซึ่งทำให้มีความสุขที่สุด แล้วเริ่มทำตามขั้นตอนเพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายนั้น
การตั้งเป้าหมายการเงินที่กระตุ้นให้เกิดการใช้เงินอย่างรู้คุณค่า จะช่วยคนตระหนี่ให้คลายความยึดมั่นถือมั่นในเงินลงได้
อิสรภาพทางการเงิน
อิสรภาพทางการเงินคือสภาวะมีอิสระเสรีภาพพอจะเลือกใช้ชีวิต และเลือกอาชีพแบบที่ตนเองต้องการได้ โดยไม่หวาดกลัวว่าจะมีเงินไม่พอ
ชีวิตแบบที่ต้องพึ่งพาคนอื่นนอกจากขาดอิสรภาพ แล้วยังขาดความภาคภูมิใจ และขาดอำนาจในตัวเอง
ตราบใดที่เราต้องแลกชีวิตของเรากับค่าจ้าง เราจะใช้ชีวิตแบบเอาตัวรอดไปวันต่อวัน และมีทางเลือกจำกัดจำเขี่ยเต็มที่
อยากบรรลุความฝัน
มันน่าเศร้าแค่ไหนที่คนมากมายพอแก่ตัวขึ้นก็เลิกฝันเพียงเพราะไม่มีเงิน
ความฝันหลายอย่างจะเป็นจริงได้ต้องใช้เงิน
วิธีบรรลุความฝันของคุณคือ 1. ระบุความฝันให้ชัดเจนและ 2. จงร่างแผนการเงินเพื่อบรรลุความฝันนั้น
การขุดรากถอนโคนนิสัยใช้เงินผิดประเภทและหนี้สิน
ถ้าไม่ดูแลใส่ใจอนาคตทางการเงินของตัวเอง ก็ไม่มีใครจะมาดูแลเงินแทนได้
ต้นตอปัญหาการเงินของเราไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่เป็นการขาดวินัยเรื่องใช้เงินอย่างแสนสาหัส
นิสัยใช้เงินล่วงหน้าที่ตัวเองยังไม่มีนี่แหละทำให้พวกเรามีหนี้สินล้นพ้นตัว
การเป็นผู้ให้
ความตระหนี่เป็นตัวหยุดพลังงานไหลเวียนของเงินเข้าและออกโดยสิ้นเชิง
คนตระหนี่คือคนที่แร้นแค้นจากภายใน