สรุปหนังสือ อัจฉริยะหุ้นคุณก็เป็นได้

สั่งซื้อหนังสือ “อัจฉริยะหุ้นคุณก็เป็นได้” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก

อัจฉริยะหุ้นคุณก็เป็นได้

YOU CAN BE A STOCK MARKET GENIUS

ผู้เขียน : Joel Greenblatt

เรียบเรียงโดย : ชัชวนันนท์ สันธิเดช

โจเอล กรีนแบล็ตต์ ผู้จัดการกองทุนชื่อดัง ผู้เอาชนะดาวโจนส์ด้วยผลตอบแทนห้าสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี ได้อย่างต่อเนื่องถึงหนึ่งทศวรรษ และในหนังสือที่อ่านง่ายสุดๆเล่มนี้ เขาจะแสดงให้เห็นว่าเขาทำมันได้อย่างไร คุณจะพบกับโอกาสในการลงทุน ซึ่งบรรดาผู้บริหารพอร์ตการลงทุน และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนตัวท็อปมักพลาดไป สิ่งที่รอคุณอยู่นั่นคือความได้เปรียบมหาศาลเหนือกว่าพวกพ่อมดในวอลล์สตรีทที่รอให้คุณมาเก็บเกี่ยว นี่คือแผนที่ส่วนตัว ที่จะนำพาคุณไปสู่สถานการณ์พิเศษต่างๆในการลงทุน ซึ่งเป็นโอกาสทำกำไรก้อนโต

บทที่ 1

เดินตรงไปเรื่อยๆบนถนนอิฐเหลือง แล้วค่อยเลี้ยว

ไม่มีเหตุผลใดเลยที่หนังสือเล่มนึงจะสอนวิธีรวยในตลาดหุ้นแก่คุณ เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะไปสู้กับบรรดาผู้จัดการกองทุนพันล้านหมื่นล้าน ที่มีจำนวนเป็นกองทัพได้อย่างไร แต่ถ้าคุณพร้อมลงทุนเวลาและความพยายามในระดับหนึ่งกำไรจะตลาดหุ้นหรือแม้แต่ความร่ำรวยกำลังรอคุณอยู่

คำตอบของความย้อนแย้งที่เห็นกันอยู่โต้งๆว่าทำไมคุณจึงสามารถเอาชนะพวกที่ถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญในตลาดหุ้น ได้แบบไม่เห็นฝุ่น ก็อยู่ที่การใช้ความคิดในเชิงวิชาการ ถ้าเป้าหมายของคุณคือการชนะตลาด วุฒิเอ็มบีเอหรือดอกเตอร์จากคณะบริหารธุรกิจระดับท็อปนั้นแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยในทางปฏิบัติ ทฤษฎีซึ่งมักถูกเรียกว่าทฤษฎีตลาดทรงประสิทธิภาพหรือทฤษฎี “การเดินสุ่ม” ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนนับหมื่นแสนร้ายได้ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนหนึ่งๆ ซึ่งเปิดเผยเป็นสาธารณะทั้งหมดแล้ว และด้วยการตัดสินใจซื้อขายของพวกเขาหุ้นแต่ละบริษัทจึงอยู่ในราคาที่ถูกต้องอยู่แล้ว

เนื่องจากการเอาชนะตลาดเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อาจารย์ด้านการเงินจึงใช้เวลามากมายเพื่อสอนเรื่องต่างๆ อย่างการเขียนโปรแกรมอิงพารามิเตอร์ซึ่งแปลความหมายหยาบๆได้ว่า เป็นการจัดการพอร์ตด้วยการเลือกหุ้นแบบกระจายความเสี่ยงโดยใช้สามมิติ พูดอีกอย่างก็คือ คุณจะมีโอกาสทำผลตอบแทนได้เท่ากับค่าเฉลี่ยของตลาด แต่สารที่จะสื่อนั้นชัดเจนมากๆนั่นคือ “คุณไม่มีทางชนะตลาด ดังนั้นอย่าแม้แต่จะคิดลอง” และเชื่อไหมว่าคนจบเอ็มบีเอและด็อกเตอร์จำนวนมากเคยจ่ายราคาอันแสนแพงมาแล้วเพราะหลงเชื่อคำเเนะนำห่วยๆนี้

มีเหตุผลสองประการว่าเพราะเหตุใดเราจึงไม่ควรเชื่อฟังคำสอนของอาจารย์ทั้งหลาย ประการแรก ข้อสันนิษฐานและระเบียบวิธีที่นักวิชาการใช้กันนั้นมีจุดอ่อนเชิงพื้นฐานอยู่ เป็นจุดอ่อนที่เดี๋ยวเราจะมาว่ากัน แต่นั่นไม่ใช่จุดเน้นหลักของหนังสือเล่มนี้ ประการที่สอง ซึ่งสำคัญกว่า คือต่อให้ครูบาอาจารย์โดยทั่วไปผู้ถูกและตลาดโดยทั่วไปแล้วมักมีประสิทธิภาพไม่มากก็น้อย การศึกษาวิจัยและข้อสรุปของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ใช้กับคุณไม่ได้

คำท้าจากมืออาชีพ

ผมเคยคุยกับมืออาชีพคนหนึ่ง ซึ่งผมมองว่าเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดในธุรกิจนี้แล้ว บ็อบเป็นผู้ดูแลกองทุนหุ้นมูลค่าหนึ่งหมื่นสองพันล้านเหรียญให้กับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ บ็อบบอกวิธีวัดความสำเร็จของเขาก็คือ ดูผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับดัชนีสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (S&P 500) อันที่จริงสถิติของบ็อบถือว่าเข้าขั้นมหัศจรรย์ ในรอบสิบปีที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของเขาเอาชนะ เอสแอนด์พีห้าร้อยได้ถึงปีละ 2-3 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าชัยชนะปีละ 2 เปอร์เซ็นต์เมื่อทบต้นเข้าไป 20 ปีพอจะมีขนาดต่างกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมบอกว่าผมตอบแทนของบ็อบมหัศจรรย์ เหตุผลที่ตอบแทนของบ็อบน่าประทับใจ เพราะในการบริหารพอร์ตหลายหมื่นล้านเหรียญผลตอบแทนระดับนี้ถือว่ายากมากที่จะเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอ

โดยสัญชาตญาณแล้ว คุณคงเห็นด้วยว่าการถือหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงถือเป็นข้อได้เปรียบ หากมีหุ้นที่เลือกแล้วพลาด มันจะได้ไม่ทำลายทั้งผลตอบแทนในบรรทัดสุดท้ายและความมั่นใจของคุณด้วย ในทางตรงกันข้าม จำนวนของตัวหุ้นที่เหมาะสมที่จะถือคือเท่าไหร่ 50, 100 หรือ 200 ตัวกันแน่ สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าการกระจายการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้เพียงส่วนหนึ่ง เท่านั้น ถึงแม้คุณจะกลัวเจ๊งจนกระจายเงินออกไปถือหุ้นถึง 9,000 ตัว คุณก็ยังมีความเสี่ยงจากการที่ตลาดขึ้นลงไม่พ้น ความเสี่ยงที่ว่านี้เรียกกันว่าความเสี่ยงตลาด จะไม่มีทางหมดไปแม้ว่าคุณจะกระจายการลงทุนได้อย่างเพอร์เฟคสุดๆแล้วก็ตาม

สถิติชี้ชัดว่า การถือหุ้น 2 ตัวช่วยลดความเสี่ยงถึง 46 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการถือหุ้นตัวเดียวโดดๆ และความเสี่ยงประเภทนี้ลดลงถึง 72 เปอร์เซ็นต์หากคุณถือหุ้น 4 ตัวไว้ในพอร์ต ลดลง 81 เปอร์เซ็นต์หากถือหุ้น 8 ตัว ลดลง 93 เปอร์เซ็นต์หากถือหุ้น 16 ตัว ลดลง 96 เปอร์เซ็นต์หากถือหุ้น 32 ตัว และลดลง 99 เปอร์เซ็นต์หากถือหุ้น 500 ตัว ซึ่งสิ่งที่ควรจำไว้โดยไม่ต้องไปท่องจำสถิติเหล่านี้ก็คือ

  1. หลังจากซื้อหุ้น 6-8 ตัวในอุตสาหกรรมต่างๆแล้ว ประโยชน์จากการเพิ่มตัวหุ้นที่จะถือเข้าไปและลดความเสี่ยงนั้นจะน้อยมาก
  2. ความเสี่ยงตลาดโดยรวมจะไม่หมดไปเพียงเพราะการเติมตัวหุ้นเข้าไปในพอร์ต

บ็อบจำเป็นต้องมีหุ่นที่แตกต่างกันจำนวนหนึ่งเพื่อกระจายความเสี่ยงในจุดที่ลงตัวที่สุด พูดง่ายๆก็คือบ๊อบจำเป็นต้องมีไอเดียในการลงทุนที่ยอดเยี่ยมให้เยอะเขาไว้แล้วเลือกลงทุนจากหุ้นจำนวนจำกัดที่มีคนติดตามมากที่สุดก่อนที่จะซื้อหรือขายหุ้นแต่ละตัวในจำนวนมากๆโดยไม่ให้กระทบต่อราคาของมัน และผลตอบแทน อยู่ในระดับดีซึ่งถูกตัดสินกันเป็นรายไตรมาสหรือแม้แต่รายเดือน

เคล็ดลับสู่ความร่ำรวยของคุณ

หากคุณใช้พลังงานไปกับการมองหาแล้ววิเคราะห์สถานการณ์ที่ไม่ได้ถูกติดตามใกล้ชิดจากนักลงทุนที่มีข้อมูลคนอื่นๆ โอกาสในการหาหุ้นลดราคาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทริคก็คือต้องหาโอกาสเหล่านั้นให้เจอ

ก็เหมือนกับเรื่องเก่าเล่าใหม่เกี่ยวกับช่างประปาที่มาบ้านคุณ เขาเคาะท่อน้ำครั้งนึงแล้วบอกว่า “ค่าซ่อมหนึ่งร้อยเหรียญครับ” “หนึ่งร้อยเหรียญเชียวเหรอ” คุณอุทาน คุณแค่เคาะท่อครั้งเดียวเนี่ยนะ

“ผิดแล้ว” ช่างประปาสวนกลับ “ค่าเคาะท่อแค่ห้าเหรียญอีกเก้าสิบห้าเหรียญคือรู้ว่าจะเคาะท่ออันไหน”

ในตลาดหุ้นการจะรู้ว่าเคราะตรงไหนคือเคล็ดลับสู่ความร่ำรวยจงจำไว้ให้ขึ้นใจ แล้วมาหาที่ซ่อนของกำไรในตลาดด้วยกันเถอะ

บทที่ 2

ปูพื้นสักเล็กน้อย อย่าออกจากบ้านโดยไม่มีสิ่งเหล่านี้

ถ้าไม่มีความรู้และความเข้าใจขั้นพื้นฐาน คุณก็ไม่สามารถแยกแยะการลงทุนที่ยอดเยี่ยมออกจากการลงทุนแย่ๆได้หรอ ดังนั้นก่อนที่จะไปไล่ล่าเพชรเม็ดงามในป่าหลังตลาดหุ้น ขอให้รู้พื้นฐานเหล่านี้ไว้ซึ่งจะช่วยคุณได้ในการค้นหา

ปูพื้นสักเล็กน้อย

  1. จงทำการบ้านด้วยตนเอง : มีสองเหตุผลที่คุณควรทำการบ้านด้วยตนเอง ข้อแรกนั้นง่ายๆ คือคุณไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าคุณอยากจะศึกษาสถานการณ์ที่คนอื่นมองข้าม ขณะที่คุณจะพบมันได้มากนักในสื่อหรือข่าวของการลงทุน อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งต้องทำการบ้านเองก็คล้ายๆกับข้อแรก ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยนิดที่วิเคราะห์โอกาสในการลงทุน สิ่งที่ตามมาก็คือคุณจะได้รับโอกาสอันดีในการประเมินผลตอบแทนที่จะได้รับต่อความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ ผลตอบแทนสำหรับหยาดเหงื่อและการวิเคราะห์คือโอกาสการลงทุนในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่มากจนไม่สมเหตุสมผล และผลตอบแทนอันมากเป็นพิเศษนั่นไม่ใช่ผลลัพธ์จากการยอมเสี่ยงครั้งใหญ่แต่จะเป็นผลตอบแทนอันสมควรได้รับจากการทำการบ้านมาอย่างดี
  2. อย่าเชื่อใครก็ตามที่อายุมากกว่า 30 ปี
  3. อย่าเชื่อใครก็ตามที่อายุ 30 ปีหรือน้อยกว่า

โอกาสที่ใครสักคนจะโทรมาหาคุณและให้คำแนะนำในการลงทุน ดีๆก็มีพอกับการถูกลอตเตอรี่โดยไม่ได้ซื้อคือโอกาสน้อยสุดหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สถิติความแม่นยำของงานวิจัยโดยนักวิเคราะห์ในการพยากรณ์กำไรในอนาคตหรือราคาหุ้นต้องถือว่าค่อนข้างแย่ แล้วถ้าคุณเชื่อว่าสถิติของบริษัทโบรกเกอร์เล็กๆ ที่ชวนให้คุณลงทุนในเพนนีสต๊อกจะดีกว่า ขอให้มาเอาเงินค่าหนังสือคืนจากผมได้เลย เพราะแม้แต่ลูกค้าสถาบันของบริษัทลงทุนดังๆก็ยังไม่ได้รับคำแนะนำที่ดีเท่าไรนัก

  1. เลือกที่ทางของตนเอง : คุณเลือกไม่ได้เสมอไปว่าจะสู้ในสงครามไหนหรือจะสู้ในสนามรบใด แต่ในตลาดหุ้นคุณเลือกได้ สิ่งนี้สะท้อนออกมาผ่านคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่บอกว่า “หวดครั้งเดียวพอจาก 20 พิตซ์ เพราะในวอลสตรีทไม่มีสไตล์ หรือรอให้ถึงพีตซ์ของคุณ” คนเล่นม้าที่เก่งที่สุดคือคนที่ไม่เดิมพันกับการแข่งขันทุกครั้งแต่จะเลือกวางเงินในครั้งที่มั่นใจว่าจะชนะแน่ๆ เป็นเรื่องที่มีเหตุผลอยู่ที่จะจำกัดการลงทุนของตน ในสถานการณ์ที่เรามี ความมั่นใจ ในระยะยาวหมายถึง 20 หรือ 30 ปี หุ้นแม้จะให้ผลตอบแทนขึ้นลงในแต่ละปีก็อาจจะเป็นการลงทุนที่น่าดึงดูดที่สุด ด้วยเหตุผลนี้การมีพอร์ตหุ้นที่กระจายไปในจำนวนหุ้นที่มากๆ ก็อาจทำให้คุณได้รับผลตอบแทนพอๆกับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของหุ้นการได้รับผลตอบแทนหนักค่าเฉลี่ยก็ถือว่าไม่เลวร้ายอะไรนัก อย่างไรก็ตามหากเป้าหมายของคุณคือต้องการทำให้ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยก็จงเลือกให้ดีเหวี่ยงไม้ครั้งเดียวจากโอกาส 20 ครั้งเสิร์ฟบอลให้เจ๋งไปเลย
  2. อย่าซื้อหุ้นเพิ่ม เอาเงินเก็บไว้ในแบงก์ : อันที่จริงแล้วไม่ว่าคุณจะซื้อหุ้นจำนวนมากแค่ไหน การลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินที่คุณจะต้องใช้ภายใน 2 หรือ 3 ปี เป็นค่าเช่าหรือค่าผ่อนบ้าน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน หรือความจำเป็นอื่น ก็เสี่ยงตั้งแต่แรกอยู่แล้วจงจำไว้ว่าการเบี่ยงไปมาของผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์เป็นรายปีนั้นสูงมาก แม้คุณจะกระจายการลงทุนไปในหุ้นมากกว่า 9,000 ตัวก็ตาม สุดท้ายแล้วขอให้เชื่อเถอะว่าการขายหุ้นในเวลาที่คุณต้องการเงินนั้นไม่ใช่วิธีการลงทุนที่มีประสิทธิผลเลย
  3. จงมองล่าง อย่ามองบน : วิธีหนึ่งในการสร้างสถานการณ์ความเสี่ยง ต่อผลตอบแทนที่น่าสนใจ ก็คือการกำจัดโอกาสขาลงของความเสี่ยงให้มากเข้าไว้ด้วยการลงทุนเฉพาะในสถานการณ์ที่มีส่วนต่างแห่งความปลอดภัยสูงเท่านั้น และเมื่อนั้นโอกาสขาขึ้นแม้ยากที่จะวัดได้ก็จะดูแลตัวของมันเองพูดอีกอย่างก็คือ จงมองล่างอย่ามองบน ในการตัดสินใจลงทุนครั้งแรกถ้าไม่ขาดทุนเสียอย่างก็จะมีโอกาสดีๆให้เลือกลงทุนอีกเยอะ แม้พื้นฐานนี้จะง่ายมากๆแต่ก็ยากที่จะหาคิดสูตรคณิตศาสตร์อันซับซ้อนเพื่ออธิบายมัน แต่เอาเถอะ อย่างไรก็อย่าให้โอกาสขาลงมีมากนักก็แล้วกัน
  4. ถนนสู่สวรรค์ของการลงทุน มีมากกว่าหนึ่งสาย : แน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณตกที่นั่งลำบาก ระหว่างค้นหาการลงทุนที่น่าสนใจในตลาด คุณย่อมอยากจะวิเคราะห์จนสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือการลงทุนที่โง่อะไรคือการลงทุนที่ฉลาด อย่างไรก็ตามแม้นี้จะเป็นเป้าหมายที่คู่ควรและไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเสมอไป การประยุกต์ใช้บทเรียนบางประการจากเหล่าเซียน อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนของคุณเข้าที่เข้าทางมากขึ้น หรือในทางบวกที่สุด ด้วยความที่การเลือกจุดเน้นในการลงทุนคือหนึ่งในกุญแจสู่ความสำเร็จการเดินตามหลักการขั้นพื้นฐานของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็น่าจะช่วยให้คุณมุ่งเน้นอยู่เสมอโดยไม่หลุดออกนอกเส้นทาง

ที่ซ่อนลับของกำไรในตลาดหุ้น

เอาล่ะว่ากันมาพอสมควรแล้วทีนี้ที่ซ่อนลับของกำไรในตลาดหุ้นมันอยู่ที่ไหนกันแน่  แม้จะเรียนรู้วิธีค้นหาไอเดียใหม่ๆจนทะลุปรุโปร่งแล้ว หากคุณหวังว่าจะค้นเจอแม้เพียงโอกาสเล็กน้อยจากโอกาสทั้งหมดที่มีอยู่ในสถานการณ์พิเศษของบริษัทต่างๆ มันก็คงเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน ในทางตรงกันข้ามการทำกำไรก้อนโตโดยตลอดชีวิตการลงทุนของคุณจากหุ้นที่คุณติดตาม เป็นสิ่งที่เป็นไปได้แน่นอน

ไม่นานมานี้ การศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเอง ยิ่งง่ายลงกว่าเดิม ข้อมูลในสมัย ก่อน ไม่ได้เข้าถึงง่ายขนาด ถึงเวลานี้ข้อมูลลักษณะเดียวกันมีพร้อมอยู่แล้วในอินเตอร์เน็ต โดยต้นทุนค่าโทรศัพท์เพียงครั้งเดียวแต่อย่างไรก็ตามตัวคุณเอง ต้องอยากอ่านมันเสียก่อนไม่ใช่นั้นแม้จะเข้าถึงได้ง่ายแค่ไหนก็คงไม่มีประโยชน์

แล้วการลงทุนในสถานการณ์พิเศษเหล่านี้มีข้อเสียตรงไหนหรือไม่ ก็มีอยู่สองประการที่นึกขึ้นมาได้ทันที ประการแรกคือ คุณต้องทำงานหนักสักหน่อย แต่ข่าวดีก็คือคุณจะได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างดี ข้อเสียอีกประการหนึ่งซึ่งอาจสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับกรณีแรกของคุณก็คือ ม้เหตุการณ์พิเศษเหล่านี้ บางเหตุการณ์จะดำเนินอยู่หลายปีแต่ บางเหตุการณ์ก็ดำเนินอยู่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ความได้เปรียบจากการลงทุนจะอยู่ในระดับสูง ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นหรือทันทีหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิด โอกาสแห่งการลงทุนอาจเกิดขึ้นแค่แปปเดียวและระยะเวลาการถือของคุณก็อาจจะสั้นตามไปด้วย การจะเข้าไปถือหุ้นในสถานการณ์พิเศษเป็นจำนวนมากๆเพื่อให้เกิดอิมแพคต่อพอร์ตการลงทุนโดยรวมจึงมักเป็นเรื่องยาก

บทที่ 3

หุ้นหล่นไม่ไกลต้น : สปินออฟ สปินออฟบางส่วน และการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อผู้ถือหุ้นเดิม

การมองหาการลงทุนในที่ๆคนอื่นไม่มองนั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่เท่านั้นยังไม่พอ คุณต้องมองหาในที่ที่ถูกต้องด้วย

 สปินออฟ

มันคือเขตแดนของบริษัทที่ถูกแยกออกจากบริษัทแม่ซึ่งมักเรียกกันว่า “สปินออฟ” สปินออฟอาจอยู่ในหลากหลายรูปแบบด้วยกัน แต่ผลลัพธ์สุดท้ายมันมักจะเหมือนกันทั้งหมด คือบริษัทนึงเอาบริษัทลูก ฝ่ายงาน แผนก หรือส่วนหนึ่งของธุรกิจแยกออกจากตัวของมัน โดยสร้างขึ้นมาเป็นบริษัทใหม่ที่เป็นอิสระและอยู่ได้ด้วยตัวเอง มีหลายเหตุผลที่ทำให้บริษัทเลือกที่จะแยกตัวออกจากบริษัทแม่ แต่มีเหตุผลประการเดียวที่คุณควรจะให้ความสนใจมัน ก็คือข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้เห็นกันมาเยอะแล้วว่า หุ้นของบริษัทสปินออฟ และแม้แต่หุ้นของบริษัทแม่ที่ทำสปินออฟ มักเอาชนะค่าเฉลี่ยของตลาดได้อย่างมากและชนะได้อยู่เสมอ

มีการศึกษาชิ้นหนึ่งซึ่งทำโดยแพนน์สเตท ที่ศึกษาระหว่างช่วงระยะเวลา 25 ปีพบว่าหุ้นของบริษัทสปินออฟทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมและ S&P 500 ราว 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปีในช่วง 3 ปีแรกที่แยกตัวออกมา และบริษัทแม่ยังทำผลตอบแทนได้ดีพอตัวอีกด้วย

ถ้าคุณยอมรับสมมติฐานที่ว่านี้ในระยะยาวตลาดจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปีก็หมายความว่าในทางทฤษฎีแล้ว การชนะตลาดได้เฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์จะทำให้คุณได้รับผลตอบแทน 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ถ้าคุณอยากทำการบ้านเองสักหน่อย การเลือกสถานการณ์สปินออฟที่คุณชอบไม่ใช่แค่สุ่มซื้อไปทุกบริษัทก็ควรให้ผลตอบแทนมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ  แต่ก่อนที่จะเข้าใจว่าทำไมและอย่างไรเรามาศึกษาพื้นฐานกันสักนิดเถอะ

  • ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันอาจถูกแยกออกมาด้วยวิธีสปินออฟเพื่อที่เมื่อแยกออกมาแล้วตลาดจะรับรู้มูลค่าของมันได้ดียิ่งขึ้น
  • บางครั้งแรงจูงใจในการสปินออฟเกิดจากความที่อยากจะแยกธุรกิจแย่ๆออกไปเพื่อให้ธุรกิจดีๆที่เบาตัวแล้วแสดงคุณค่าของมันออกมาให้นักลงทุนได้เห็น
  • บางครั้งการสปินออฟคือหนทางในการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นจากธุรกิจที่ขายได้ยาก
  • การคำนึงถึงเรื่องของภาษีอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจสปินออฟแทนที่จะขายทิ้ง
  • การสปินออฟอาจช่วยแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับกลยุทธ์การผูกขาด หรือระเบียบกฎเกณฑ์ และช่วยเปิดทางให้เกิดธุรกรรมหรือเปิดทางสู่การบรรลุวัตถุประสงค์อื่นๆด้วย

ไม่ว่าแรงจูงใจเบื้องหลังธุรกรรมสปินออฟจะเป็นอะไร แต่บริษัทที่ถูกสปินออฟออกไปไหม ก็มีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้เหนือกว่าตลาด เพราะอะไรน่ะหรือและมีเหตุผลใดที่มันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป

จากการศึกษา ของแผนสเตท กำไรสูงสุดจากหุ้นของบริษัทสปินออฟไม่ได้เกิดขึ้นในปีแรกหลังจากสปินออฟ แต่เกิดขึ้นเป็นปีที่สอง เป็นไปได้ว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม กวาที่แรงกดดันจากการเทขายจะหมดสิ้นไปจากหุ้นสปินออฟ

เลือกสิ่งที่ดีที่สุดของที่สุด

เรื่องต่อไปที่คุณจะอยากรู้ก็คือ แล้วคุณจะดึงความได้เปรียบให้มาเข้าทางของคุณมากขึ้นได้อย่างไร นักลงทุนมืออาชีพส่วนใหญ่ไม่แม้แต่จะคิดถึงสถานการณ์สปินออฟแบบแยกส่วน ตั้งแต่ยังไม่ได้ติดตามบริษัทสปินออฟเท่าไรนัก สิ่งที่พวกเขาทำได้ดีก็เพียงลงทุนในบริษัทประเภทหนึ่งที่มีขนาดหนึ่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปวดหัวกับการวิเคราะห์สถานการณ์พิเศษของบริษัทได้ ผลที่ตามมาก็คือแค่คุณทำการบ้านสักนิดโดยคิดถึงโอกาสอันจะเกิดขึ้นจากการสปินน้อมก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณได้เปรียบมหาศาล

ขุดหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่

คุณกำลังจะเข้าสู่สนามของการหาข้อมูลเพื่อการลงทุน ซึ่งเต็มไปด้วยเอกสารบริษัทหลากหลายหน้า และข้อมูล เป็นกองที่ยื่นต่อก.ล.ต. โดยเนื้อแท้แล้วกระบวนการมีสองขั้นตอนเท่านั้นขั้นแรกคือหาสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นคุณทรัพย์ให้เจอ หลายคันที่สองหลังจากเจอจุดมาหมดแล้ว คุณก็เริ่มลงมือขุดได้เลยโดยไม่มีเหตุผลใดๆ

ตลาดการเงินเองก็เป็นที่รู้กันอย่างดีว่าเอื้อต่อคนที่ชอบความเร็ว ในทางตรงกันข้ามการมีเวลาให้คิดและหาข้อมูลด้วยตนเองไม่ต้องเร่งรีบและไม่ต้องห่วงว่าจะมีเทคโนโลยีสื่อสารใหม่ๆอะไรออกมาบ้าง ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจนของนักลงทุนที่ไม่ใช่มืออาชีพอย่างเราเรา นอกจากนี้ เมื่อคุณใช้เวลาในการอ่านเอกสารเพื่อหาโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจจากการสปินออฟแล้วไม่ว่าจะเป็นตอนไหนอย่างไรคุณก็น่าจะพบอย่างน้อยหนึ่งหรือสองโอกาสเหมาะจากการสปินออฟที่คุณสามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาการลงทุนได้

การสปินออฟบางส่วน

ธุรกรรมการสปินออฟบางส่วนคือการที่บริษัทตัดสินใจสปินออฟหรือขายเพียงส่วนหนึ่งของ ธุรกิจของมัน แทนที่จะสปินออฟความเป็นเจ้าของร้อยเปอร์เซ็นต์ในแผนกนั้นๆให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือขายให้แก่ประชาชนทั่วไปบริษัทแม้จะเก็บหุ้นที่เหลือของแผนกนั้นไว้ทั้งหมด

ประโยชน์ของการศึกษาและติดตามการสปินออฟบางส่วนมีอยู่สองเด้ง เด้งแรกในกรณีที่หุ้นของบริษัทสปินออฟบางส่วนถูกแจกจ่ายโดยตรงแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทแม้หุ้นสปินออฟก็อาจทำผลงานได้ดีตามไปด้วย อันเป็นเหตุผลเดียวกันกับการหุ้นสปินออฟร้อยเปอร์เซ็นต์มักทนมักทำผลงานได้ดี โอกาสเด้งที่สองของคุณเกิดจากเหตุผลที่ต่างไปและนี่คือจุดที่คุณควรเอาทักษะมาใช้ คือการคำนวณหามูลค่า ของบริษัทนั้นๆ จากหุ้นที่ชำระอยู่แล้วของบริษัทที่ถืออยู่ หลังจากหักหุ้นที่สปินออฟบางส่วนออกไปแล้ว

เกล็ดจากคนใน ทำเองก็ได้ง่ายจัง

มีการลงทุนบางอย่างที่คนในสามารถควบคุมบริษัทที่จะเอาเข้าตลาดได้เบ็ดเสร็จ ด้วยคุณลักษณะเฉพาะนี้การวิเคราะห์การกระทำหรือแรงจูงใจของคนในสำหรับสถานการณ์สปินออฟจึงมีประโยชน์มากๆ เนื่องจากผู้ถือหุ้นทุกคนของบริษัทแม่จะได้รับหุ้นในบริษัทสปินออฟใหม่ หรือไม่ก็มีสิทธิซื้อหุ้นในบริษัทสปินออฟนั้นการแบ่งสินทรัพย์ระหว่างบริษัทแม่ จึงต้องแบ่งให้ยุติธรรม อย่างไรก็ตามคนในสามารถกำหนดโครงสร้างหรือเงื่อนไขของบริษัทสปินออฟเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์โดยไม่ถูกตรวจสอบแน่นอนว่าด้วยการมุ่งศึกษาแรงจูงใจของผู้บริหาร แล้วคนอื่นในบริษัทคุณจะสามารถแปรเปลี่ยนข้อได้เปรียบของคนในให้กลายเป็นข้อได้เปรียบของตัวคุณเองได้

 สรุปเรื่องการสปินออฟแบบเร็วๆ

  1. หุ้นสปินออฟโดยทั่วไปแล้วจะเอาชนะตลาดได้
  2. การเลื่อนเฉพาะบางธุรกิจในหมู่หุ้นสปินออฟทั้งหมดอาจช่วยให้คุณทำผลงานได้ดีกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสปินออฟโดยทั่วไป
  3. คุณลักษณะบางประการต่อไปนี้จะนำไปสู่โอกาสสปินออฟอันยอดเยี่ยม
  • นักลงทุนสถาบันไม่อยากได้หุ่นสปินออฟตัวนั้น
  • คนในอยากได้หุ่นสปินออฟนั้น
  • โอกาสในการลงทุนที่หลบซ่อนอยู่ถูกเปิดเผยออกมาด้วยการสปินออฟธุรกิจดังกล่าว
  1. คุณสามารถพบและวิเคราะห์โอกาสสปินออฟใหม่ๆได้ด้วยการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ด้านธุรกิจและติดตามเอกสาร ที่ยื่นต่อก.ล.ต.
  2. การให้ความสนใจกับบริษัทแม่จะให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม
  3. การสปินออฟบางส่วนและการเสนอขายบางส่วนอาจก่อให้เกิดโอกาสการลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะได้
  4. และแน่นอนจงจับตามองคนในไว้ให้ดี

บทที่ 4

เป็นความสามารถเฉพาะตัวห้ามลอกเลียนแบบ : การอาร์บิราจความเสี่ยงและหุ้นที่มีการควบรวมกิจการ

การอาร์บิราจความเสี่ยง

การอาร์บิราจความเสี่ยง หรือการควบรวมกิจการ คือการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่ประกาศว่าจะมีการควบรวมหรือเทคโอเวอร์กิจการกัน สิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ก็คือ การอาร์บิราจความเสี่ยงมักเป็นเรื่องของการเข้าซื้อหุ้นหลังการประกาศว่าจะมีการควบรวมกิจการ

นักอาร์บิราจความเสี่ยงกลับต้องรับความเสี่ยง ถึงสองประการด้วยกัน ประกาศแรก ดีลอาจจะไม่สำเร็จก็ได้ด้วยเหตุผลสารพัดเช่น เกิดจากปัญหาด้านกฎระเบียบ การเงิน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆในธุรกิจของบริษัทขึ้นระหว่างกระบวนการสอบทานธุรกิจ ความเสี่ยงประการที่สอง คือความเสี่ยงจากจังหวะเวลา การควบรวมกิจการอาจใช้เวลาตั้งแต่หนึ่งถึงสิบแปดเดือนขึ้นอยู่กับชนิด ของธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่เกิดขึ้น

 หลักทรัพย์ควบรวม

ทุกวันนี้มีสิ่งที่คุณอาจอยากทดลองทำที่บ้านเรียกว่าหลักทรัพย์ควบรวม แม้เงินสดและหุ้นจะเป็นรูปแบบที่ธรรมดาสามัญที่สุดในการใช้จ่ายเงินให้ผู้ถือหุ้นในสถานการณ์ของการควบรวมกิจการ แต่บางครั้งผู้ซื้ออาจใช้สินทรัพย์ชนิดอื่นๆเพื่อจ่ายแทนเงิน หลักทรัพย์พวกนี้เป็นไปได้ทั้งหุ้นกู้ทุกประเภท หุ้นบุริมสิทธิ โดยส่วนที่เหลือยังคงต้องจ่ายเป็นเงินสดหรือหุ้น

ในหลายกรณีสาเหตุที่ใช้หลักทรัพย์ควบรวมเพื่อจ่ายให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ถูกซื้อเป็นเพราะผู้ซื้อใช้ความสามารถของตนเองไปมากแล้วกับการระดมทุนหรือพยายามออกหุ้นเพิ่มทุน ในกรณีนี้หลักทรัพย์ควบรวมก็อาจถูกใช้เป็นตัวเพิ่มสีสันเพื่อให้ปิดดีลได้ชัวร์หรือเอาชนะผู้สนใจซื้อรายอื่นๆ ได้ในกรณีที่มีการประมูลแข่งขันกัน  หากเป็นสถาบันการเงินที่ฉลาดรอบรู้พวกเขาคุณจะคิดจนทะลุห้าตัวแรก ผลตอบแทน จนกว่าจะครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้อันเป็นผลจากการควบรวมกิจการนั้นออกมาโดยคิดอัตราดอกเบี้ยและวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนถึงผลประกอบการประสานพลังและตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ของพวกหุ้นกู้

 สรุปสั้นๆ

  1. การอาร์บิราจความเสี่ยง – อย่ายุ่ง
  2. หลักทรัพย์ควบรวม – ลุยเลย

บทที่ 5

เลือดที่นองบนถนน(หวังว่าจะไม่ใช้เลือดของคุณนะ) : การล้มละลายและปรับโครงสร้าง

การล้มละลายก็ฟังดูจะไม่น่าเป็นดินแดนแห่งโอกาสตรงไหนเลย ความจริงก็คือมันไม่ใช่จริงๆนั่นแหละ แม้หลักทรัพย์ของบริษัทมากมายที่อยู่ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการยื่นขอล้มละลายจะถูกตั้งราคาผิดผิด นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการล้มละลายทั้งหมด จะราคาถูกแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้ามเมื่อพูดถึงการลงทุนในเขตแดนแห่งการล้มละลายจงเลือกจุดที่เหมาะที่คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงการเจ๊งซะเองได้ หลังจากกระบวนการทบทวนทางเลือกอื่นๆในการลงทุน แห่งโลกของล้มละลายออกไปแล้วคุณควรจะสามารถเลือกจุดเหมาะภายในเขตแดนแห่งการล้มละลายมาเป็นขีปนาวุธแห่งการลงทุนของตัวคุณเอง

ถ้าหากในเมื่อหุ้นของบริษัทล้มละลายไม่ใช่คำตอบแล้วจะเหลืออะไรให้ซื้อล่ะ  คำตอบก็คือซื้อได้ทุกอย่างนั่นแหละ อันดับแรกเลยมีหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่ล้มละลายในบางกรณีหุ้นกู้เหล่านี้ซื้อขายกันที่ราคายี่สิบหรือสามสิบเปอร์เซ็นต์ของราคาหน้าตั๋ว นอกจากนี้ยังมีนี้ธนาคาร ในช่วงหลังมานี้มีตลาดค่อนข้างคึกคักผุดขึ้นมาสำหรับบรรดาหนี้ที่ผิดนัดชำระ ของบริษัทล้มละลายทั้งหลาย โดยนี้ธนาคารในบางสถานการณ์อาจซื้อขายกันที่ราคาเพียงส่วนเดียวของมูลค่าหนี้เดิมเท่านั้น นอกเหนือจากบรรดาหนี้ธนาคารต่างๆ ยังมีสิ่งที่เรียกว่าหนี้การค้า มันคือการเรียกเก็บเงินของซัพพลายเออร์ที่ยังไม่ได้รับการชำระค่าสินค้า หรือค่าบริการที่เคยขายหรือให้บริการแก่บริษัทก่อนยื่นล้มละลาย แม้การซื้อขายจะยุ่งยากซับซ้อนสักหน่อยแต่โบรกเกอร์จำนวนมาก ซึ่งชำนาญการในเรื่องการเทรดหลักทรัพย์ที่สิ้นหวังทั้งหลายก็มีตลาดเตรียมไว้สำหรับซื้อขายหนี้การค้าโดยเฉพาะ

ในขณะที่การลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่ล้มละลายมักตามมาด้วยความยุ่งยากซับซ้อนและความเสี่ยงสารพัด แต่ว่าเมื่อบริษัทฟื้นคืนจากการล้มละลายได้อีกครั้งก็มักจะมีโอกาสในการลงทุนครั้งใหม่ที่เราคุ้นเคยปรากฏขึ้นมา ผู้ถือหนี้ของบริษัทล้มละลายไม่ว่าจะเป็นหนี้ธนาคาร หุ้นกู้หรือหนี้การค้า มักไม่ได้รับการชำระหนี้ของตนเองเป็นเงินสดเนื่องจากบริษัทมักจะไม่มีเงินสดเหลือมากนักแต่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่กลับได้รับชำระเป็นหุ้นสามัญเพื่อแลกกับนี้ที่ถือมาก่อนที่บริษัทจะล้มละลาย โดยมากแล้วมักเป็นหุ้นสามัญหรือหุ้นกูที่ออกใหม่

โอกาสของคุณจะเกิดจากการวิเคราะห์หุ้นสามัญของบริษัทใหม่นี้ก่อนที่หุ้นกู้จะเริ่มเทรดกัน ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกระบวนการยื่นขอล้มละลายผลงานในอดีตของบริษัทและโครงสร้างเงินทุนมีพร้อมให้อ่านอยู่แล้วในเอกสารที่เปิดเผยออกมา ที่ต่างจากกรณีของสปินออฟ คือเปาที่น่าสงสัยว่าการสุ่มซื้อหุ้น ซึ่งมาจากบริษัทล้มละลายต่างๆจะช่วยสร้างพอร์ตการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอย่างเหนือชั้นในระยะยาวได้หรือไม่คำตอบคืออาจจะได้ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลบางประการหนึ่งในนั้นคือการที่บริษัทส่วนใหญ่ยอมเสียเวลาไปมากมายในศาลล้มละลายก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่แล้ว

แล้วคุณจะแยกแยะได้อย่างไรละว่าหุ้นตัวไหนสมควรแล้วที่จะราคาถูกเช่นนั้นและหุ้นตัวไหนถูกจริงเมื่อเทียบกับมูลค่า วิธีหนึ่งที่จะไม่ต้องมานั่งปวดหัวคือทำตามแนวทางของวอร์เรนบัฟเฟตต์ นั่นคือเลือกธุรกิจที่ดีไว้ก่อนแค่นี้ก็จะตีกรอบให้แคบลงมามากแล้ว อย่างไรก็ตามขอแนะนำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยึดโยงอยู่กับบริษัทที่เพิ่งพ้นจากสภาวะล้มละลายจำนวนไม่กี่บริษัทซึ่งมีธุรกิจที่ดีเป็นบริษัทที่มีตลาดเฉพาะทางที่เข้มแข็ง มีแบรนด์มีแฟรนไชส์มีตำแหน่งที่ได้เปรียบในอุตสาหกรรม เพราะสุดท้ายแล้วเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่สุดที่ จำเป็นจะต้องทำตามคอนเซ็ปต์การลงทุน ด้วยการเลือกหุ้น ที่ไม่ถูกติดตาม โดยวอลล์สตรีท

การขาย : รู้ว่าเมื่อไหร่จะถือ เมื่อไหร่จะทิ้ง

การหาคำตอบว่าจะขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมบางอย่างเมื่อไรดีนั้น ง่ายกว่าการหาคำตอบว่าจะขายหุ้นทั่วไปเมื่อไหร่อยู่ค่อนข้างเยอะ ทั้งนี้เพราะโอกาสซื้อมากที่กว่าที่ชัดเจนไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของหุ้นสปินออฟหรือหลักทรัพย์ควบรวม หรือหุ้นที่เพิ่งพ้นจากสภาวะล้มละลายก็จะมีช่วงเวลาพิเศษที่เป็นโอกาสเข้าซื้ออยู่เสมอ ตลาดจะรับรู้มูลค่าที่เผยโฉมออกมาจากการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญดังกล่าวและเมื่อตลาดตอบสนองหรือคุณสมบัติที่คุณมองว่าน่าสนใจเป็นที่รับรู้เรียบร้อยแล้วความได้เปรียบของคุณก็จะลดลงอย่างมาก กระบวนการนี้อาจใช้เวลาสองหรือสามสัปดาห์หรือสองสามปีโดยจุดที่ไปทิกเกอร์ให้ขายอาจเกิดจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากหรือการเปลี่ยนแปลงทางด้านพื้นฐานของบริษัทก็เป็นได้

การปรับโครงสร้างองค์กร

แน่นอนว่าการปรับโครงสร้างขององค์กรอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลามันเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมซึ่งเจ็บปวดแต่บางครั้งก็จำเป็น ประเภทของสถานการณ์การปรับโครงสร้างที่เราอาจมุ่งเน้นและเป็นประเภทที่จะก่อให้เกิดโอกาสลงทุนแบบจะจะ คือสถานการณ์ซึ่งบริษัทขายหรือปิดส่วนงานสำคัญๆเพื่อหยุดการขาดทุน เพื่อจ่ายหนี้หรือเพื่อให้สามารถหันไปมุ่งเน้นธุรกิจที่แข็งแกร่งอื่นๆได้

มีอยู่สองวิธีหลักในการหาโอกาสจากการปรับโครงสร้างขององค์กร หนึ่งคือเข้าลงทุนในสถานการณ์ที่มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญประกาศออกมาแล้ว โดยปกติแล้วมักมีโอกาสทำกำไรครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจากบริษัทประกาศข่าวออกมา อันเนื่องมาจากธรรมชาติที่มีความเฉพาะตัวของธุรกรรมครั้งนั้นอาจจะต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่จะตลาดจะเข้าใจการแตกแยกย่อยของก้าวย่างสำคัญดังกล่าว โดยทั่วไปแล้วยิ่งบริษัทมีมูลค่าน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีจังหวะและโอกาสที่คุณสามารถคว้าจากการปรับโครงสร้างที่ประกาศออกมามากเท่านั้น

อีกวิธีหนึ่งที่จะทำกำไรก็คือการลงทุนในบริษัทซึ่งใกล้จะปรับโครงสร้างเต็มที่ แม้ว่ามันจะยากกว่ากันก็เถอะปกติแล้วผมจะไม่มองหาโอกาสในลักษณะนี้ต่อให้มันตกลงมาตรงหน้าบางครั้งบางคราวก็ตามสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้ก็คือ จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทมีโอกาสที่จะปรับโครงสร้างโดยหากคุณเห็นมันอย่างชัดเจนก็แปลว่าผู้บริหารหลายคนก็ย่อมจะเห็นมันเช่นกัน

สรุปสั้นๆ

  1. การล้มละลาย ประเด็นที่ต้องจำ
  • การล้มละลายอาจก่อให้เกิดโอกาสในการลงทุนที่หาได้ยากแต่ต้องเลือกให้ดี
  • ในกรณีปกติอย่าซื้อหุ้นสามัญของบริษัทล้มละลาย
  • หุ้นกู้ นี้ธนาคาร และนี่การค้าของบริษัทล้มละลายอาจสร้างโอกาสจากการลงทุนที่น่าสนใจ แต่ก่อนอื่นคุณต้องลาออกจากงานประจำเสียก่อน
  • การมองหาหุ้นกู้ออกใหม่ของบริษัทที่เพิ่งจะฟื้นจากการล้มละลายอาจจะคุ้มค่ามากๆก็ได้ เช่น บริษัทสปินออฟหรือหลักทรัพย์ควบรวม เพราะบ่อยครั้งที่มีหุ้นราคาลดจากผู้ขายซึ่งกระเหี้ยนกระหือรืออยากขายเพราะไม่ต้องการหุ้นเหล่านั้นมาตั้งแต่แรก
  • เว้นเสียแต่ราคาจะเกินห้ามใจจริงๆจงลงทุนในธุรกิจที่น่าดึงดูด
  1. เกล็ดในการขาย
  • เทรดหุ้นแย่ แต่ลงทุนในหุ้นดี
  1. การปรับโครงสร้าง
  • มูลค่ามหาศาลอาจเผยโฉมออกมาผ่านการปรับโครงสร้างขององค์กร
  • จงมองหาสถานการณ์ที่มีดาวน์ไซด์จำกัด เป็นธุรกิจที่น่าดึงดูดเหมาะแก่การปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง มีผู้บริหารที่มีแรงจูงใจในระดับสูง
  • ในสถานการณ์การปรับโครงสร้างที่มีศักยภาพ ให้มองหาจุดเร่งที่จะทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว
  • ต้องแน่ใจว่าการปรับโครงสร้างนั้นจะสร้างโอกาสได้อย่างมากเมื่อเทียบกับขนาดของบริษัท
  • จงฟังภรรยาของคุณ การทำตามภรรยาอาจไม่การันตีผลตอบแทนแต่ชีวิตสงบสุขแน่นอน

บทที่ : 6

เด็กน้อยอยากได้รองเท้าใหม่กับเงินของคนอื่น : การปรับโครงสร้างเงินทุนและตอหุ้น ลีปส์ วอร์แรนต์ และออปชัน

การปรับโครงสร้างเงินทุนและตอหุ้น

วิธีหนึ่งที่บริษัทจะสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ก็คือการปรับโครงสร้างเงินทุน ในงบแสดงฐานะการเงินที่มีอยู่ ในทศวรรษ 1980 ช่วงหนึ่ง “รีแคป” เป็นคำที่คนในวอลล์สตรีทเรียกกันซึ่งเป็นวิธีที่บริษัทต่างๆนิยมใช้เพื่อป้องกันการรุกคืบเข้ามายึดกิจการ ของนักเทคโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตร หรือเพื่อเอาใจผู้ถือหุ้นที่กำลังโกรธเคืองโดยปกติแล้วในธุรกรรมการปรับโครงสร้างเงินทุนบริษัทจะซื้อคืนหุ้นสามัญของตนเองเป็นจำนวนมากโดยจ่ายเป็นเงินสด หุ้นกู้หรือหุ้นบุริมสิทธิ หรือไม่อย่างนั้นเงินสดและหลักทรัพย์อาจถูกแจกจ่ายโดยตรงไปยังผู้ถือหุ้นในรูปแบบของเงินปันผล ผลของการรีแคปคือการที่บริษัทมักลงเอยด้วยการแบกหนี้ก้อนโตโดยเป็นผู้ถือหุ้นยังคงเป็นบุคคลหน้าเดิมๆ ณ ปัจจุบันการรีแคปถือว่าล้าสมัยไปแล้ว

แต่มีคำแนะนำให้คุณองข้อ ข้อแรกการลงทุนในหุ้นสปินออฟที่ใช้ตัวช่วยอาจทำให้คุณได้กำไรเทียบเท่ากับการลงทุนในต่อหุ้นทุกประการ และไม่มีอะไรเสียหายทั้งสิ้นหากคุณจะค้นหาหุ้นอย่างจริงจังในเขตแดนนี้ คำแนะนำข้อที่สองคือ สิ่งที่ผมรับปากคุณไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นบทนี้ได้แก่วิธี ใช้สิ่งที่คุณเรียนรู้เกี่ยวกับการรีแคปให้เป็นประโยชน์กับตัวคุณ ด้วยความที่บริษัทส่วนใหญ่มากไม่ได้ไล่ล่าหาทางรีแคป คุณจึงสร้างการรีแคปของตัวเองขึ้นมาได้

ลีปส์ (LEAPS : Long – term Equity Anticipation Securitis)

มีวิธีสอยต่อหุ้นของคุณเองง่ายๆด้วยการเลือกลีปส์ที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด คำว่าลีปส์เป็นตัวย่อที่ใช้เรียกสัญญาออปชันระยะยาว ออฟชันมีอยู่สองประเภทคือ พุต (Put) กับ คอล (Call) ในที่นี้เราจะพูดถึงคอลเท่านั้น ที่จริงแล้วคอลเป็นเพียงสิทธิหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหุ้นนั้นราคาหนึ่ง ภายในระยะเวลาหนึ่ง เมื่อใดก็ตามตลาดหุ้นเปิดทำการอยู่ตลาดออปชันก็มักจะเปิดด้วยแต่หุ้นทุกตัวที่ซื้อขายกันในตลาดหุ้นใช่ว่าจะมีออฟชันเสมอไปทว่าออปชันเท่าที่มีก็มีให้เลือกเป็นพันบริษัทแล้วด้วยเหตุนี้หากหุ้นตัวไหนมีคอลจดทะเบียนคุณก็สามารถซื้อหรือขายมันได้ตลอดเวลาที่ตลาดหุ้นเปิดทำการจนหมดอายุลง อาจกล่าวได้ว่าการซื้อคอลก็เหมือนกับการกู้เงินมาซื้อหุ้นโดยมีความคุ้มครองอยู่ราคาของคอลได้รวมเอาต้นทุนการกู้ยืมและ ต้นทุนของค่าคุ้มครองนั้นไว้แล้ว

แม้ตอหุ้นและออปชันจะมีลักษณะของการใช้ตัวช่วยเหมือนกันแต่หลักทรัพย์สองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ ประการหนึ่ง กล่าวคือออฟชันมีอายุจำกัดมันจะมีมูลค่าจนถึงวันหมดอายุเท่านั้น ขณะตอหุ้นหากมองในมุมหนึ่งก็คือหุ้นสามัญธรรมดามันจึงเหมือนคอลที่ไม่มีวันหมดอายุ ด้วยอายุที่ไม่มีกำหนดเวลานี้เองจึงทำให้ตอหุ้นมีความน่าดึงดูดและทำให้การซื้อลีปส์ซึ่งก็คือออฟชันระยะยาวเป็นหนทางที่น่าดึงดูดในการลอกเลียนแบบการลงทุนในตอหุ้น

เล่าเร็วๆเรื่องวอร์แลนต์

ถ้าคุณชอบลีปส์ต้องบอกว่าวอร์แลนต์อาจจะดีกว่าลีปส์เสียอีกไหนว่าแง่มุม โดยวอร์แลนต์จะช่วยให้ผู้ถือได้สิทธิในการซื้อหุ้นนั้นราคาหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาหนึ่งแม้จะเหมือนกับคอลออปชันแต่วอร์แลนต์มีความแตกต่างอยู่สองประการ ประการแรกคือวอร์แลนต์ออกโดยบริษัท ประการที่สองระหว่างคอลออปชันธรรมดากับวอร์แลนต์เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสำหรับคุณกล่าวคือ ณ เวลาที่มันถูกตราออกมานานวอร์แลนต์มักมีช่วงเวลาซึ่งยาวนานกว่า ก่อนจะหมดอายุเมื่อเทียบกับคอลออปชันทั่วไป และเช่นเดียวกับลีปส์ วอร์แลนต์สามารถขยายเวลาออกไปได้หลายปี

 สรุปเร็วๆ เรื่องของง่ายได้เปล่า

  1. ตอหุ้น แทบไม่มีเขตแดนในตลาดหุ้นอีกแล้วที่การทำการบ้านและวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน จะให้ผลตอบแทนที่รวดเร็วและอู้ฟู่ขนาดนี้
  2. ลีปส์ แทบไม่มีเขตแดนในตลาดหุ้นอีกแล้ว (ยกเว้นตอหุ้น) ที่ทำการบ้านและวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน จะให้ผลตอบแทนที่รวดเร็วและอู้ฟู่ขนาดนี้
  3. วอร์แลนต์และการลงทุนในสถานการณ์พิเศษ แทบไม่มีเขตแดนในตลาดหุ้นอีกแล้ว (ยกเว้นตอหุ้นและลีปส์) ที่ทำการบ้านและวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน จะให้ผลตอบแทนที่รวดเร็วและอู้ฟู่ขนาดนี้

บทที่ 7

มองต้นไม้ผ่านป่าใหญ่

นักลงทุนที่ดีต้องอาศัยทั้งเวลาและการฝึกฝน การที่ผมนำคุณไปยังเขตแดนของการลงทุน ที่คุณมีแต้มต่อ เท่ากับผมได้ช่วยให้คุณนำหน้าคนอื่นไปก้าวหนึ่งแล้ว แต่คุณต้องมีจิตวิญญาณที่ดีด้วย หากคุณไม่ใช่นักลงทุนที่มีประสบการณ์มาก่อนคุณอาจเริ่มต้นด้วยการลงทุนเป็นเงินก้อนเล็กๆในสถานการณ์เหล่านี้ และเมื่อมีประสบการณ์บวกกับความรู้มากขึ้นแล้วคุณก็จะมั่นใจมากขึ้นและกล้าลงทุนเป็นเงินมากขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มี

แต่พอถึงหน้างานจริงหนังสือเล่มนี้อาจช่วยคุณตัดสินใจในชีวิตของการลงทุนไม่มากนัก ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัย กองทุนบำนาญ หรือสังหาริมทรัพย์ แต่ผมรู้เรื่องการลงทุนในสถานการณ์พิเศษในตลาดหุ้น และผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะมีที่ไหนที่ทำผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีขนาดนี้ ผมจึงลงทุนเงินส่วนใหญ่ของผมเป็นเขตแดนนี้ อย่างไรก็ตามการที่กลยุทธ์นี้สมเหตุสมผลสำหรับผม ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะใช่สำหรับคุณการที่คุณจะใช้เงินทุนสักเท่าไหร่เพื่อลงทุนไปในสถานการณ์พิเศษเกี่ยวกับหุ้น ขึ้นอยู่กับความจำเป็นทางการเงินของคุณ ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอื่นๆ และขึ้นอยู่กับว่าคุณเรียนรู้ที่จะประยุกต์ข้อมูลหนังสือเล่มนี้ไปใช้ได้ดีขนาดไหน

ไม่ว่าคุณจะเลือกเริ่มต้นจากอะไรจงจำไว้ว่าภาพพอร์ตของคุณโดยรวมไม่มีทางเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ในช่วงค่ำคืน อย่างไรก็ตามหากคุณเพียงเลือกลงทุนในสถานการณ์ที่น่าดึงดูดสักสองสามเดือนต่อครั้ง คุณก็น่าจะสร้างพอร์ตที่ดีพอสมควรขึ้นมาได้จากสถานการณ์การลงทุนพิเศษภายในเวลาปีเดียว และเมื่อพอผ่านไปสองปีคุณก็น่าจะลงทุนไปแล้วแปดถึงสิบครั้ง หรือคุณจะทำอีกแบบก็ได้คือคุณไม่ต้องปั้นพอร์ตใหม่ขึ้นมาทั้งหมด ด้วยสถานการณ์พิเศษเหล่านี้ แต่คุณอาจเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเอง แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนสมมุติว่าคุณอินกับมันถ้าคุณรู้สึกว่าการลงทุนในสถานการณ์พิเศษนั้นใช่สำหรับคุณแล้วคุณพร้อมแล้วที่จะเก็บที่นอนแล้วลุกไปทำงานแต่คุณต้องทำอะไรก่อนล่ะ คำตอบก็คืออ่าน อ่าน และอ่าน  ข้อมูลให้ได้มากที่สุด

 เลียนแบบเซียน

คุณสามารถหลอกพอร์ตหุ้นของนักลงทุนเน้นมูลค่าและนักลงทุนในสถานการณ์พิเศษที่เก่งที่สุดของประเทศได้ง่ายๆ คอนเซ็ปต์ในการเลือกหุ้นลงทุนจากหุ้นที่เคยถูกเลือกไว้แล้วเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหุ้นเหล่านั้นอยู่ในพอร์ตของนักลงทุน แต่จงจำไว้ว่าคุณต้องการไอเดียดีๆเพียงนานๆครั้ง ครั้งละหนึ่งไอเดียเท่านั้น ทำการบ้านให้หนักสำหรับหนึ่งไอเดีย ดีกว่าทำการบ้านน้อยๆแต่กวาดไปหลายไอเดีย

บทที่ 8

แค่ได้เล่นก็สนุกแล้ว

ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมพูดมาต้องอาศัยการหาข้อมูลและความพยายาม แต่แม้จะรู้อย่างนี้ คุณก็คงไม่ต้องกังวลหากใครก็ตามสามารถฉวยโอกาสจากวิธีการลงทุนที่ผมอธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ได้ด้วยการนอนกระดิกเท้าอยู่กับบ้าน โอกาสในการทำผลตอบแทนมากๆก็คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทำให้คุณโดดเด่นจากฝูงชนก็คือสิ่งเดียวกันกับที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ถูกเขี่ยตกข้างทาง คุณสมบัติที่จะนำคุณสู่ความสำเร็จในตลาดหุ้นไม่ใช่พลังสมองอันเหนือชั้น ความเฉลียวฉลาดทางธุรกิจที่หาใครเทียบเทียม หรือสายตาอันเฉียบคมเหมือนใคร แต่เคล็ดลับง่ายๆก็คือ ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าจะมองหาโอกาสได้จากที่ไหนที่เหลือก็แค่ทำการบ้านหาข้อมูลสักหน่อยเท่านั้น ดูๆไปมันก็ยุติธรรมดีไม่ใช่หรอ

และนั่นจะนำเรามาสู่ข้อสรุปสุดท้ายสำหรับประโยชน์ของการลงทุนในสถานการณ์พิเศษซึ่งเป็นหัวข้อหลักของหนังสือเล่มนี้ คือแม้ตลาดหุ้นที่กำลังขึ้นจะดีและมีประโยชน์ แต่มันหาได้จำเป็นไม่เพราะโอกาสที่จะได้ของลดราคาจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์พิเศษของแต่ละบริษัท เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกสภาพแวดล้อมตลาด ส่งผลให้มีของถูกให้เลือกซื้ออยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ตามในกรณีส่วนใหญ่ของถูกเหล่านี้มักคงอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว คุณคงไม่รวยขึ้นมาในวันพรุ่งนี้แต่ถ้าคุณทำการบ้านมาอย่างตี้สุดท้ายแล้วตลาดหุ้นจะรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงซึ่งดึงดูดให้คนหันมาสนใจมาตั้งแต่ทีแรก ด้วยเหตุนี้วิธีที่มีวินัยในการมองหาหุ้นลดราคาจะตอบแทนคุณอย่างงดงามเสมอ

ไอเดียเบื้องหลังหนังสือเล่มนี้คือต้องการจะบอกคุณว่ามีก้อนหิมะรอที่จะไหลลงมาจากยอดเขา เมื่อคุณมีแผนที่และมีเชือกเส้นยาวเพียงพอ รวมทั้งพละกำลังที่จะไต่ขึ้นไปให้ถึงหิมะก้อนนั้นหากคุณเลือกที่จะลุยงานของคุณก็คือผลักมันลงมาจากยอดเขาและเฝ้ามองมันเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆนั่นเอง

สั่งซื้อหนังสือ “อัจฉริยะหุ้นคุณก็เป็นได้” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก