น้องหลายๆ คนเพิ่งจะเริ่มเข้ามาเป็นมนุษย์เงินเดือน อาจจะมีข้อสงสัยว่า ทำไมเงินเดินของเราที่ได้ในแต่ละเดือนไม่ตรงกับสลิป หรือสัญญาว่าจ้างที่เพิ่งจะเซ็นต์กันมาไม่นานมานี้ แล้ว…เงินของเรามันหายไปไหนน้า….? พอเราได้ตรวจสอบสลิปเงินเดือนของเราดีๆ แล้ว ก็จะพบว่าเงินเดือนของเรานั้นโดนหักไปกับ ภาษี ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยิ่งบางคนมีค่าเรียนกยศ. ก็ รวมไปถึงการกู้ยืมต่างๆ เหล่านี้จะถูกหักไปกับเงินเดือนที่เราได้มาอีกด้วย แต่สิ่งที่น้อง ๆ กำลังสงสัยก็น่าจะเป็นในส่วนของประกันสังคมที่บริษัทหักเงินของเราไปนั้น แล้วเค้าหักของเราไปทำอะไรล่ะ…?

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คืออะไร?

ต้องของเกริ่นความเป็นมาเป็นไปของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund หรือ PVD) เป็นกองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ จัดตั้งขึ้น ก่อนปี พ.ศ. 2527 ครับ โดยกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกฎกระทรวงฉบับที่ 162 และต่อมาได้มี พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างอย่างเป็นทางการและเป็นสวัสดิการและหลักประกันทางการเงินให้แก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน ไม่ว่าจะเป็นกรณีเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ถือเป็น การออมเงินระยะยาว ที่มีข้อดีหลายประการด้วยกัน

องค์ประกอบสำคัญของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

  1. เงินสะสม (Employee’s Contribution): ส่วนที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนเป็นประจำทุกเดือน โดยจะถูกหักจากเงินเดือนตามอัตราที่ลูกจ้างเลือก (โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 2-15% ของเงินเดือน) เงินส่วนนี้ถือเป็นเงินออมของตัวลูกจ้างเอง
  2. เงินสมทบ (Employer’s Contribution): ส่วนที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนให้แก่ลูกจ้างในแต่ละเดือน โดยทั่วไปนายจ้างจะจ่ายสมทบในอัตราที่เท่ากันหรือมากกว่าเงินสะสมของลูกจ้าง ซึ่งถือเป็นผลประโยชน์เพิ่มเติมที่ลูกจ้างได้รับ
  3. ผลประโยชน์จากการลงทุน (Investment Returns): เงินสะสมและเงินสมทบจะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ที่ได้รับความเห็นชอบ ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากการลงทุนนี้จะถูกนำมาเฉลี่ยคืนให้กับสมาชิกกองทุนตามสัดส่วน

กลไกการทำงานโดยสรุป

  • การหักเงิน: ในแต่ละเดือน นายจ้างจะหักเงินเดือนของลูกจ้างตามอัตราที่ลูกจ้างเลือกตั้งแต่ 2-15% และนายจ้างสมทบเข้าเป็นประจำทุกครั้งที่จ่ายเงินเดือนให้อีกในอัตราตั้งแต่ 2-15% ตามข้อบังคับของแต่ละบริษัท โดยในส่วนของนายจ้างจะสมทบตามสัดส่วนไม่เกินที่ลูกจ้างหัก
  • การบริหารจัดการ: บริษัทจัดการกองทุนจะนำเงินทั้งหมดไปลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ได้ตกลงไว้กับคณะกรรมการกองทุน
  • การเติบโตของเงิน: เงินในกองทุนจะเติบโตขึ้นจากเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากการลงทุน
  • การรับเงินคืน: ลูกจ้างจะได้รับเงินคืนจากกองทุนเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ เช่น ลาออกจากงาน เกษียณอายุ หรือเสียชีวิต โดยจะได้รับทั้งเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากการลงทุน

ข้อดีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

  • สร้างวินัยในการออม: การหักเงินเดือนอัตโนมัติทุกเดือนช่วยให้ลูกจ้างมีการออมอย่างสม่ำเสมอ
  • ได้รับเงินสมทบจากนายจ้าง: เสมือนได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมจากบริษัท
  • โอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุน: เงินออมมีโอกาสเติบโตจากการบริหารจัดการของผู้เชี่ยวชาญ
  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • เงินสะสมส่วนหนึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
  • ผลประโยชน์ที่ได้จากการลงทุนในกองทุนจะได้รับการยกเว้นภาษี
  • เงินที่ได้รับคืนเมื่อออกจากกองทุนภายใต้เงื่อนไขบางประการจะได้รับการยกเว้นภาษี
  • เป็นหลักประกันทางการเงิน: ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับวัยเกษียณ หรือกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง: เป็นสวัสดิการที่ช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีคุณภาพ

ข้อเสียที่ควรพิจารณา

  • ข้อจำกัดในการถอนเงิน: โดยทั่วไปจะไม่สามารถถอนเงินก่อนออกจากงานได้ ยกเว้นบางกรณีตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจมีเงื่อนไขและเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • ความเสี่ยงจากการลงทุน: มูลค่าเงินลงทุนอาจผันผวนตามสภาวะตลาด หากเลือกนโยบายการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
  • ผลตอบแทนไม่แน่นอน: ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ได้รับการรับประกัน

บทบาทของพนักงานและนายจ้าง

พนักงาน:

  • ตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุน: เป็นการตัดสินใจโดยสมัครใจ
  • กำหนดอัตราเงินสะสม: เลือกอัตราที่เหมาะสมกับกำลังของตนเอง
  • เลือกนโยบายการลงทุน: เลือกแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมาย
  • ติดตามผลการดำเนินงานของกองทุน: เพื่อให้ทราบถึงสถานะเงินออมของตนเอง

นายจ้าง:

  • จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย
  • กำหนดอัตราเงินสมทบ: กำหนดอัตราที่เหมาะสมและเป็นธรรม
  • นำส่งเงินสะสมและเงินสมทบ: ดำเนินการหักเงินและนำส่งเข้ากองทุนอย่างถูกต้องและตรงเวลา
  • คัดเลือกบริษัทจัดการกองทุน: เลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือและมีผลงานที่ดี
  • แต่งตั้งคณะกรรมการกองทุน: เพื่อบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์

จะได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืนเมื่อไหร่?

โดยปกติแล้วสมาชิกกองทุนมีสิทธิได้รับเงินคืนจากกองทุนเมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ทั้งลาออกจากงาน เกษียณอายุ โอนย้ายกองทุน หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต โดยจะได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมทั้งจำนวน ส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจะได้รับตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน

จะจัดการกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรดี เมื่อลาออกจากงาน?

เป็นธรรมดาสำหรับมนุษย์เงินเดือนหน้าใหม่อย่างเราที่เมื่อทำงานมาสักพักหนึ่งแล้ว ก็เริ่มที่จะมองหาความก้าวหน้าในชีวิต รวมถึงการเติบโตในหน้าที่การงานด้วย เพราะฉะนั้นการตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมองหาความท้าทายใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนงาน อย่าลืมที่จะรักษาสิทธิต่าง ๆ ที่เราควรได้รับจากที่ทำงานเดิม โดยเฉพาะการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากบริษัทไหนมีกองทุนนี้ให้กับพนักงาน ไม่อย่างนั้นตัวเราเองนี่แหละที่อาจจะเสียประโยชน์ได้ ซึ่งวันนี้เราได้สรุปมาให้ทุกคนทั้งหมด 3 ทางเลือกด้วยกัน

วิธีแรก ฝากไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิมได้ : ลงทุนตามเดิม แต่จะไม่มีส่วนของเงินสมทบ หรือรอย้ายไปที่ทำงานใหม่

วิธีที่สอง โอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ หรือกองทุนรวม RMF : หากที่ทำงานใหม่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็จะต้องนำเงินก้อนนี้ไปไว้ที่กองทุนรวม RMF for PVD แทน

วิธีที่สาม นำเงินออกมาลงทุนต่อเอง หรือนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น : สำหรับคนที่อยากสานฝันนำเงินไปเริ่มทำธุรกิจต่อ หรือใช้จ่ายในเรื่องที่ต้องการ

สุดท้ายแล้วการวางแผนและการจัดการที่ดีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็จะเป็นอีกส่วนนึงที่จะช่วยให้มีความมั่งคั่งและยั่งยืนทางการเงิน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงในอนาคตของน้องๆ ที่เพิ่งจะเริ่มทำงาน หรือพี่ๆ ที่วางแผนเกษียณได้ครับ