Private Capital หมายถึงองค์กรที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทโดยไม่ผ่านการออกหลักทรัพย์ในตลาดสาธารณะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ ตราสารทุนเอกชน (Private Equity) และตราสารหนี้เอกชน (Private Debt) ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและบทบาทที่แตกต่างกันในการสนับสนุนธุรกิจ

Private Equity

ตราสารทุนเอกชน (Private Equity) เป็นการลงทุนที่กองทุนส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนใน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การลงทุนในบริษัทเอกชนหรือบริษัทจดทะเบียนที่ต้องการนำออกจากตลาด (Leveraged Buyout Funds) และการลงทุนในบริษัทช่วงเริ่มต้น (Venture Capital Funds) บริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุนเรียกว่า Portfolio Companies นอกจากนี้ยังมีกองทุนขนาดเล็กที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีปัญหา (Distressed Investment Funds) และกองทุนเพื่อการพัฒนา (Developmental Capital Funds)

Leveraged Buyouts (LBOs) เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่พบบ่อยที่สุดในวงการ Private Equity โดยใช้การกู้ยืมเป็นแหล่งเงินทุนหลักในการซื้อกิจการ แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อยคือ Management Buyouts (MBOs) ที่ผู้บริหารเดิมเข้าร่วมซื้อกิจการ และ Management Buy-ins (MBIs) ที่นำผู้บริหารจากภายนอกเข้ามาแทนที่ทีมเดิม โดยบริษัทที่มีกระแสเงินสดสูงมักเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจเพราะสามารถนำมาชำระหนี้ที่กู้ยืมมาได้

ในส่วนของ Venture Capital จะเน้นลงทุนในบริษัทช่วงเริ่มต้น โดยแบ่งระยะการลงทุนเป็น 3 ช่วงหลัก ได้แก่ 1) Formative Stage ซึ่งประกอบด้วย Angel Investing หรือ Pre-seed Capital ที่มักเป็นการลงทุนในช่วงความคิดและการประเมินศักยภาพทางการตลาด, Seed Stage ที่เป็นช่วงเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด และ Early Stage ที่เป็นการลงทุนเพื่อเริ่มการผลิตและขายเชิงพาณิชย์ 2) Later-stage Investment หรือ Expansion Venture Capital สำหรับบริษัทที่มีการดำเนินงานเชิงพาณิชย์แล้วและต้องการขยายกิจการ และ 3) Mezzanine-stage Financing ช่วงที่บริษัทเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

กลยุทธ์การออกจากการลงทุน (Exit Strategies) ของ Private Equity มีระยะเวลาถือครองเฉลี่ย 5 ปี สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การขายให้คู่แข่งหรือผู้ซื้อเชิงกลยุทธ์ (Trade Sale) การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) การปรับโครงสร้างทุนเพื่อจ่ายเงินปันผล (Recapitalization) การขายให้กองทุน Private Equity อื่น (Secondary Sale) หรือการตัดจำหน่าย/ชำระบัญชีในกรณีที่ไม่ประสบความสำเร็จ

ในด้านผลตอบแทนและความเสี่ยง มีหลักฐานว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา Private Equity ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉลี่ย แต่ก็มีความผันผวนสูงกว่าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลตอบแทนอาจมีอคติจากการรอดรอด (Survivorship Bias) และอคติจากการย้อนหลัง (Backfill Bias) เนื่องจากการประเมินมูลค่าทำไม่บ่อยนัก

Private Debt

ส่วนตราสารหนี้เอกชน (Private Debt) หมายถึงการให้กู้ยืมแก่บริษัทเอกชน มีหลายรูปแบบ ได้แก่ Direct Lending ที่เป็นการให้กู้โดยตรง, Venture Debt สำหรับบริษัท Start-up, Mezzanine Loans ที่มีลำดับการชำระหนี้ต่ำกว่าเจ้าหนี้เดิม และ Distressed Debt ที่เป็นการซื้อหนี้ของบริษัทที่มีปัญหา โดยผลตอบแทนมักสูงกว่าตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนเนื่องจากสภาพคล่องต่ำกว่า

สรุป

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการลงทุนทั้ง Private Equity และ Private Debt ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกและบริหารการลงทุน นักลงทุนจึงควรพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบและไม่มองว่าผลตอบแทนที่สูงกว่าเป็นของฟรี การคัดเลือกผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถจึงเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน นอกจากนี้ นักลงทุนควรตระหนักว่าการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกเหล่านี้มีสภาพคล่องที่จำกัดมาก และมีความเสี่ยงที่หลากหลายตั้งแต่การลงทุนในบริษัทเริ่มต้นไปจนถึงตราสารหนี้ของบริษัทที่มั่นคง