ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วที่เราอธิบายเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ของบริษัทที่จะเกิดขึ้นเมื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า คราวนี้จะเป็นเรื่องการรับรู้รายจ่ายซึ่งจะแตกต่างจากเดิมตรงที่บริษัทจะไม่ได้บันทึกรายจ่ายเมื่อรับสินค้าหรือบริการเข้ามา แต่จะบันทึกเมื่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้นำไปสร้างรายได้แล้ว เรียกว่าเป็นหลักการจับคู่ (Matching principle) อย่างไรก็ตาม มีรายจ่ายอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้นำไปใช้ทำรายได้โดยตรง เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหาร จะถูกบันทึกในช่วงเวลาที่ใช้จ่ายไปโดยตรง

การรับรู้ค่าใช้จ่ายสินค้าคงเหลือ

ค่าใช้จ่ายสินค้าคงเหลือ (Inventory expense) เป็นการคำนวณค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปจากสินค้าในคลัง โดยสินค้าที่ซื้อมาในแต่ละช่วงเวลาซื้อมาด้วยราคาที่ไม่เท่ากัน จึงจำเป็นต้องมีหลักการเรียงลำดับสินค้าคงเหลือที่นำมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย มี 3 วิธีหลักๆ ดังนี้

Source: https://ebrary.net/339/accounting/first-in_first-out_calculations

  1. First-in, first-out (FIFO) เป็นการบันทึก Inventory expense จากต้นทุนสินค้าคงเหลือที่เก่าที่สุดในคลัง
  2. Last-in, last-out (LIFO) เป็นการนำต้นทุนสินค้าที่ใหม่ที่สุดในคลังมาบันทึกเป็น Inventory expense
  3. Weighted average cost เป็นการเฉลี่ยราคาต้ยทุนของสินค้าในคลังทั้งหมดแล้วบันทึกเป็น Inventory expense

ตามปกติแล้วจะมีเพียงประเทศสหรัฐฯเท่านั้นที่อนุญาติให้ใช้วิธี LIFO ส่วนประเทศอื่นๆสามารถใช้ได้เพียงแค่ FIFO และ Weighted average cost เท่านั้น เนื่องจากบริษัทจะได้ประโยชน์จากวิธี LIFO เมื่ออยู่ในสภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาสินค้าใหม่แพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ Cost of goods sold สูงขึ้นตามมา กดตัวเลขกำไรลง และเสียภาษีน้อยลงนั่นเอง

การรับรู้ค่าเสื่อมราคา

เมื่อบริษัทใช้สอยที่ดิน, อาคาร, และอุปกรณ์ (Plant, property, and equipment) ไปเรื่อยๆ จะส่งผลให้สิ่งเหล่านี้เกิดการเสื่อมและมีมูลค่าลดลง ซึ่งค่าเสื่อมราคานี้จัดเป็นรายจ่ายชนิดหนึ่งในประเภท non-cash (รายจ่ายที่ไม่ได้ใช้เงินสดโดยตรง) แบ่งวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาได้หลักๆ 2 แบบ คือ วิธีแบบเส้นตรง (Straight-line method) และวิธีแบบวิธีคำนวณแบบมีอัตราเร่ง (Accelerated method)

สำหรับวิธีแบบ Straight-line จะเป็นการบันทึกค่าเสื่อมราคาที่เท่าๆกันตลอดอายุการใช้งานของแต่ละทรัพย์สิน มีสูตรคำนวณดังนี้

Straight-line depreciation expense = (Cost-Residual value) / Useful life

  • Cost คือต้นทุนของทรัพย์สินนั้นๆที่เราจ่ายเงินซื้อมา
  • Residual value คือมูลค่าคงเหลือเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน
  • Useful life คืออายุการใช้งานของทรัพย์สิน

มีทรัพย์สินบางรูปแบบที่จะมีการเสื่อมราคาลงในอัตราที่สูงในช่วงแรกๆ ทรัพย์สินเหล่านี้เหมาะกับการบันทึกค่าเสื่อมราคาโดยใช้วิธีแบบ Accelerated depreciation หนึ่งในวิธียอดนิยมของการคำนวณวิธีนี้คือ Double-declining balance method (DDB) มีสูตรคำนวณดังนี้

DDB depreciation expense=(2/Useful life)(Cost-Accumulated depreciation)

Accumulated depreciation คือ ค่าเสื่อมราคาสะสมตลอดอายุการใช้งานของทรัพย์สิน

จากสูตรจะเห็นว่าค่า Accumulated depreciation ของทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้นทุกๆปี ส่งผลให้มีค่าเสื่อมราคาสูงที่สุดในปีแรกและจะทะยอยลดลงเรื่อยๆเมื่ออายุการใช้งานลดลง ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างของการคำนวณค่าเสื่อมราคาด้วยวิธี DDB

Source: https://corporatefinanceinstitute.com/resources/accounting/double-declining-balance-depreciation/

สำหรับสินทรัพย์ไม่มีตัวตนต่างๆ เช่น ระยะเวลาของสัมปทานที่บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจ ก็มีค่าเสื่อมราคาเช่นกัน แต่เราจะเรียกว่าค่าตัดจำหน่าย (Amortization) ซึ่งส่วนใหญ่จะคำนวณโดยใช้วิธี Straight-line เนื่องจากเป็นการเสื่อมราคาที่เท่าๆกันตลอดอายุการใช้งาน

จบกันไปแล้วกับวิธีการบันทึกทั้งรายได้ และรายจ่าย ซึ่งเมื่อเรานำสองรายการนี้มาหักล้างกันแล้วเราก็จะได้เป็นผลกำไร/ขาดทุน ในบทความถัดไปเราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับกำไรต่อหุ้น (EPS) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการวิเคราะห์งบการเงิน และไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำกำไรสุทธิมาหารกับจำนวนหุ้นเท่านั้น

หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Income Statement