จากบทความที่แล้วที่เราอธิบายเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคา (Depreciation) สำหรับสินทรัพย์ที่มีอายุจำกัด ซึ่งนอกจากสินทรัพย์ประเภทนี้จะถูกบันทึกการเสื่อมค่าแล้ว ยังต้องมีการทดสอบการด้อยค่า (Impairment) อีกด้วย ซึ่งในมาตรฐานบัญชี U.S. GAAP ของสหรัฐฯ และ IFRS ของนานชาติก็จะมีความแตกต่างกันในด้านการบันทึก ซึ่งเราจะมาอธิบายกันในบทความนี้
Source: https://www.wallstreetmojo.com/impaired-assets/
U.S. GAAP
มาตรฐานบัญชีนี้จะไม่อนุญาตให้ใช้ Revaluation model หรือก็คือการบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ตามมูลค่าตลาด แต่จะเป็นการบันทึกมูลค่าจากต้นทุน ลบด้วยค่าเสื่อราคา และลบด้วยการด้อยค่าเท่านั้น เรียกว่าเป็น Cost model ซึ่งการบันทึกการด้อยค่าของ U.S. GAAP จะไม่ได้ทำการตรวจสอบทุกปี แต่จะทำก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้บริษัทอาจไม่สามารถที่จะสร้างกระแสเงินสดจากสินทรัพย์นั้นๆได้มากเท่ากับ Book value ที่สินทรัพย์นั้นมีอยู่ เรียกขั้นตอนแรกนี้ว่า Recoverability test ซึ่งถ้าหากกระแสเงินสดที่สามารถทำได้ในอนาคต (แบบไม่ได้ Discount มูลค่ากลับมาในปัจจุบัน (Net undiscounted cash flow)) มีค่าต่ำกว่า Book value ของสินทรัพย์ ก็จะถือว่าสินทรัพย์นั้นเกิดการด้อยค่า
ขั้นตอนต่อไปคือการวัดมูลค่าที่สูญเสียไป (Loss measurement) เป็นการบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ตามกระแสเงินสดรวมที่จะสามารถทำได้ในอนาคตลงไปใน Balance sheet สำหรับส่วนต่างของมูลค่าที่ลดลงไปจะบันทึกเป็น Impairment loss ลงใน Income statement
IFRS
มาตรฐานบัญชีนี้ถูกใช้กันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จะอนุญาตให้ใช้ Revaluation model เพื่อประเมินมูลค่าสินทรัพย์ได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีบริษัทไหนใช้กัน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้วิธีนี้กับสินทรัพย์ปนะเภทเดียวกันทั้งบริษัท ไม่สามารถเลือกใช้กับสินทรัพย์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้ วิธีนี้ทำได้โดยการปรับ Book value ของสินทรัพย์ตามมูลค่าตลาด (Fair value) โดยหากมีการประเมินมูลค่าลดลงมาก่อนหน้า แล้วสามารถปรับมูลค่าสินทรัพย์ให้เพิ่มขึ้นได้โดยการ Reverse revaluation loss กลับขึ้นไป และถ้า Fair value ที่ปรับขึ้นไปเป็นมูลค่าสูงกว่า Revaluation loss ก่อนหน้านี้ ส่วนที่เกินมาจะกลายเป็น Revaluation surplus นั่นเอง
ส่วนอีกวิธีการก็คือการด้อยค่าสินทรัพย์ซึ่งบริษัทนิยมใช้กันมากกว่า และบริษัทจำเป็นที่จะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง ทำได้โดยการเปรียบเทียบระหว่าง Book value ของสินทรัพย์ กับค่าที่สูงกว่าระหว่าง Recoverable amount (Fair value ลบด้วยต้นทุนในการขาย) กับ Value in use (กระแสเงินสดในอนาคตที่ถูก Discount กลับมาในปัจจุบัน) ซึ่งถ้าหากค่าส่วนหลังนี้น้อยกว่า Book value แปลว่าสินทรัพย์นั้นจะเกิดการด้อยค่าลง และบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ลงใน Balance sheet สำหรับส่วนต่างของมูลค่าที่ลดลงไปจะบันทึกเป็น Impairment loss ลงใน Income statement
Recoverable amount = Fair value – Selling costs
Value in use = Net discounted future cash flow
อีกส่วนที่ IFRS แตกต่างจาก U.S. GAAP คือส่วนขาดทุนจากการด้อยค่าของ IFRS สามารถบันทึกย้อนกลับได้ ยกเว้นค่าความนิยม (Goodwill)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Long-Lived Assets (Part 1) Cost Capitalization
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Long-Lived Assets (Part 2) Intangible Assets
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Long-Lived Assets (Part 3) ผลของ Capitalization
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Long-Lived Assets (Part 4) Depreciation
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Long-Lived Assets (Part 5) Impairment of Assets with Definite Life
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Long-Lived Assets (Part 6) Impairment Analysis
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Long-Lived Assets (Part 7) Investment Property