Gross Profit Margin คือ
“อัตรากำไรขั้นต้น” หรือ “Gross Profit Margin”(GPM) คือ ตัววัดทางการเงินที่บ่งบอกถึงสัดส่วนของกำไรขั้นต้นที่ได้จากยอดขาย โดยคำนวณจากการหักต้นทุนสินค้าขายออกจากยอดขายทั้งหมด
ความสำคัญต่อการลงทุน
- การประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงาน: มันบอกเราว่าบริษัทสามารถแปลงยอดขายเป็นกำไรได้ดีแค่ไหน ก่อนที่จะคำนวณค่าใช้จ่ายอื่นๆ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงสามารถบ่งบอกถึงความสามารถในการกำหนดราคาและควบคุมต้นทุนของบริษัทได้ดี
- การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง: นักลงทุนมักใช้อัตรากำไรขั้นต้นเพื่อเปรียบเทียบบริษัทหนึ่งกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อดูว่าบริษัทมีตำแหน่งการแข่งขันที่แข็งแกร่งหรือไม่
- การวางแผนระยะยาว: อัตรากำไรขั้นต้นสามารถช่วยให้นักลงทุนทำการตัดสินใจเกี่ยวกับศักยภาพการเติบโตของบริษัท บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสที่จะลงทุนในการวิจัยและพัฒนา การตลาด และการขยายตัวได้
- การตัดสินใจลงทุน: นักลงทุนใช้อัตรากำไรขั้นต้นเพื่อประเมินว่าบริษัทมีรายได้เสริมที่เพียงพอต่อการชำระหนี้และการจ่ายเงินปันผลหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อหุ้น
- การเฝ้าระวังความเสี่ยง: อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัท อาทิเช่น การเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ หรือการลดลงของอำนาจต่อรองราคา ซึ่งสามารถนำไปสู่การพิจารณาใหม่ของความเสี่ยงในการลงทุน
- การดูแลความมั่นคงทางการเงิน: บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีมีโอกาสที่จะสร้างเงินสดไหลเข้าและคงเหลือเงินสดหลังจากการดำเนินงานได้ดี ซึ่งส่งผลดีต่อความมั่นคงทางการเงินโดยรวมของบริษัท
การคำนวณ
การคำนวณ “อัตรากำไรขั้นต้น” หรือ “Gross Profit Margin” เป็นวิธีการหนึ่งในการประเมินว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรจากการขายสินค้าหรือบริการได้มากน้อยเพียงใด หลังจากหักออกด้วยต้นทุนในการผลิตหรือจัดหาสินค้านั้นๆ โดยที่ “กำไรขั้นต้น” จะได้จากการนำ “รายได้” ทั้งหมดหักด้วย “ต้นทุนขายสินค้า” หรือ COGS จากนั้นจึงนำผลต่างนี้ไปหารด้วย “ยอดขาย” เพื่อหาอัตราส่วนเปอร์เซ็นต์ที่บอกถึงส่วนของกำไรที่เหลืออยู่หลังจากจ่ายต้นทุนไปแล้ว
ความหมาย
- Gross Profit (กำไรขั้นต้น) คือ กำไรที่เหลืออยู่หลังจากที่บริษัทได้หักต้นทุนขายสินค้าออกจากรายได้รวม
- Sales (ยอดขาย) คือ รายได้ทั้งหมดที่บริษัทได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ
- ตัวเลขที่ได้จากการคำนวณนี้จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งบ่งบอกถึงส่วนของยอดขายที่แปลงเป็นกำไรขั้นต้นได้
- ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอัตรากำไรขั้นต้นคือ 40% นั่นหมายความว่าสำหรับทุกๆ 100 บาทของยอดขาย บริษัทมีกำไรขั้นต้น 40 บาทก่อนที่จะหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงแสดงถึงการจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท ซึ่งหมายความว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรจากการขายได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องพึ่งพาปริมาณการขายที่สูงมาก
- ในทางตรงกันข้าม หากอัตรากำไรขั้นต้นนั้นต่ำ ก็บ่งบอกว่าบริษัทมีการจัดการต้นทุนการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพหรืออาจเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ซึ่งส่งผลให้ต้องกำหนดราคาขายที่ต่ำและ/หรือเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูง
- ทั้งสองสถานการณ์นี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัทในระยะยาว
ความแตกต่างระหว่างอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ
อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เป็นสองตัวชี้วัดที่ให้มุมมองต่างๆ กันเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการทำกำไร แต่ละตัวมีความสำคัญในการวิเคราะห์ทางการเงินและให้ข้อมูลที่มีคุณค่าในด้านต่างๆ
อัตรากำไรขั้นต้น
- ตัวนี้วัดผลลัพธ์จากการขายหลังจากหักต้นทุนขายสินค้าโดยตรงเท่านั้น ซึ่งหมายถึงวัตถุดิบและค่าแรงในการผลิตสินค้าหรือการจัดหาบริการนั้นๆ ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ
- เช่น ค่าดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายทางการตลาด หรือค่าใช้จ่ายทางการเงิน อัตรากำไรขั้นต้นบ่งบอกถึงความสามารถของบริษัทในการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการและควบคุมต้นทุนการผลิต
อัตรากำไรสุทธิ
- ตัวนี้เป็นการวัดว่าบริษัทสามารถหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกจากรายได้ ตั้งแต่ต้นทุนขายไปจนถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิต รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั่วไป ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ค่าใช้จ่ายทางการเงิน และภาษี
- อัตรากำไรสุทธิจะบอกเราถึงส่วนที่เหลือเป็นกำไรสุทธิที่บริษัทสามารถเก็บไว้หลังจากที่ได้จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ดังนั้นอัตรากำไรขั้นต้นจึงให้ภาพรวมเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในเรื่องของการผลิตและการจัดหา ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิให้ข้อมูลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทโดยรวม รวมถึงการจัดการค่าใช้จ่ายในทุกด้านของการดำเนินธุรกิจ การเข้าใจทั้งสองอัตราส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในการตัดสินใจลงทุนและประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัท
ข้อควรระวังในการใช้ Gross Profit Margin
การใช้ “อัตรากำไรขั้นต้น” หรือ “Gross Profit Margin” เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางการเงินที่มีประโยชน์ แต่มีข้อจำกัดและควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากไม่มีขอบเขตชัดเจนว่าค่าใดถือว่า “สูง” หรือ “ต่ำ” ในแต่ละอุตสาหกรรม ค่าของอัตรากำไรขั้นต้นที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของธุรกิจและแนวโน้มของตลาดที่บริษัทนั้นดำเนินการอยู่ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจบริการอาจมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าธุรกิจการผลิตเนื่องจากมีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า
ในการทำการวิเคราะห์ทางการเงินที่ครอบคลุมและเข้าใจภาพรวมของความสามารถของบริษัทในการทำกำไร ควรรวมอัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ เช่น “อัตรากำไรสุทธิ” (Net Profit Margin) และ “อัตรากำไรจากการดำเนินงาน” (Operating Profit Margin) เพื่อดูถึงความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายทั่วไปและค่าใช้จ่ายทางการเงินของบริษัท นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาแนวโน้มของอุตสาหกรรมและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เพื่อประเมินว่าบริษัทมีความสามารถในการรักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรในระยะยาวได้หรือไม่
ข้อดี/ข้อเสีย Gross Profit Margin
ข้อดี
- ช่วยวัดประสิทธิภาพของการกำหนดราคาและควบคุมต้นทุนของบริษัท
- เป็นตัวบ่งชี้การทำกำไรจากการดำเนินงานหลัก
- ใช้เปรียบเทียบความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- มีความเรียบง่ายและเข้าใจง่าย
- ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนและการจัดการ
- ปรับใช้ได้กับบริษัทขนาดต่างๆ
- มีประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของราคาขาย
- สามารถชี้แนะถึงพื้นที่ที่ต้องการการปรับปรุงด้านต้นทุน
- เป็นตัวชี้วัดที่ดีเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของกำไรในอนาคต
ข้อเสีย
- ไม่คำนวณค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายทางการเงินหรือค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร
- ไม่เหมาะสำหรับการวิเคราะห์กำไรที่แท้จริงหรือเงินสดที่มีอยู่
- อาจไม่สะท้อนความเสี่ยงทางธุรกิจหรือความไม่แน่นอนในตลาด
- อาจผันผวนได้ตามฤดูกาลและแนวโน้มตลาด
- ไม่ได้บ่งบอกถึงความสามารถในการชำระหนี้
- อาจได้รับผลกระทบจากการบันทึกบัญชีที่เปลี่ยนแปลง
- อาจไม่เป็นไปตามความเป็นจริงในบางกรณี เช่น มีการบิดเบือนต้นทุน
- ไม่บ่งชี้ถึงการเติบโตของยอดขาย
- ไม่เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรมที่มีลักษณะการดำเนินงานที่แตกต่างกัน
- อาจไม่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างต้นทุนหรือนโยบายราคาของบริษัท
สรุป
การใช้ Gross Profit Margin ในการวิเคราะห์ควรทำด้วยความเข้าใจที่ว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลที่จะช่วยในการตัดสินใจลงทุน ควรมีการดูข้อมูลทางการเงินและการดำเนินงานอื่นๆ ประกอบ รวมถึงการวิเคราะห์เชิงคุณภาพเกี่ยวกับการจัดการของบริษัท สถานะการแข่งขันในตลาด และศักยภาพในการเติบโต เพื่อให้การประเมินมีความรอบคอบและเป็นฐานข้อมูลที่มั่นคงสำหรับการตัดสินใจลงทุน