ในโลกของการลงทุน การประเมินมูลค่าหุ้นถือเป็นหัวใจสำคัญที่นักลงทุนต้องให้ความสนใจ โดยเฉพาะอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการประเมินมูลค่า ซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดสองตัวคือ P/E Ratio และ EV/EBITDA เราจะพามาทำความเข้าใจทั้งสองอัตราส่วนอย่างละเอียด พร้อมวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของแต่ละตัว

P/E Ratio

P/E Ratio หรือ Price-to-Earnings Ratio เป็นอัตราส่วนที่นักลงทุนคุ้นเคยกันดี โดยคำนวณจากราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS) ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนต้องจ่ายเงินกี่เท่าของกำไรเพื่อซื้อหุ้นตัวนั้น เช่น หากหุ้นมี P/E เท่ากับ 20 เท่า หมายความว่านักลงทุนต้องจ่ายเงิน 20 บาทเพื่อให้ได้กำไร 1 บาท

ข้อดีของ P/E Ratio

  • เข้าใจง่าย คำนวณไม่ซับซ้อน
  • ข้อมูลหาได้ง่ายจากแหล่งข้อมูลทั่วไป
  • เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • สะท้อนมุมมองของตลาดต่อศักยภาพการเติบโตของบริษัท

ข้อจำกัดของ P/E Ratio

  • ไม่ได้คำนึงถึงโครงสร้างเงินทุนและภาระหนี้สิน
  • อาจถูกบิดเบือนได้จากการจัดการกำไรทางบัญชี
  • ไม่เหมาะกับบริษัทที่มีกำไรผันผวนหรือขาดทุน
  • ไม่สามารถใช้เปรียบเทียบระหว่างอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

EV/EBITDA

EV/EBITDA เป็นอัตราส่วนที่ซับซ้อนกว่าแต่ให้มุมมองที่ครอบคลุมกว่า โดย:

  • EV (Enterprise Value) = มูลค่าตลาดของหุ้น + หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย – เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด
  • EBITDA = กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย

ข้อดีของ EV/EBITDA

  • คำนึงถึงโครงสร้างเงินทุนทั้งหมดของบริษัท
  • เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบบริษัทที่มีโครงสร้างเงินทุนต่างกัน
  • ลดผลกระทบจากนโยบายบัญชีที่แตกต่างกัน
  • เหมาะกับการประเมินมูลค่าในการควบรวมกิจการ
  • สะท้อนความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานที่แท้จริง

ข้อจำกัดของ EV/EBITDA

  • การคำนวณมีความซับซ้อนกว่า P/E Ratio
  • ต้องการข้อมูลมากกว่าและบางส่วนอาจเข้าถึงยาก
  • ไม่ได้คำนึงถึงรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure)
  • อาจให้ภาพที่ดีเกินจริงสำหรับบริษัทที่มีภาระหนี้สินสูง

เมื่อไหร่ควรใช้ P/E Ratio และ EV/EBITDA?

การเลือกใช้อัตราส่วนใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ:

ควรใช้ P/E Ratio เมื่อ:

  1. ต้องการประเมินมูลค่าอย่างรวดเร็ว
  2. เปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีโครงสร้างเงินทุนคล้ายกัน
  3. วิเคราะห์บริษัทที่มีการเติบโตสูงและมีกำไรสม่ำเสมอ
  4. ประเมินบริษัทในอุตสาหกรรมบริการที่ใช้สินทรัพย์ถาวรน้อย

ควรใช้ EV/EBITDA เมื่อ:

  1. วิเคราะห์บริษัทที่มีโครงสร้างเงินทุนต่างกัน
  2. ประเมินมูลค่าเพื่อการควบรวมกิจการ
  3. วิเคราะห์บริษัทในอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูง
  4. เปรียบเทียบบริษัทที่อยู่ในประเทศต่างๆ ที่มีระบบภาษีต่างกัน

กรณีศึกษา: การใช้ทั้งสองอัตราส่วนร่วมกัน

สมมติว่าเรากำลังวิเคราะห์บริษัท A และ B ในอุตสาหกรรมค้าปลีก:

บริษัท A:

  • P/E = 15 เท่า
  • EV/EBITDA = 8 เท่า
  • มีหนี้สินต่ำ
  • กำไรเติบโตสม่ำเสมอ

บริษัท B:

  • P/E = 12 เท่า
  • EV/EBITDA = 10 เท่า
  • มีหนี้สินสูง
  • กำไรผันผวน

หากดูเพียง P/E Ratio บริษัท B จะดูน่าสนใจกว่าเพราะราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับกำไร แต่เมื่อพิจารณา EV/EBITDA ร่วมด้วย จะเห็นว่าบริษัท A อาจมีความน่าสนใจมากกว่าเพราะ:

  • มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่า
  • มีภาระหนี้สินต่ำกว่า
  • มีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

  1. ไม่ควรใช้อัตราส่วนใดอัตราส่วนหนึ่งเพียงอย่างเดียว
  2. พิจารณาลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมและบริษัทประกอบการตัดสินใจ
  3. ศึกษาแนวโน้มของอัตราส่วนย้อนหลัง ไม่ดูเพียงค่าปัจจุบัน
  4. เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมและคู่แข่งสำคัญ
  5. พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น คุณภาพกำไร การเติบโต และความเสี่ยง

สรุป

ทั้ง P/E Ratio และ EV/EBITDA มีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง นักลงทุนควรใช้ทั้งสองอัตราส่วนร่วมกันเพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วนในการประเมินมูลค่าหุ้น โดยต้องพิจารณาควบคู่กับปัจจัยพื้นฐานอื่นๆของบริษัท รวมถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ การเข้าใจข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละอัตราส่วนจะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน