จากพาร์ทที่แล้วที่เราเกริ่นไปว่า การเลือกที่จะแปลงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินทรัพย์ระยะยาวให้เป็นทุน (Capitalization) หรือการบันทึกค่าใช้จ่ายเหล่านั้นลงไปใน Income statement ตรงๆ จะส่งผลให้ค่าต่างๆในงบการเงินมีค่าแตกต่างกันออกไป 

เริ่มต้นจากกำไรสุทธิ (Net profit) หากบริษัท Capitalize ค่าใช้จ่ายจะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายใน Income statement ลดลงในปีแรก ทำให้กำไรสุทธิในปีที่มีการ Capitalize สูงกว่าการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรง อย่างไรก็ตามในงวดถัดๆไป กำไรสุทธิสำหรับการใช้วิธี Capitalization จะต่ำกว่าวิธีบันทึกค่าใช้จ่าย เนื่องจากสินทรัพย์ระยะยาวที่ถูก Capitalized ค่าใช้จ่ายเข้าไปจะมีค่าเสื่อมราคา (Depreciation expense) ที่ถูกบันทึกลงไปใน Income statement สูงกว่านั่นเอง

ในเมื่อมีการแปลงค่าใช้จ่ายมาเป็นทุน ซึ่งทำให้สินทรัพย์รวม (Total assets) สูงขึ้น ก็จะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders’ equity) สูงขึ้นด้วยเช่นกันจากสมการ

 Assets = Liabilities + Shareholders’ equity

แต่ถ้าหากว่าบริษัทบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย จะทำให้กำไรลดลง และกำไรสะสม (Retained earnings) ลดลงตามมา ซึ่งกำไรสะสมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Shareholders’ equity ส่วนของผู้ถือหุ้นจึงมีค่าต่ำกว่าวิธี Capitalization

การบันทึกทั้ง 2 วิธีนี้ส่งผลต่อกระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน (Cash flow from operating activities (CFO)) เช่นกัน โดยการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายจะเป็นการบันทึกกระแสเงินสดไหลออกจากกิจกรรมการดำเนินงาน แต่ถ้าหากใช้วิธี Capitalization ค่าใช้จ่ายจะถูกบันทึกเป็นกระแสเงินสดไหลออกจากกิจกรรมการลงทุน (Cash flow from investing activities (CFI)) แทน จึงทำให้ CFO ในงวดที่มีการ Capitalize สูงกว่าการบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ในงวดถัดๆไปที่มี Depreciation expense สูงกว่าวิธีการบันทึกค่าใช้จ่ายตรงๆก็ไม่กระทบ CFO เพราะว่าเป็นรายจ่ายที่ไม่ใช่เงินสดนั่นเอง

Source: https://efinancemanagement.com/financial-accounting/capitalizing-versus-expensing-costs

ผลกระทบต่ออัตราส่วนทางการเงิน

ในเมื่อ Capitalization มีผลกระทบต่อตัวเลขในงบการเงิน แน่นอนว่าจะต้องกระทบต่ออัตราส่วนทางการเงินบางตัวที่เกี่ยวข้องด้วย เริ่มต้นด้วย Debt-to-asset และ Debt-to-equity ratio ซึ่งการ Capitalize จะทำให้มีค่าต่ำกว่าอีกวิธี เนื่องจากมูลค่า Assets และ Shareholders’ equity ที่สูงกว่า

ถัดมาเป็น Return ratios อย่าง Return on equity (ROE) และ Return on assets (ROA) โดยในงวดที่มีการ Capitalize จะมีค่าสูงกว่าในอีกวิธี เพราะว่าจะมีกำไรสุทธิสูงกว่า แต่ว่างบที่มีการ Capitalize จะมีค่าของอัตราส่วนนี้ต่ำกว่าวิธีบันทึกค่าใช้จ่ายในงวดถัดๆไป จาก Depreciation expense ที่สูงกว่านั่นเอง

อัตราส่วนสุดท้ายคืออัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) ซึ่งหากมีการ Capitalize ดอกเบี้ย จะทำให้อัตราส่วนมีค่าต่ำลง เนื่องจากมีตัวหารเป็นดอกเบี้ยจ่าย (Interest expense) อย่างไรก็ตามเมื่อเราวิเคราะห์ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยของบริษัท เราควรที่จะใช้ดอกเบี้ยจ่ายรวม (Total interest expense) ซึ่งจะรวมดอกเบี้ยที่ถูก Capitalized เข้าไปด้วย เพื่อดูความสามารถในการจ่ายหนี้ที่แท้จริงของบริษัท

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง