เกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการวิเคราะห์การลงทุน [ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย]
หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือของกลุ่มวิชาที่ 1: จรรยาบรรณและมาตรฐานการปฏิบัติงานภายใต้หลักสูตร CISA ใหม่ระดับที่ 1 (หลักสูตรการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนขั้นพื้นฐาน)
บทที่ 1 ภาพรวมของกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ)
วัตถุประสงค์
- ปรับปรุงระบบและโครงสร้างการกำกับดูแลการพัฒนาตลาดทุนไทย โดย
- คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดนโยบายและกำกับการดำเนินการของสำนักงาน ก.ล.ต.
- สำนักงาน ก.ล.ต. กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนไทย และรับผิดชอบการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
- ส่งเสริมการระดมทุนโดยตรงผ่านการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ต่าง ๆ
- ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลงทุนและป้องกันการกระทำอันไม่เป็นธรรม
- สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์และตลาดทุน โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักทรัพย์ (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ) ประกอบด้วย
- ตั๋วเงินคลัง
- พันธบัตร
- ตั๋วเงิน
- หุ้น
- หุ้นกู้
- หน่วยลงทุน
- ใบสำคัญแสดงสิทธิ
- ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR)
- ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ (TSR)
การระดมทุนในตลาดแรก
การระดมทุนด้วยการออกหลักทรัพย์เสนอขายในตลาดแรกจะทำได้ต่อเมื่อ
- ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต.
- ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูล
ภายหลังจากการเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ต้องปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันตามระยะเวลาที่กำหนดหรือเปิดเผยข้อมูลที่อาจกระทบต่อการตัดสินใจลงทุน
การระดมทุนในตลาดรอง
ตลาดรอง คือ ตลาดที่รองรับการซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังจากที่มีการออกและเสนอขายในตลาดแรกแล้ว ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์และศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์
ในปัจจุบัน ไม่มีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์
นอกจากนี้แล้ว ยังมีสำนักหักบัญชี, ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์และนายทะเบียนหลักทรัพย์ ซึ่งช่วยสนับสนุนการซื้อขายที่เกิดขึ้นตลาดหลักทรัพย์
ธุรกิจตัวกลางที่อยู่ภายใต้บังคับพ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ
- กลุ่มบริการเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น ธุรกิจค้าหลักทรัพย์, ธุรกิจจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ เป็นต้น
- กลุ่มบริการเกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น ธุรกิจจัดการกองทุนรวม ธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล
- กลุ่มบริการให้คำแนะนำด้านหลักทรัพย์ เช่น ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุน
- กลุ่มบริการลักษณะเฉพาะ เช่น ธุรกิจจัดการเงินร่วมลงทุน ธุรกิจให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
การคุ้มครองทรัพย์สินของลูกค้า
- ทรัพย์สินของลูกค้าที่อยู่กับบริษัทหลักทรัพย์
- หลักทรัพย์ของลูกค้าที่อยู่กับสำนักหักบัญชี
- หลักทรัพย์ของลูกค้าที่ฝากกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
หลักธรรมาภิบาลในตลาดทุน
- บริษัทที่ออกหลักทรัพย์/บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์: เปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนและเพียงพอ และกรรมการและผู้บริหารของบริษัทจะต้องบริหารจัดการบริษัทด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของผู้ถือหุ้นโดยรวม
- ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์: นอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของลูกค้าแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องกับมาตรฐานและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ
การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ
- หลักเปิดเผยข้อมูล: ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับรู้การเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีการถือหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญผ่านกลไกการรายงานโดยบุคคลที่มีการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ
- การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์: ผู้มีอำนาจครอบงำใหม่หรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เป็นการทั่วไป เพื่อเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าครอบงำกิจการ และให้โอกาสผู้ที่ไม่ประสงค์ถือหลักทรัพย์ต่อไปมีสิทธิที่เท่าเทียมในการขายหลักทรัพย์แก่ผู้มีอำนาจครอบงำได้โดยตรงในราคาที่เป็นธรรม
การกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
- ห้ามการบอกกล่าว เผยแพร่ หรือให้คำรับรองข้อความอันเป็นเท็จในสาระสำคัญหรือให้ข้อความไม่ครบถ้วนทำให้บุคคลสำคัญผิดในสาระสำคัญ
- ห้ามการวิเคราะห์หรือคาดการณ์ฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน ราคาซื้อขายหลักทรัพย์หรือข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับบริษัทหลักทรัพย์ โดยอาศัยข้อมูลที่รู้หรือควรรู้ว่าเป็นเท็จหรือไม่ครบถ้วน
- ห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์ขณะรับรู้หรือครอบครองข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาซึ่งเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้เปิดเผยทั่วไป และห้ามการบอกกล่าวข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลอื่นโดยรู้หรือควรรู้ว่าบุคคลดังกล่าวจะนำไปใช้ประโยชน์ในการซื้อขายหลักทรัพย์
- ห้ามการส่งหรือทำการซื้อขายเพื่อสร้างภาพลวงตาเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อหลักทรัพย์ หรือสร้างสภาพตลาดที่ผิดปรกติ
- ห้ามนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือผู้จัดการกองทุนแสวงหาประโยชน์จากการล่วงรู้ข้อมูลความต้องการซื้อขายของลูกค้า
- ห้ามการกระทำที่น่าจะทำให้ราคาหลักทรัพย์หรือปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ผิดปกติและเป็นเหตุให้ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ล่าช้าหรือหยุดชะงัก
การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายและบทลงโทษ
- การดำเนินการทางอาญา: มาตรา 267/1 – มาตรา 315
- การดำเนินการทางแพ่ง: มาตรา 317/1 – มาตรา 317/14
- การดำเนินทางปกครอง: ตามพ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (พ.ร.บ. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า)
วัตถุประสงค์
- รองรับสถานภาพทางกฎหมายของสัญญาเพื่อให้ผู้ที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยสุจริต มีความมั่นใจว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่ผูกพันและก่อหนี้ที่อาจเรียกร้องให้ชำระได้ตามกฎหมาย
- รองรับการเกิดศูนย์ซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนมีช่องทางในการบริหารความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
- เพื่อให้ความคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกเอาเปรียบหรือถูกหลอกลวง
- เพื่อให้ทางการกำกับดูแลผลกระทบของการทำธุรกรรมสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่อความมั่นคงของระบบการเงิน
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ประกอบด้วย ฟิวเจอร์ส, ออปชันและออปชันบนสัญญาฟิวเจอร์ส
สัญญาที่ไม่ได้อยู่ใต้พ.ร.บ. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งทำนอกศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- สัญญาซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีข้อตกลงว่าจะขายหรือซื้อคืนหลักทรัพย์ดังกล่าว
- สัญญาหรือการซื้อขายใด ๆ ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด เช่น ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์
ธุรกิจที่เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ได้แก่
- ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- ผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- กิจการอื่นที่เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
การคุ้มครองทรัพย์สินลูกค้า
- ทรัพย์สินของลูกค้าที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- หลักทรัพย์ของลูกค้าที่อยู่กับสำนักหักบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
การกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- การบอกกล่าว แพร่ข้อความหรือให้คำรับรองอันเป็นเท็จหรืออาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือการคาดการณ์เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สินค้าหรือตัวแปร โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่ใช้ในการคาดการณ์ หรือนำข้อมูลที่ควรรู้หรือรู้ว่าเป็นเท็จมาใช้ในการคาดการณ์
- การแพร่ข้อความซึ่งแสดงว่าราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะสูงขึ้นหรือต่ำลง หรือมีการรักษาระดับราคา
- การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยอาศัยการรู้อันเนื่องมาจากการทำหน้าที่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ยังไม่เปิดเผยต่อประชาชน
การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายและการลงโทษ
- โทษทางปกครอง: มาตรา 111 – มาตรา 124
- โทษอาญา: มาตรา 125 – มาตรา 151 และมาตรา 153
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล)
วัตถุประสงค์
- ส่งเสริมการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในตลาดทุน
- เครื่องมือในการจัดระเบียบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการให้ระดมทุนหรือให้บริการ
สินทรัพย์ดิจิทัล แบ่งออกเป็น
- คริปโตเคอเรนซี
- โทเคนดิจิทัล
หลักทรัพย์ตามพ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ ไม่ถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลถึงแม้จะอยู่ในรูปของหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม
การเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (ICO) ทำได้แต่เฉพาะนิติบุคคล (บริษัทจำกัดหรือบริษัทจำกัดมหาชน) ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ก่อน รวมทั้งต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล ICO และร่างหนังสือชี้ชวน (ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และสามารถเสนอขายผ่านผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ต่อเมื่อแบบแสดงรายการข้อมูล ICO และร่างหนังสือชี้ชวนมีผลบังคับใช้แล้ว
ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่
- ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
- นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
- ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล
- กิจการอื่นที่เกี่ยวกับสัญญาดิจิทัลตามที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกำหนดตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ก.ล.ต.
การกระทำไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
- ห้ามบอกกล่าว เผยแพร่ หรือให้คำรับรองข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้เสนอขายโทเคนดิจิทัล โทเคนดิจิทัลหรือราคาซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งน่าจะทำให้มีผลกระทบต่อราคาหรือต่อการตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
- ห้ามมิให้บุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในที่เกี่ยวกับผู้เสนอขายโทเคนดิจิทัลหรือโทเคนดิจิทัล ซื้อขายหรือเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับโทเคนดิจิทัลไม่ว่าเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น และห้ามเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่นโดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำไปใช้ประโยชน์ในการซื้อขาย เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามที่กำหนด
- การห้ามผู้ประกอบธุรกิจฯ ประเภทนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้งพนักงานหรือลูกจ้าง ซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลเกี่ยวกับการสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้า กระทำการซื้อขายตัดหน้าลูกค้าหรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่งของลูกค้าให้แก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าบุคคลนั้นจะอาศัยข้อมูลดังกล่าวเพื่อซื้อขายตัดหน้าลูกค้า ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่นในประการที่น่าจะทำให้ลูกค้ารายดังล่าวเสียประโยชน์
- การห้ามมิให้ส่งคำสั่งซื้อขาย หรือซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการส่งคำสั่งซื้อขาย หรือซื้อขายในลักษณะที่ต่อเนื่องกันโดยมุ่งหมายให้ราคา หรือปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผิดไปจากสภาพปกติของตลาด
การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายและการลงโทษ
โทษทางอาญา: เทียบเคียงกับพ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ
โทษทางแพ่ง: ความผิด 2 ลักษณะ คือ
- การแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อความจริงในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน ในข้อมูลที่เปิดเผยภายหลังการเสนอขายโทเคนดิจิทัล
- การกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดิจิทัล
บทที่ 2 เกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่นักวิเคราะห์การลงทุน
นักวิเคราะห์การลงทุน หมายถึง บุคคลที่ให้คำแนะนำการลงทุนผู้ลงทุนซึ่งสามารถวิเคราะห์การลงทุนประกอบการให้คำแนะนำได้ ได้แก่ การวิเคราะห์หรือการให้คำแนะนำเกี่ยวกับคุณค่าหรือความเหมาะสมในการซื้อขายหรือลงทุนผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยทางเทคนิค และหมายรวมถึงนักวิเคราะห์การลงทุนอาเซียน
หลักปฏิบัติที่สำคัญของนักวิเคราะห์การลงทุน
- ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
- ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ และปฏิบัติต่อผู้ลงทุนทุกรายอย่างเป็นธรรมด้วยความเอาใจใส่ ระมัดระวัง รอบคอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ
- ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และหลักเกณฑ์ที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการติดต่อ ชักชวน ให้คำแนะนำ วางแผน หรือการวิเคราะห์คุณค่าหรือความเหมาะสมในการซื้อขายหรือการลงทุนในหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ไม่ว่าในส่วนที่ใช้บังคับกับตนเองหรือผู้ประกอบธุรกิจ
- ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามจรรยาบรรณและมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพที่กำหนดโดยสมาคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจตลาดทุนที่สำนักงาน ก.ล.ต. ยอมรับ
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับข้อมูลในการวิเคราะห์หลักทรัพย์
- ห้ามใช้ข้อมูลภายใน
ข้อมูลภายใน หมายถึง ข้อมูลที่ยังมิได้มีการเปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไปซึ่งเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหรือมูลค่าของหลักทรัพย์
2. แหล่งข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์การลงทุนและการนำไปใช้
- ข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญที่บริษัทจดทะเบียนได้เปิดเผยผ่านระบบเผยแพร่ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งประชาชนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
นอกเหนือจากข้อ 1 แล้ว นักวิเคราะห์สามารถใช้
- ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
- ข้อมูลที่เปิดเผยแก่นักลงทุน นักวิเคราะห์หรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
- การวิเคราะห์หรือคาดการณ์ข้อมูล และการเปิดเผยผลการวิเคราะห์ต่อประชาชน
ข้อมูลการวิเคราะห์หรือคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเป็นข้อมูลลักษณะหนึ่งที่สามารถนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ ทำให้พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ
- มาตรา 241: ห้ามบุคคลใด ๆ วิเคราะห์หรือคาดการณ์ข้อมูลที่ส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ โดยอาศัยข้อมูลที่รู้ว่าเป็นเท็จในสาระสำคัญมาใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์หรือคาดการณ์
- มาตรา 240: ห้ามการบอกกล่าว เผยแพร่หรือให้คำรับรองอันเป็นเท็จหรืออาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญ
4. หากนักวิเคราะห์ได้รับหรือล่วงรู้ข้อมูลภายใน
- ไม่ใช้ข้อมูลเพื่อตนเองหรือกลุ่มของตน
- ไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลอื่นที่อาจนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
- แจ้งเรื่องดังกล่าวให้หน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงานของบริษัทหลักทรัพย์ต้นสังกัดของตนทราบ
- แจ้งให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลภายในนั้นผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ให้ถูกต้อง
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับบทวิเคราะห์หลักทรัพย์
- หลักเกณฑ์การจัดทำบทวิเคราะห์ที่มีคุณภาพ
หลักการได้มาซึ่งผลวิเคราะห์
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ผลงานการวิเคราะห์ต้องมาจากการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพียงพอและมีการสอบทานข้อมูล
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ผลงานการวิเคราะห์ต้องมีทฤษฎีหรือมีผลการทดสอบวิจัยรองรับ และเปิดเผยให้ผู้อ่านหรือฟังบทวิเคราะห์สามารถเข้าใจได้ว่าบทวิเคราะห์ดังกล่าวใช้ทฤษฎีหรือผลการทดสอบวิจัยใด
2 การควบคุมคุณภาพของงานวิเคราะห์
สายงานวิเคราะห์ควรมีความเป็นอิสระจากฝ่ายงานหารายได้ เพื่อให้นักวิเคราะห์สามารถวิเคราะห์ตามความเป็นจริง ไม่ถูกกดดันแทรกแซงจากฝ่ายงานหารายได้
นอกจากนี้แล้ว การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานต้องมีระบบควบคุมคุณภาพของงานวิเคราะห์ ซึ่งควรมีหลักเกณฑ์ขั้นต่ำ เช่น
- มีข้อมูลการทำธุรกิจของบริษัทและภาพรวมของอุตสาหกรรม
- มีการทำโมเดลทางการเงินประกอบการวิเคราะห์
- มีการกำหนดสมมติฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์
- มีระบบการกลั่นกรองตรวจสอบบทวิเคราะห์ก่อนเผยแพร่
- ฯลฯ
บทที่ 3 เกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ (หุ้นสามัญ)
บริษัทที่ต้องการเสนอขายหุ้นออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ต้องเป็นบริษัทมหาชนและได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์ในเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี และหลักเกณฑ์คุณสมบัติอื่น ๆ เช่น
- การรักษาสิทธิของผู้ถือหุ้นและปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเป็นธรรม
- ระบบการควบคุมภายในที่ดี
- การเปิดเผยข้อมูลครบถ้วน ตรงตามความจริงและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำ IPO
- ที่ปรึกษาทางการเงิน
- ผู้สอบบัญชี
- ผู้ตรวจสอบภายใน
- คณะกรรมการตรวจสอบ
เกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล
บริษัทจะต้องเปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจและไม่ทำให้สำคัญผิด รวมถึงมีระบบเพียงพอที่จะจัดทำและเปิดเผยข้อมูลอย่างน่าเชื่อถือ
ความรับผิดชอบของผู้เสนอขายหลักทรัพย์
หากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์มีข้อความหรือรายการที่เป็นเท็จ หรือขาดข้อมูลที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญ ผู้ถือหลักทรัพย์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทหรือเจ้าของหลักทรัพย์ตามพ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ มาตรา 82
การนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดรอง
เมื่อบริษัทสามารถระดมทุนผ่านการออกและเสนอขายหลักทรัพย์แล้ว บริษัทจะต้องนำหลักทรัพย์นั้นมาจดทะเบียนกับ
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือ
- ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI)
คุณสมบัติของหุ้นสามัญ
- มูลค่าที่ตราไว้ไม่น้อยกว่า 0.50 บาทและชำระเต็มมูลค่าแล้วทั้งหมด
- ระบุชื่อผู้ถือ
- ไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น ยกเว้นแต่ที่กำหนดตามกฎหมายและต้องระบุไว้ในข้อบังคับบริษัท
คุณสมบัติของบริษัทที่ยื่นคำขอ
คุณสมบัติเบื้องต้น
- บริษัทมหาชนจำกัดหรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายไทยจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ
- แสดงได้ว่ามีฐานะการเงินมั่นคงและเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ
- จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
การดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียน
- มูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิไม่น้อยกว่า 0.5 บาท ยกเว้นในบางกรณี
- กรรมการ ผู้บริหารและผู้มีอำนาจควบคุม
- มีคุณสมบัติและไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม หรือลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
- ไม่เป็นบุคคลที่ฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง มติคณะกรรมการหรือข้อตกลงการจดทะเบียนหลักทรัพย์กับตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนหนังสือเวียนที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ถือปฏิบัติที่อาจมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิทธิประโยชน์หรือการตัดสินใจของผู้ถือหุ้นหรือผู้ลงทุนหรือการเปลี่ยนแปลงในราคาหลักทรัพย์
- มีผู้รับผิดชอบสูงสุดสายงานบัญชีและการเงินและผู้ควบคุมดูแลการทำบัญชีที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการตลาดทุน
- มีระบบกำกับดูแลกิจการที่ดี
- มีผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต.
- มีระบบการควบคุมภายใน
- บริษัทจดทะเบียนและบริษัทย่อยต้องไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ตามที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการตลาดทุน
- มีคุณสมบัติในด้านการกระจายการถือหุ้น โดยต้องมีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่น้อยกว่า 150 รายและผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า 15% ของทุนชำระแล้วของบริษัทจดทะเบียน
- มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- กรณีบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้น (บริษัทโฮลดิ้ง)
- แสดงได้ว่ามีอำนาจควบคุมหรือบริหารจัดการบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักซึ่งก่อให้เกิดกำไรหลักตามสัดส่วนการถือหุ้น
- ไม่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจบริหารจัดการเงินลงทุน
- ถือหุ้นในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักซึ่งก่อให้เกิดกำไรหลัก ณ วันที่ยื่นคำขออย่างน้อย 1 บริษัทตลอดเวลาที่เป็นบริษัทจดทะเบียน โดยอาจเปลี่ยนบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักเมื่อพ้น 3 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
- บริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักซึ่งก่อให้เกิดกำไรหลัก ต้องไม่มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน
- มอบหมายให้ตลาดหลักทรัพย์หรือบุคคลภายนอกที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ความเห็นชอบทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์จดทะเบียน
การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน
เปิดเผยตามรอบระยะเวลา
- การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน เช่น งบประจำปี งบรายไตรมาส เป็นต้น
- การนำส่ง/เปิดเผยข้อมูลประเภทอื่น ๆ เช่น หนังสือประชุมผู้ถือหุ้น แบบแสดงการกระจายการถือหุ้นรายย่อย เป็นต้น
เปิดเผยเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญ
- การประชุมผู้ถือหุ้น
- การจ่ายปันผล
- การเพิ่ม/ลดทุน
- การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และรายการที่เกี่ยวโยงกัน
- การซื้อหุ้นคืน
การประชุมผู้ถือหุ้น แบ่งออกเป็น
- การประชุมสามัญประจำปี: ประชุมภายใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันสิ้นรอบบัญชีของบริษัทเพื่อรับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทและพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น
- การประชุมวิสามัญ: ผู้ถือหุ้นสามารถขอจัดประชุมวิสามัญ ถ้าผู้ถือหุ้นมีหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า ⅕ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้ว หรือผู้ถือหุ้น 25 คนที่มีจำนวนหุ้นไม่น้อยกว่า 1/10 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้ว
การรายงานการถือครองหลักทรัพย์ของกรรมการ ผู้บริหารและผู้สอบบัญชี เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวการถือครองหลักทรัพย์ของบุคคลดังกล่าว ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะที่อาจล่วงรู้ข้อมูลภายในของบริษัทและอาจหาประโยชน์จากข้อมูลนั้นก่อนที่ข้อมูลจะเปิดเผยเป็นการทั่วไป
บทที่ 4 เกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ
ข้อกำหนดเพื่อคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อยแบ่งออกเป็น
- การให้เปิดเผยข้อมูล: ผู้ที่ได้มาหรือจำหน่ายหุ้นจนทำให้สัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่แตะจุดที่ทุก 5% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดต้องรายงานการได้มาและจำหน่ายหุ้นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ภายในสามวันทำการ
- การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์: หากบุคคลใดได้หุ้นมาจนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นถึงจุดที่สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจการควบคุมกิจการ (Trigger Point) บุคคลนั้นต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดและหลักทรัพย์อื่นของกิจการนั้น เพื่อเป็นทางออกที่เป็นธรรมสำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์จะถือหุ้นของกิจการอีกต่อไป
Trigger Point หมายถึง
- เดิมถือหุ้นไม่ถึง 25% เมื่อได้หุ้นมาเพิ่ม จะทำให้ถือหุ้นตั้งแต่ 25% ขึ้นไป
- เดิมถือหุ้นไม่ถึง 50% เมื่อได้หุ้นมาเพิ่ม จะทำให้ถือหุ้นตั้งแต่ 50% ขึ้นไป
- เดิมถือหุ้นไม่ถึง 75% เมื่อได้หุ้นมาเพิ่ม จะทำให้ถือหุ้นตั้งแต่ 75% ขึ้นไป
เกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
- การรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ
หลักทรัพย์ที่ต้องรายงาน: หุ้นและหลักทรัพย์แปลงสภาพ
การนับรวมหลักทรัพย์
ตามมาตรา 246, 247 และ 258 ของพ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ
- ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อ
หลักการ
- เมื่อบุคคลใดได้หุ้นมาจนถึงสัดส่วนที่มีอำนาจในการควบคุมกิจการ จะต้องทำคำเสนอซื้อให้ผู้ถือหุ้นอื่นมีโอกาสขายอย่างเท่าเทียมกัน
- ในการทำคำเสนอซื้อ
(ก) ผู้ถือหลักทรัพย์ทุกรายต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
(ข) มีการเปิดเผยข้อมูลถูกต้องครบถ้วน
(ค) ผู้ถือหลักทรัพย์มีเวลาเพียงพอในการตัดสินใจ
ประเภทคำเสนอซื้อ
- กรณีเกิดตามกฎหมาย
- กรณีสมัครใจ
- กรณีเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์
- กรณีเสนอซื้อหุ้นบางส่วน
3. ขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
- ผู้ซื้อเจรจากับผู้ขาย
- ซื้อขายหุ้น
- ผู้ซื้อยื่นประกาศเจตนา
- ผู้ซื้อยื่นคำเสนอซื้อแก่ผู้ถือหุ้นทุกราย
- กิจการทำความเห็น
- ผู้ซื้อรายงานผลเบื้องต้น
- ปิดคำเสนอซื้อ
- ชำระราคา
- รายงานผลการรับซื้อ
4. จุดที่ต้องทำคำเสนอซื้อ
กรณีทั่วไป
- เดิมสิทธิออกเสียงไม่ถึง 25% เมื่อได้หุ้นมาเพิ่ม จะทำให้มีสิทธิออกเสียงตั้งแต่ 25% ขึ้นไปของสิทธิออกเสียงทั้งหมด
- เดิมสิทธิออกเสียงไม่ถึง 50% เมื่อได้หุ้นมาเพิ่ม จะทำให้มีสิทธิออกเสียงตั้งแต่ 50% ขึ้นไปของสิทธิออกเสียงทั้งหมด
- เดิมสิทธิออกเสียงไม่ถึง 75% เมื่อได้หุ้นมาเพิ่ม จะทำให้มีสิทธิออกเสียงตั้งแต่ 75% ขึ้นไปของสิทธิออกเสียงทั้งหมด
กรณีที่เกิดจากกิจการซื้อหุ้นคืน
กรณีที่กิจการซื้อหุ้นคืนแล้วทำให้บุคคลใดถือหุ้นถึง Trigger Point บุคคลนั้นยังไม่ต้องคำเสนอซื้อจนกว่าบุคคลนั้นจะได้หุ้นเพิ่มมากี่หุ้นก็ตาม เขาจึงต้องคำเสนอซื้อ
- หลักทรัพย์ที่ต้องเสนอซื้อ ได้แก่ หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, ใบสำคัญแสดงสิทธิและหุ้นกู้แปลงสภาพทั้งหมด ยกเว้นหลักทรัพย์ที่ไม่มีสิทธิออกเสียง เช่น หุ้นซื้อคืน, หุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกเป็นสกุลเงินต่างประเทศ เป็นต้น
- ระยะเวลารับซื้อและข้อเสนอในคำเสนอซื้อ
- ระยะเวลารับซื้ออยู่ระหว่าง 25-45 วันทำการ
- ผู้ทำคำเสนอซื้อต้องประกาศข้อเสนอสุดท้ายและระยะเวลาสุดท้าย โดยต้องมีเวลาเหลือไม่น้อยกว่า 15 วันทำการ
- การยกเลิกเจตนาขาย
- ผู้ทำคำเสนอซื้อต้องยินยอมให้ผู้ที่แสดงเจตนาขายสามารถยกเลิกการแสดงเจตนาขายได้โดยต้องให้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 20 วันทำการ
- ราคาเสนอซื้อ หลักการสำคัญคือ
- รูปแบบราคาซื้อต้องเหมือนกันสำหรับหลักทรัพย์ประเภทเดียวกัน
- รูปแบบเสนอซื้อมีมากกว่า 1 ทางเลือกได้ แต่ต้องมีทางเลือกหนึ่งเป็นเงินสด
- ถ้าราคาเสนอซื้อเป็นสิ่งตอบแทนอื่นที่มิใช่ตัวเงิน ต้องประเมินมูลค่าโดยที่ปรึกษาทางการเงิน
- ราคาเสนอซื้อต้องไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่ผู้ทำคำเสนอซื้อและบุคคลตามมาตรา 258 ของผู้ทำคำเสนอซื้อได้มาในช่วง 90 วัน
- กรณีมีผู้ทำคำเสนอซื้อแข่ง
- ขยายเวลารับซื้อได้จนถึงวันสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อของคู่แข่ง
- ประกาศข้อเสนอสุดท้ายและระยะเวลาสุดท้ายเป็นวันเดียวกับคู่แข่ง
- รายงานผลการรับซื้อ
- รายงานผลการรับซื้อเบื้องต้น: ตามแบบ 247-6 ข ภายในวันทำการถัดจากวันสุดท้ายที่สามารถยกเลิกการแสดงเจตนาขายหรือก่อนสิ้นสุดเวลารับซื้อ 3 วันทำการ ในกรณีที่ผู้ทำคำเสนอซื้อให้สิทธิยกเลิกการแสดงเจตนาขายได้ตลอดระยะเวลารับซื้อ
- รายงานผลการรับซื้อภายหลังสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อ: ตามแบบ 256-2 ภายใน 5 วันทำการหลังสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อ
- การยกเลิกคำเสนอซื้อ
- เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อกิจการ
- กิจการทำให้มูลค่าหุ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- มีผู้มาแสดงเจตนาน้อยกว่าจำนวนขั้นต่ำที่รับซื้อ (กรณีสมัครใจเท่านั้น)
- ข้อบังคับหลังการทำคำเสนอซื้อ
- ภายใน 6 เดือนหลังจากการทำคำเสนอซื้อ ห้ามผู้ทำคำเสนอซื้อได้หลักทรัพย์ของกิจการในราคาที่สูงกว่าหรือด้วยเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์กว่าราคาหรือเงื่อนไขในคำเสนอซื้อ
- ภายใน 1 ปีหลังจากการทำคำเสนอซื้อ ห้ามผู้ทำคำเสนอซื้อดำเนินการในส่วนที่เป็นสาระสำคัญแตกต่างที่ระบุไว้ในคำเสนอซื้อ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4
- กรณีการครอบงำกิจการผ่านนิติบุคคลอื่น
- การได้หุ้นหรือมีอำนาจควบคุมมากกว่า 50% ในนิติบุคคลอื่น ทั้งนี้ การมีอำนาจควบคุมในนิติบุคคลอื่น รวมถึงการส่งบุคคลหรือมีพฤติกรรมในการส่งบุคคลเข้าเป็นกรรมการในจำนวนที่มีนัยสำคัญ
- นิติบุคคลอื่นในทุกทอดจนถึงทอดสุดท้ายที่ถือหุ้นในกิจการรวมกับบุคคลตามมาตรา 258 ของนิติบุคคลดังกล่าวถือหุ้นมากกว่า 25%
ในกรณีที่เกิดการครอบงำแบบไม่เป็นมิตร มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้บริหาร/กรรมการของบางบริษัทพยายามป้องกันตนเองจากการถูกครอบงำ หรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นรบกวนมิให้ฝ่ายที่จะเข้ามาครอบงำสามารถทำสำเร็จได้โดยง่าย ทำให้ผู้ตั้งใจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหม่เปลี่ยนความตั้งใจหรือได้รับความเสียหาย หรือมีต้นทุนในการดำเนินงานสูงขึ้น การกระทำดังกล่าวเรียกว่า “Frustration Action”
ตัวอย่าง Frustration Action
- การเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ที่เข้ามาครอบงำกิจการลดลง
- การขายทรัพย์สินที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจออกไป จนกิจการไม่สามารถดำเนินการต่อไปดังเดิม
- การกำหนดข้อกำหนดหรือระเบียบของบริษัทว่าหากผู้เข้าครอบงำกิจการให้กรรมการชุดปัจจุบันออกจากตำแหน่ง บริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมากให้กับกรรมการดังกล่าว
พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ กำหนดให้การทำ Frustration Action ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ถือหุ้น และต้องได้รับความเห็นชอบเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้
การยกเว้นและการขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อ
- การยกเว้นการทำคำเสนอซื้อเป็นการทั่วไป
- ได้หุ้นมาทางมรดก
- ได้หุ้นมาตามสิทธิที่มีอยู่เดิม
- ได้หุ้นมาโดยบุคคลที่มิได้มีวัตถุประสงค์จะควบคุมกิจการ
- ภายหลังการได้มาลดสัดส่วนการถือหุ้นให้ต่ำกว่า Trigger Point ภายใน 7 วัน และไม่ใช้สิทธิออกเสียงในส่วนที่เกิน Trigger Point
- การขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ
- กรณีที่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจการควบคุม
- กรณีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือหรือฟื้นฟูกิจการ
- กรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
- กรณีที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการได้มีแนววินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว
- กรณีมีเหตุจำเป็นและสมควร
การจัดทำความเห็นของกิจการ
- กรณียกเว้นไม่ต้องทำความเห็นของกิจการ: กรณีที่ผู้ทำคำเสนอซื้อมีการแก้ไขเงื่อนไขในการรับซื้อในคำเสนอซื้อ และกิจการได้เคยให้ความเห็นว่าควรตอบรับคำเสนอซื้อตามข้อเสนอซื้อเดิมในครั้งก่อนหรือเคยให้ความเห็นในเรื่องราคาขั้นต่ำที่ควรยอมรับแล้ว กิจการไม่ต้องให้ความเห็นเพิ่มเติมอีก
- กรณียกเว้นไม่ต้องจัดให้มีที่ปรึกษาทางการเงินร่วมจัดทำความเห็นของกิจการ: กรณีที่มีการทำคำเสนอซื้อซ้ำ เช่น การทำคำเสนอซื้อเพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ซ้ำภายหลังจากการทำคำเสนอซื้อไปแล้วครั้งหนึ่ง
คณะอนุกรรมการวินิจฉัยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ
คณะอนุกรรมการวินิจฉัยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการมีวาระคราวละ 2 ปี โดยคัดเลือกจากบุคคลในรายชื่อที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. แต่งตั้ง ซึ่งแบ่งเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นประธานอนุกรรมการ
กลุ่มที่ 2 ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน
กลุ่มที่ 3 ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
กลุ่มที่ 4 ผู้แทนจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อทำหน้าที่อนุกรรมการและเลขานุการ
คณะอนุกรรมการวินิจฉัยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการมีอำนาจ
- ผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในกรณีที่ได้อำนาจควบคุมทางอ้อมในกิจการ ซึ่งผู้ขอผ่อนผันได้นิติบุคคลกลางมาโดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อครอบงำกิจการ
- สั่งการหรือผ่อนผันเกี่ยวกับการกำหนดราคาและการลดราคา ในกรณีเป็นการทำคำเสนอซื้อเพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ และเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่อกิจการ
- สั่งการให้หยุดระยะเวลารับซื้อเป็นการชั่วคราว
- เสนอความเห็นหรือให้คำแนะนำต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงาน ก.ล.ต. เกี่ยวกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ
- ผ่อนผันหลักเกณฑ์ใด ๆ ที่สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่าควรได้รับการพิจารณาโดยคณะอนุกรรมการวินิจฉัยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ
บทที่ 5 เกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายสูง
วัตถุประสงค์ของกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงินและการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงคือ
- เพื่อป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดสามารถใช้การทำธุรกรรมที่ได้รับจากผู้ประกอบธุรกิจเป็นช่องทางในการฟอกเงินและการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงินแก่การเผยแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานและชื่อเสียงของผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงภาพพจน์และความน่าเชื่อถือของตลาดทุนโดยรวม
- เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีระบบงานที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับตามการปฏิบัติตามกฎหมายการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายสูง รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ ของสำนักงาน ปปง. และการป้องกันความเสี่ยงในการไม่ปฏิบัติตามหรือถูกดำเนินการตามกฎหมายในฐานะตัวการร่วมหรือผู้ให้การสนับสนุนในการฟอกเงิน และการสนับสนุนการทางเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
เกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
- วิธีการในรายงานธุรกรรม
สถาบันการเงินต้องรายงานการทำธุรกรรมแก่สำนักงาน ปปง. เมื่อ
- ธุรกรรมที่มีการใช้เงินสดตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป เช่น การฝากหรือเบิกเงินสด, การวางเงินสดในการซื้อหลักทรัพย์ เป็นต้น
- ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีมูลค่าตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป เช่น การประมูลสินทรัพย์สินที่ธนาคารขายทอดตลาด
- ธุรกรรมใด ๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือเชื่อว่าเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงหรือเกี่ยวข้องกับความผิดตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เช่น การฝากเงินไม่ถึง 2 ล้านบาทผ่านธนาคารหลายแห่งและหลายสาขา เป็นต้น
- หลักเกณฑ์ในการจัดให้ลูกค้าแสดงตน
สถาบันการเงินต้องจัดให้ลูกค้าแสดงตนทุกครั้งก่อนทำธุรกรรม เว้นแต่ลูกค้าได้แสดงตนไว้ก่อนแล้ว นอกจากนี้ จะต้องกำหนดนโยบายการรับลูกค้า การบริหารความเสี่ยงที่อาจเกี่ยวกับการฟอกเงินของลูกค้า และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าเมื่อเริ่มทำธุรกรรมครั้งแรก โดยทำการตรวจสอบเป็นระยะจนสิ้นสุดดำเนินการเมื่อมีการปิดบัญชีหรือยุติความสัมพันธ์กับลูกค้า
การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า
หลักการทั่วไป
- ต้องกำหนดและดำเนินการตามนโยบายและระเบียบวิธีการที่เป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับการประเมินและบริหารความเสี่ยง และการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมสำหรับการบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว ทั้งนี้ นโยบายและระเบียบวิธีการจะต้องมีการทบทวนเป็นระยะและปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันเสมอ
- ห้ามสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือทำธุรกรรมกับลูกค้าที่ปกปิดชื่อจริงหรือใช้ชื่อแฝง
- ห้ามเปิดเผยข้อเท็จจริงหรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันอาจมีผลทำให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับการรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือรายงานข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องของลูกค้า
- จัดให้มีบุคลากรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าเข้าใจในกระบวนการและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
การบริหารความเสี่ยง
- กำหนดระดับความเข้มข้นในการดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าสำหรับลูกค้าทุกรายให้สอดคล้องกับความเสี่ยง
- ลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงต้องได้รับการดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าในระดับที่เข้มข้นมากที่สุด
- ลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำได้รับการดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าในระดับที่ต่ำกว่า
การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงของลูกค้า เมื่อ
- เริ่มมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับลูกค้า
- มีการทำธุรกรรมเป็นครั้งคราว ไม่ว่าครั้งเดียวหรือหลายครั้งที่มีร่องรอยความต่อเนื่องรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป หรือที่เป็นการโอนเงินหรือการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในแต่ละมีมูลค่าตั้งแต่ 50,000 บาทไป
- มีข้อสงสัยว่าจะเป็นการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หรือข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อมูลการระบุตัวตนของลูกค้าหรือระบุตัวผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง
มาตรการควบคุมภายในและนโยบายสำหรับสำนักงาน สาขาหรือบริษัทในเครือ
- ต้องกำหนดขั้นตอนในการจ้างพนักงาน เพื่อให้พนักงานปฏิบัติงานภายใต้นโยบายหรือมาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการจัดให้พนักงานได้รับการฝึกอบรวมอย่างต่อเนื่อง
- ต้องกำหนดให้มีพนักงานระดับบริหาร เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
- ต้องกำหนดให้สำนักงานหรือสาขาหรือบริษัทในเครือที่ตนถือหุ้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ ปฏิบัติตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าอย่างเคร่งครัด
- อาจกำหนดมาตรการในการร่วมใช้ข้อมูลหรือส่งข้อมูลให้แก่สำนักงานหรือสาขาหรือบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า การทำธุรกรรม ความเคลื่อนไหวทางการเงินของลูกค้า หรือผลการประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้า รวมถึงมีมาตรการในการรักษาความลับจากการส่งหรือรับข้อมูลดังกล่าวอย่างเข้มงวด
- กรณีที่มาตรการตามกฎหมายในประเทศที่สำนักงานหรือสาขาหรือบริษัทในเครือตั้งอยู่มีความเข้มงวดแตกต่างจากกฎหมายของไทย ให้ถือปฏิบัติตามมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดกว่า
การบันทึกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธุรกรรม
- ให้ผู้บันทึกข้อเท็จจริงลงลายมือชื่อ และเขียนชื่อและนามสกุลด้วยลายมือตัวบรรจงกำกับไว้พร้อมกับระบุวัน เดือน ปีที่บันทึกข้อเท็จจริง
การเก็บรักษาข้อมูล
- เก็บรักษารายละเอียดเกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าเป็นเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีการปิดบัญชีหรือยุติความสัมพันธ์กับลูกค้า แต่ก่อนพ้นกำหนดเวลาสิบปีดังกล่าว หากมีเหตุจำเป็นและสมควร สำนักงาน ปปง. สามารถทำหนังสือให้ผู้มีหน้าที่รายงานเก็บรักษารายละเอียดเกี่ยวกับลูกค้าของลูกค้ารายนั้นต่อไปอีกไม่เกินห้าปีนับตั้งแต่พ้นเวลาสิบปี
เกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการเผยแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
- เมื่อสำนักงาน ปปง. ประกาศรายชื่อบุคคลที่มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายและการเผยแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง หรือมีเหตุอันควรสงสัยและมีพยานหลักฐานอันสมควรว่าผู้ใดมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการเผยแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายสูง หรือดำเนินการแทนหรือตามคำสั่งหรือภายใต้การควบคุมของบุคคลนั้น ๆ ให้ผู้ประกอบธุรกิจ
- ระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าว
- แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินให้สำนักงาน ปปง. ทราบ
- แจ้งให้สำนักงาน ปปง. ทราบเกี่ยวกับผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นลูกค้าซึ่งอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดหรือผู้ที่มีหรือเคยมีการทำธุรกรรมกับผู้นั้น
- กำหนดนโยบายในการประเมินความเสี่ยงหรือแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันมิให้การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายสูง
- เก็บรักษาและการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ถูกระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินตามระเบียบที่คณะกรรมการ ปปง. กำหนด
บทที่ 6 เกณฑ์และแนวปฏิบัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียน
การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน
- การเปิดเผยตามรอบระยะเวลา ได้แก่
- การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน
- การนำส่ง/เปิดเผยข้อมูลประเภทอื่น ๆ
- การเปิดเผยตามเหตุการณ์
ประเภทข้อมูล | ระยะเวลาเปิดเผย |
| ทันที |
| ภายใน 3 วันทำการ |
| 7 วันทำการ / ภายใน 14 วัน |
การประชุมผู้ถือหุ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- การประชุมสามัญ
- การประชุมวิสามัญ
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผย
- วัน เวลา และสถานที่จัดประชุมผู้ถือหุ้น
- การกำหนดสิทธิ
- วาระการประชุมผู้ถือหุ้น
การจ่ายเงินปันผล
ระยะเวลาจ่ายปันผล
- ประจำปี: ภายใน 1 เดือน นับจากวันที่ประชุมผู้ถือหุ้น
- ระหว่างกาล: ภายใน 1 เดือนนับจากวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายปันผล ซึ่งต้องรายงานต่อที่ประชุมครั้งต่อไป
ปันผลสามารถจ่ายเป็น 1. เงินสด 2. หุ้น
การกำหนดวันให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเพื่อรับปันผล
- กำหนดสิทธิโดยแจ้งมติคณะกรรมการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนวันกำหนดสิทธิ
- กรณีบริษัทจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติจ่ายปันผล ควรกำหนดวันกำหนดสิทธิในการรับปันผลภายหลังจากวันที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติไม่น้อยกว่า 5 วันทำการ
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผย
- วันที่คณะกรรมการมีมติให้จ่าย
- ข้อเสนอของคณะกรรมการที่จะจ่าย
- วันจ่ายปันผล
- กรณีจ่ายเป็นเงินปันผล: อัตราการจ่าย และจ่ายจากผลการดำเนินงานในงวดใด จำนวนปันผลที่ได้รับการยกเว้นภาษี BOI (ถ้ามี)
- กรณีจ่ายเป็นหุ้นปันผล: ระบุจำนวนหุ้น อัตราส่วนหุ้นเดิมต่อหุ้นปันผล และมูลค่าหุ้นปันผลที่จ่าย + เงินสดเพื่อรองรับภาษี ณ หักที่จ่ายในอัตรา 10%
การเพิ่มทุน
- การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน
- จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น
- จัดสรรให้กับประชาชน
- จัดสรรให้กับบุคคลในวงจำกัด
- รูปแบบการเพิ่มทุน
2.1 แบบกำหนดวัตถุประสงค์
2.2 แบบมอบอำนาจทั่วไป
- ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผย
- รายละเอียดของการเสนอขาย
- วัตถุประสงค์ของการออกหุ้นและแผนการใช้เงิน
- ผลกระทบที่มีต่อผู้ถือหุ้นจากการเสนอขายหุ้น
- ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทในเรื่องต่าง ๆ
- วันประชุมผู้ถือหุ้น วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นหรือวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น
การลดทุน เพื่อล้างขาดทุนสะสม คืนทุนให้กับผู้ถือหุ้นหรือเพื่อปรับโครงสร้างทุน
การลดทุนแบ่งออกเป็น 1. การลดมูลค่าที่ตราไว้ 2. การลดจำนวนหุ้น
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผย
- วันที่คณะกรรมการมีมติให้ลดทุน
- กำหนดการประชุมผู้ถือหุ้น รายชื่อผู้มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น และรายละเอียดการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิตามมูลค่าที่ตราไว้หรือจำนวนหุ้นที่ลดลง
การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์
เมื่อบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มูลค่าหรือขนาดรายการมีนัยสำคัญ บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยต้องเปิดเผยรายการดังกล่าวให้ผู้ลงทุนทราบ
หากรายการดังกล่าวมีมูลค่าสูงหรือขนาดรายการมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท ผู้ถือหุ้นก็จะต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการเข้าทำรายการดังกล่าว
สินทรัพย์ หมายถึง สิ่งที่มีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ซึ่งบุคคลหรือกิจการเป็นเจ้าของและมีมูลค่าสามารถจำหน่ายโอนได้
- สิ่งที่มีตัวตน เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้น
- สิ่งที่ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิการเช่าที่ดินหรืออาคาร สิทธิในสัปทาน เป็นต้น
ยกเว้น
- ทรัพย์สินหมุนเวียนที่บริษัทใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น วัตถุดิบ ลูกหนี้การค้า เป็นต้น
- การลงทุนเพื่อสภาพคล่อง เช่น เงินลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ เป็นต้น
การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ หมายถึง
- การซื้อหรือขายสินทรัพย์ หรือ
- การตกลงใจ/การเข้าทำสัญญาเพื่อให้ได้สินทรัพย์มาหรือขายสินทรัพย์ออกไป หรือ
- การได้มาหรือสละสิทธิในการได้สินทรัพย์มาหรือขายสินทรัพย์ออกไป หรือ
- การรับโอนหรือโอนออกไปซึ่งสิทธิในการครอบครองสินทรัพย์ระยะยาว หรือ
- การลงทุนหรือการยกเลิกการลงทุน
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผย เช่น
- วัน เดือน ปีที่เกิดรายการ
- คู่สัญญาที่ทำรายการ พร้อมระบุความสัมพันธ์กับบริษัท
- ประเภทและลักษณะรายการ
- รายละเอียดของสินทรัพย์
- มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน วิธีการชำระราคาและเงื่อนไขสำคัญอื่น ๆ ตามที่ตกลงกัน
- มูลค่าของสินทรัพย์ที่ได้มาหรือจำหน่ายไป เป็นต้น
การทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นทุกรายโดยเท่าเทียมกัน บริษัทจดทะเบียนควรทำรายการโดยยึดหลักการดังนี้
- เป็นรายการที่ผ่านกระบวนการอนุมัติที่โปร่งใสโดยคณะกรรมการและผู้บริหารด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวังและซื่อสัตย์สุจริต โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
- เป็นรายการที่กระทำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัท เสมือนการทำรายการกับบุคคลภายนอก
- มีระบบการติดตามและตรวจสอบที่ทำให้มั่นใจได้ว่าการทำรายการเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน หมายถึง บุคคลที่อาจทำให้กรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในการตัดสินใจดำเนินงานว่าจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของบุคคลนั้น หรือประโยชน์สูงสุดของบริษัทเป็นสำคัญ
รายการที่เกี่ยวโยงกันแบ่งออกเป็น 5 ประเภทคือ
- รายการธุรกิจปรกติ
- รายการสนับสนุนธุรกิจปรกติ
- รายการเช่าหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 3 ปี
- รายการเกี่ยวกับสินทรัพย์หรือบริการ
- รายการให้หรือรับความช่วยเหลือทางการเงิน
รายการที่ได้รับการยกเว้น
- การให้กู้ยืมเงินตามระเบียบสงเคราะห์พนักงานลูกจ้าง
- ธุรกรรมที่คู่สัญญาฝ่ายอีกหนึ่งของบริษัทหรือคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีฐานะเป็น
- บริษัทย่อยที่บริษัทจดทะเบียนถือหุ้นไม่น้อยกว่า 90%
- บริษัทย่อยที่กรรมการ ผู้บริหารหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องถือหุ้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่เกินอัตราหรือมีลักษณะตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนกำหนด
- บริษัทจดทะเบียนทำรายการกับบริษัทย่อยที่มีบุคคลเกี่ยวโยงกันถือหุ้นไม่เกิน 10% และไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจควบคุมในบริษัทย่อย
- รายการระหว่างกันของบริษัทย่อยของบริษัทจดทะเบียน ที่มีบุคคลเกี่ยวโยงกันถือหุ้นในบริษัทย่อยดังกล่าวไม่เกิน 10% และไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจควบคุมในบริษัทย่อย
- บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยออกหลักทรัพย์ใหม่ให้กับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน
- เพื่อโอนไปยังบุคคลอื่น โดยราคาของหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ไม่ต่ำกว่าราคาตลาดและไม่ได้เป็นการเพิ่มสัดส่วนของบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน
- บุคคลที่เกี่ยวโยงกันได้รับหลักทรัพย์ตามสิทธิและสัดส่วนที่ถือหุ้น
- บุคคลที่เกี่ยวโยงกันเป็นผู้จัดจำหน่ายช่วงของบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยโดยรับประกันผลการจำหน่าย
- จัดสรรให้ตามโครงการออกหลักทรัพย์ให้กับพนักงานหรือผู้บริหาร
- รายการที่บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยทำรายการกับนิติบุคคล ซึ่งบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยได้ส่งคนเข้าไปดูแลควบคุมในนิติบุคคลดังกล่าว
- รายการที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นธรรมและไม่ก่อให้เกิดการถ่ายเทผลประโยชน์
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผย
- วัน เดือน ปี ที่เกิดรายการและคู่สัญญา
- ชื่อบุคคลที่เกี่ยวโยงกันและลักษณะความเกี่ยวโยง
- ลักษณะและขอบเขตของส่วนได้ส่วนเสียของบุคคลที่เกี่ยวโยงกันในการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน
- ชื่อกรรมการที่มีส่วนได้ส่วนเสียและ/หรือกรรมการที่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน และระบุว่าบุคคลดังกล่าวไม่เข้าร่วมประชุมและไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมคณะกรรมการบริษัท เป็นต้น
การซื้อหุ้นคืน
คุณสมบัติของบริษัทจดทะเบียนที่สามารถซื้อหุ้นคืน
- มีข้อบังคับบริษัทให้สามารถซื้อหุ้นคืนได้
- มีกำไรสะสมตามงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยวงเงินซื้อคืนได้ต้องไม่เกินกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของบริษัท
- มีสภาพคล่องส่วนเกิน โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ภายใน 6 เดือนข้างหน้า
- ต้องไม่ทำให้สัดส่วนการกระจายการถือหุ้นรายย่อยต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
การซื้อหุ้นคืน 2 กรณีคือ
- ผู้ถือหุ้นไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะต้องส่งคำเสนอซื้อหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นดังกล่าว และให้ผู้ถือหุ้นแจ้งความประสงค์จะขายหุ้นคืนให้บริษัท
- การบริหารทางการเงิน ซึ่งทำได้ 2 วิธีคือ ซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์หรือเสนอซื้อเป็นการทั่วไป
- ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% ของทุนชำระแล้ว ซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์หรือเสนอซื้อเป็นการทั่วไป
- ซื้อหุ้นคืนเกิน 10% ของทุนชำระแล้ว เสนอซื้อเป็นการทั่วไปเท่านั้น
ราคาหุ้นที่ซื้อหรือขายคืนในตลาดหลักทรัพย์
- ราคาซื้อคืน ≤ 115% ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายล่าสุด
- ราคาขายคืน ≥ 85% ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายล่าสุด
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผยเมื่อคณะกรรมการบริษัทมีมติซื้อหุ้นคืน
- กรณีผู้ออกเสียงไม่เห็นด้วย ข้อมูลต้องเปิดเผยตามแบบ TS-1.1
- กรณีบริหารทางการเงิน ข้อมูลต้องเปิดเผยตามแบบ TS-1.2
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผยเมื่อคณะกรรมการบริษัทมีมติขายหุ้นที่ซื้อคืน
- แบบ TS-7
ข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผยเมื่อคณะกรรมการบริษัทมีมติตัดหุ้นที่ซื้อคืนและลดทุน
- แบบ TS-5
การดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน
ตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ต้องดำรงคุณสมบัติการดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาการเป็นบริษัทจดทะเบียน
การเพิกถอนบริษัทจำกัด
การเพิกถอนการเป็นบริษัทจดทะเบียน จะส่งผลให้หลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทที่ถูกเพิกถอนจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป
การเพิกถอนหลักทรัพย์โดยสมัครใจ: บริษัทจะต้องเปิดเผยข้อมูลและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปิดเผยมติคณะกรรมการ การขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น การทำคำเสนอซื้อหุ้นเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยที่จะขาดสภาพคล่องในการซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังจากการถูกเพิกถอนหุ้นสามัญจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
นอกจากนี้แล้ว บริษัทจดทะเบียนอาจถูกเพิกถอนหลักทรัพย์หาก
- บริษัทจดทะเบียนมีการชำระบัญชีหรือเลิกกิจการ หรือศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์
- ดำเนินการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
- ลักษณะการประกอบธุรกิจไม่เหมาะสมที่จะดำรงอยู่ในฐานะบริษัทจดทะเบียน
- บริษัทจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมซึ่งมีผลกระทบอย่างร้ายแรง
- ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดแนวทางดำเนินการต่อบริษัทจดทะเบียน หากตลาดหลักทรัพย์เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนสามารถแก้ไขปรับปรุงให้มีคุณสมบัติการเป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป
บทที่ 7 เกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์อื่น ๆ
การออกและเสนอขายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF)
ลักษณะสำคัญ
- กองทุนรวมแบบประเภทไม่รับซื้อหน่วยลงทุนคืน
- ชื่อกองทุนมีคำว่า “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” นำหน้า และคำแสดงประเภทกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่กองทุนลงทุน
- ระบุกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่กองทุนจะลงทุนไว้อย่างชัดเจนในโครงการจัดการลงทุนและหนังสือชี้ชวน
- IFF ระดมทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
- IFF ต้องนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐาน แต่ละโครงการ ≥ 1,000 ล้านบาท ยกเว้น
- กิจการไฟฟ้าไม่กำหนดมูลค่าโครงการขั้นต่ำ
- การลงทุนใน Multi-Infrastructure ต้องมีมูลค่าการลงทุนในแต่ละกิจการที่ประกอบกัน ≥ 500 ล้านบาท
- ทรัพย์สินที่ลงทุนต้องเป็นกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์หรือให้บริการแก่ประชาชนในวงกว้างของประเทศไทย
- ลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐาน ≥ 75% ของมูลค่าทรัพย์สินรวมให้ได้ภายใน 6 เดือนนับแต่วันจดทะเบียนกองทุน
- ลงทุนทั้งในโครงการที่แล้วเสร็จและโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดย
- ลงทุนในโครงการที่ไม่แล้วเสร็จ ≤ 30% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม ต้องเสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไป 500 ราย และต้องนำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- ลงทุนในโครงการที่ไม่แล้วเสร็จ > 30% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม ต้องเสนอขายต่อผู้ลงทุนรายใหญ่ ≥ 35 ราย (ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป) และห้ามนำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จนกว่าทรัพย์สินเริ่มมีรายได้ (จากนั้นต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปีนับแต่เริ่มมีรายได้)
- หาประโยชน์โดยการให้เช่าหรือให้สิทธิแก่บุคคลอื่น
- กู้ยืมเงินได้ ≤ 3 เท่าของส่วนทุน และต้องเป็นหนี้สินแบบไม่มีสิทธิไล่เบี้ย
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการถือหน่วยลงทุน
- ห้ามบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันถือหน่วยลงทุนเกิน 1 ใน 3 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด
- IFF สามารถออกหน่วยลงทุนหลายชนิดที่ให้สิทธิหรือผลประโยชน์ตอบแทนต่างกันได้
- หน่วยลงทุนที่ถือเกินอัตราที่กำหนดจะไม่ได้รับเงินปันผลและไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติ
- มี Foreign Limit เช่นเดียวกับกฎหมายที่ใช้บังคับกับกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่ IFF ลงทุน
ประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน
- ระบบขนส่งทางรางหรือทางท่อ
- ไฟฟ้า
- ประปา
- ถนน/ทางพิเศษ/ทางสัปทาน
- ท่าอากาศยาน/สนามบิน
- ท่าเรือน้ำลึก
- โทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- พลังงานทางเลือก
- ระบบบริหารจัดการน้ำหรือการชลประทาน
- ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงระบบเตือนภัยและระบบจัดการเพื่อลดความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นด้วย
- ระบบจัดการของเสีย
- กิจการที่มีลักษณะเป็นกิจการโครงสร้างพื้นฐานตาม 1 ถึง 11 (Multi-infrastructure)
รูปแบบการลงทุน
- ลงทุนโดยตรงในทรัพย์สินผ่านการถือครองกรรมสิทธิ์
- ลงทุนในสัญญาแบ่งรายได้หรือสิทธิการเช่า
- ลงทุนผ่านบริษัทลูกของ IFF
การเปิดเผยข้อมูล
- มูลค่าทรัพย์สิน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิและมูลค่าหน่วยลงทุนของ IFF – รายไตรมาส
- งบการเงิน – รายไตรมาสและรายปี
- แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี และรายงานประจำปี
- รายงานความคืบหน้าของโครงการ กรณี IFF มีการลงทุนในโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ – ทุก 6 เดือน
- รายงานเมื่อมีเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจมีผลกระทบต่อ IFF อย่างมีนัยสำคัญหรือตามที่ ก.ล.ต. กำหนด
การเลิกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
- จำนวนผู้ถือหน่วยลงทุน < 35 ราย
- IFF มีการจำหน่ายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐาน และบลจ. ได้ลดเงินทุนของ IFF เพื่อคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยลงทุนจนทำให้ IFF มีเงินทุนจดทะเบียน < 2,000 ล้านบาท (คำนวณตามมูลค่าที่ตราไว้)
- IFF มีการจำหน่ายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐาน และบลจ. ไม่สามารถดำเนินการให้กองทุนมีทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานมีมูลค่ารวมกัน ≥1,500 ล้านบาท และ ≥ 75% ของมูลค่าทรัพย์สินรวมได้ภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่จำหน่ายทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐสย
- ก.ล.ต. มีคำสั่งเพิกถอนการอนุมัติให้จัดตั้ง IFF
- เมื่อเกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการ IFF
การออกและเสนอขายทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)
REIT ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่เป็นกองทรัพย์สินที่ถือกรรมสิทธิโดยทรัสตี โดยทรัสตีมีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินในกองทรัสตี เพื่อประโยชน์ของผู้ถือใบทรัสต์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สินของกองทรัสต์
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อยู่ภายใต้กฎหมายหลัก 2 ฉบับ
- พ.ร.บ. ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกองทรัสต์และทรัสตี
- พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ฯ พ.ศ. 2535
อสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้ามาเป็นทรัพย์สิน REIT มี 2 ลักษณะคือ
- ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาเป็นกรรมสิทธิ์
- ลงทุนในสิทธิการเช่า
คุณสมบัติของหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
หน่วยทรัสต์ หมายถึง ใบทรัสต์ที่แสดงสิทธิของผู้ถือในฐานะผู้รับประโยชน์ในทรัสต์ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศของสำนักงาน ก.ล.ต.
- ชำระเต็มมูลค่าแล้วทั้งหมด
- ระบุชื่อผู้ถือ
- ไม่มีข้อจำกัดในการโอนหน่วยทรัสต์ ยกเว้นข้อจำกัดที่เป็นไปตามกฎหมาย แต่ต้องระบุไว้ในสัญญาก่อตั้งทรัสต์
ห้ามจัดสรรให้บุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันใด > 50% ของจำนวนหน่วยลงทุนแต่ละชนิด
ลักษณะสำคัญ
- ชื่อของ REIT ต้องสะท้อนลักษณะสำคัญและนโยบายการลงทุน
- ทุนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
- หน่วยทรัสต์ต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- แบ่งประเภทใบทรัสต์ออกเป็นหลายชนิดได้ โดยแบ่งตามประโยชน์ตอบแทน การคืนเงิน ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่าย และหน่วยทรัสต์ชนิดเดียวกันต้องมีสิทธิและผลประโยชน์ตอบแทนที่เท่าเทียมกัน
- หลักทรัพย์หลักที่จะลงทุน
- อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทในรูปแบบของค่าเช่า
- อสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมจัดหาผลประโยชน์ > 75% ของมูลค่าทั้งหมดที่เสนอขาย รวมเงินกู้ยืม (ถ้ามี) ส่วนที่เหลือลงทุนในทรัพย์สินอื่น เช่น พันธบัตรรัฐบาล เงินฝากธนาคารเป็นต้น
- กรณีลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่แล้วเสร็จ
(จำนวนเงินลงทุนเพื่อพัฒนา + เงินลงทุนที่ได้มาซึ่งทรัพย์สิน) < 10% ของมูลค่าทรัพย์สินรวมของทรัสต์ - ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งในต่างประเทศได้
- รูปแบบการลงทุน
- ลงทุนทางตรง (Freehold & Leasehold)
- ลงทุนทางอ้อม: ลงทุนผ่านบริษัทที่ REIT ถือหุ้น > 99% โดยควบคุมให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกับ REIT
- การจัดหาผลประโยชน์
- ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
- กรณีกองทรัสต์ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แก่บุคคลที่จะนำอสังหาริมทรัพย์นั้นไปประกอบธุรกิจที่กองทรัสต์ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องมีข้อตกลงกำหนดค่าเช่าส่วนใหญ่ไว้ล่วงหน้าเป็นจำนวนที่แน่นอน และค่าเช่าส่วนที่ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของผู้เช่าไม่เกิน 50% ของค่าเช่าที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- ผู้เช่าต้องไม่นำอสังหาริมทรัพย์ไปใช้ประกอบธุรกิจที่ขัดต่อศีลธรรมหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- การกู้ยืมและก่อภาระผูกพัน
- กู้ได้ < 35% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม แต่หาก REIT มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ สามารถกู้ยืมเงินได้ถึง 60% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม
- เป็นไปตามสัญญาก่อตั้งทรัสต์
- ไม่มีลักษณะเป็นหุ้นกู้ที่ไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ หรืออนุพันธ์แฝง หรือเป็นการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
- นำทรัพย์สินของ REIT เป็นหลักประกันได้
- การก่อภาระผูกพันกรณีอื่นต้องเป็นเรื่องปกติในทางพาณิชย์ หรือเป็นเรื่องปกติในการทำธุรกรรมประเภทนั้น
- สามารถให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยได้
- การตรวจสอบหรือสอบทานทรัพย์สินที่จะลงทุน
- ด้านกายภาพ เช่น ทำเล สภาพทรัพย์ ทางเข้าออก อายุการใช้งาน
- ด้านการเงิน เช่น แนวโน้มของความต้องการใช้พื้นที่ สภาวะการแข่งขัน การวิเคราะห์ผู้เช่า เป็นต้น
- ด้านกฎหมาย เช่น กรรมสิทธิ์ ข้อพิพาท ภาระผูกพัน เป็นต้น
ทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศ ต้องมีความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายที่เชี่ยวชาญในกฎหมายของประเทศนั้นตรวจสอบความสามารถของ REIT ในการได้มาและถือครองอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายของประเทศนั้นด้วย
- การเสนอขายและจัดสรรหน่วยทรัสต์
- เสนอขายผ่านผู้จัดจำหน่าย
- ผู้เสนอขายสามารถกำหนดสัดส่วนหน่วยทรัสต์ที่จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนแต่ละกลุ่มได้โดยเปิดเผยไว้ในแบบ Filing
- ผู้ซื้อต้องชำระค่าซื้อหน่วยเป็นเงินสดหรือเทียบเท่า
- ห้ามจัดสรรให้บุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันเกินร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
- มีผู้ถือหน่วยทรัสต์รายย่อยถือหน่วยรวมกันไม่น้อยกว่า 15% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ทั้งหมด
- REIT จ่ายเงินปันผล > 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว
การเปิดเผยข้อมูลและการโฆษณา
- ผู้เสนอขายหน่วยทรัสต์ ต้องเปิดเผยข้อมูลการเสนอขายตามที่กำหนดในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์
- โฆษณาจะต้อง
- ไม่เป็นจริง ไม่เกินจริง ไม่เร่งรัดให้ตัดสินใจ มีคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุน
- ไม่ให้ข้อมูลนอกเหนือจากที่เปิดเผยไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูล
- ไม่ชี้นำหรือประกันผลตอบแทน ยกเว้น มีการนำเสนอประมาณการผลตอบแทนอย่างครบถ้วน
- อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบัน โดยต้องระบุแหล่งที่มาอย่างชัดเจน
- มีความเห็นและการวิเคราะห์ของ RM และ FA เช่น
- ความเหมาะสมของราคาที่ซื้อทรัพย์สิน
- ความสมเหตุสมผลของการทำธุรกรรมกับบุคคลที่เกี่ยวโยง เช่น การซื้อทรัพย์สิน การว่าจ้างเป็นผู้บริหารการให้เช่าพื้นที่ เป็นต้น
- มูลค่าทรัพย์สิน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และมูลค่าหน่วยลงทุนของ REIT ทุกไตรมาส
- งบการเงิน – รายไตรมาสและรายปี
- แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี
- รายงานความคืบหน้าของโครงการ กรณี REIT มีการลงทุนในโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ – ทุก 6 เดือน
- รายงานเมื่อมีเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงที่อาจมีผลกระทบต่อ REIT อย่างมีนัยสำคัญหรือตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด
การเลิก REIT
- จำนวนผู้ถือใบทรัสต์ลดเหลือ < 35 ราย
- มีการขายอสังหาริมทรัพย์ และไม่สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ > 500 ล้านบาทหรือ 75% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ขาย
- ผู้ถือใบทรัสต์มีมติให้เลิก
การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเป็นตราสารที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการซื้อหลักทรัพย์ที่ใบสำคัญแสดงสิทธินั้นอ้างอิงอยู่ ตามราคาใช้สิทธิ จำนวนให้ใช้สิทธิและภายในระยะเวลาใช้สิทธิที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
คุณสมบัติของผู้ขออนุญาต
บริษัทที่จะเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญต้องเป็นบริษัทที่จัดตั้งตามกฎหมายไทยและมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การอนุญาตเสนอขายหุ้น
การออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ
การเสนอขาย |
|
ข้อกำหนดใบสำคัญแสดงสิทธิ |
|
จำนวนหุ้นรองรับ | ไม่เกิน 50% ของหุ้นที่จดทะเบียนแล้ว |
มาตรการคุ้มครองผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ | กรณีที่มีการเรียกให้ใช้สิทธิก่อนระยะเวลาที่กำหนด จะต้องระบุเหตุที่จะเรียกใช้สิทธิก่อนให้ชัดเจน และไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของบุคคลใด บริษัทจะต้องเรียกให้ใช้สิทธิเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กำหนดไว้ และมีมาตรการให้ผู้ลงทุนในทอดต่อไปทราบเงื่อนไขดังกล่าว |
มาตรการคุ้มครอง/รักษาสิทธิของผู้ถือหุ้น |
|
คุณสามารถสั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ : คลิ๊ก
บทความนี้เป็นแค่สรุปหนังสือ หากคุณต้องการอ่านฉบับเต็ม คุณสามารถสั่งซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์