หลักการลงทุน [ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย]

หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือของกลุ่มวิชาที่ 2: เครื่องมือเพื่อการวิเคราะห์การลงทุนภายใต้หลักสูตร CISA ใหม่ระดับที่ 1 (หลักสูตรการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนขั้นพื้นฐาน)

บทที่ 1 หลักการลงทุนเบื้องต้น

แนวคิดเบื้องต้นของการลงทุน

การลงทุนคือการจัดสรรเงินในปัจจุบันเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อที่จะได้มาซึ่งการบริโภคใช้จ่ายในอนาคตในระดับที่สูงขึ้น ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสำหรับ

  1. เวลาที่เลื่อนการบริโภค
  2. อัตราที่คาดหวังของเงินเฟ้อ
  3. ความไม่แน่นอนของการได้รับผลตอบแทนในอนาคต

การเสียสละในปัจจุบันและการคาดหวังผลตอบแทนในอนาคตนั้นเป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทน

  • ผู้ลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่สูงจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
  • ผู้ลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่ต่ำจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ

วัตถุประสงค์ของการลงทุน

  • ระดับบุคคล: รับผลตอบแทนเพื่อชดเชยความพึงพอใจ ค่าของเงินและความเสี่ยงที่เกิดจากการเลื่อนบริโภค
  • ระดับธุรกิจและประเทศ: ธุรกิจสามารถขยายกิจการและดำเนินการผลิตมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุน

  • ปัจจัยภายใน: เกี่ยวกับลักษณะส่วนบุคคลของผู้ลงทุน เช่น รายได้หรือความมั่งคั่ง, ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป็นต้น
  • ปัจจัยภายนอก: รายละเอียดหลักทรัพย์, กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เป็นต้น

ตลาดการเงินและสินทรัพย์ทุน

ตลาดการเงิน (Financial Market) คือตลาดที่ผู้ขายนำสินทรัพย์ทางการเงินมาขายและผู้ซื้อนำเงินมาเพื่อซื้อสินทรัพย์ทางการเงินนั้น ผู้ขายจะสร้างหรือผลิตสินทรัพย์ทางการเงินตามวิธีการทางการเงิน

บทบาทและหน้าที่ของตลาดการเงิน

ตลาดการเงินเป็นเครื่องมือที่ภาครัฐใช้ในการบริหารจัดการภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการระดมทุนให้กับหน่วยธุรกิจที่ขาดแคลนเงินทุน และเป็นช่องทางการออมและการลงทุนสำหรับผู้ออมและผู้ลงทุน

การจัดกลุ่มของตลาดการเงิน

  • แบ่งตามการนำสินทรัพย์ออกขาย
    • ตลาดแรก: ผู้ระดมทุนขายสินทรัพย์ทางการเงินให้กับผู้มีเงินทุนด้วยตนเอง โดยไม่ผ่านบุคคลอื่นใด
    • ตลาดรอง: ซื้อขายเปลี่ยนมือสินทรัพย์ทางการเงินที่เคยซื้อขายในตลาดแรก เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ที่ลงทุนในตลาดแรก
  • การจัดกลุ่มตามอายุตราสารทางการเงิน
    • ตลาดเงิน: ซื้อขายตราสารทางการเงินไม่เกิน 1 ปี เพื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการทำธุรกรรมปกติในแต่ละวัน
    • ตลาดทุน: ซื้อขายตราสารทางการเงินมากกว่า 1 ปี เพื่อลงทุนในโครงการระยะยาว
  • การจัดกลุ่มตามคุณลักษณะของตราสารที่นำมาซื้อขาย
    • ตลาดตราสารหนี้: ตราสารแสดงความเป็นเจ้าหนี้ เช่น หุ้นกู้ พันธบัตร เป็นต้น
    • ตลาดตราสารทุน: ตราสารแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นสามัญ เป็นต้น
  • การจัดกลุ่มตามเกณฑ์เวลาที่ส่งมอบและการชำระราคา
    • ตลาดแบบส่งมอบทันที: จ่ายเงินและรับมอบสินทรัพย์ทางการเงินทันที
    • ตลาดซื้อขายล่วงหน้า: ทำสัญญาในปัจจุบัน แต่ส่งมอบและชำระราคาในอนาคต เช่น ฟิวเจอร์ส, ฟอร์เวิร์ด, ออปชัน เป็นต้น

หนังสือเล่มนี้จำแนกประเภทของตลาดการเงินเป็น

  • ตลาดเงิน: ตลาดการกู้ยืมหรือจัดหาเงินทุนระยะสั้นที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี ซึ่งมักเป็นตราสารหนี้ ความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง
  • ตลาดตราสารหนี้ระยะยาว: ประกอบด้วยตราสารหนี้ที่มีอายุครบกำหนดระยะปานกลาง (3-5 ปี) และระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) ที่ออกโดยภาครัฐหรือเอกชน
  • ตลาดตราสารทุน: ประกอบด้วยหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิหรือตราสารที่เกี่ยวข้อง
  • ตราสารอนุพันธ์: ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิง เช่น คู่สกุลเงิน, หุ้น, ดัชนีหุ้น, ทองคำ เป็นต้น โดยตรง ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนหรือผลขาดทุนมากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง

ช่องทางการลงทุน

  1. การซื้อขายโดยตรงในตลาดการเงิน

1.1 ตลาดเงิน: คุณไม่สามารถลงทุนโดยตรงในตลาดเงิน เนื่องจากเป็นธุรกรรมเกิดขึ้นระหว่างสถาบันการเงิน

1.2 ตลาดแรกของตราสารหนี้:

  • ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประมูลตราสารหนี้ภาครัฐส่วนใหญ่
  • การออกและจำหน่ายหุ้นกู้ต้องผ่านการอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งสามารถเสนอขายได้ 2 แบบ
    • การเสนอขายแก่ประชาชนในวงกว้าง
    • การเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด

1.3 ตลาดรองของตราสารหนี้: เป็นแบบซื้อขายนอกตลาด

1.4 ตลาดแรกของตราสารทุน แบ่งออกเป็น

  • การเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป
  • การเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด

1.5 ตลาดรองของตราสารทุน ประกอบด้วย

  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI)

1.6 ตลาดสำหรับตราสารอนุพันธ์ ประกอบด้วย

  • ตลาดตราสารอนุพันธ์ที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ: ตลาดสำหรับซื้อขายอนุพันธ์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการเพื่อรวมศูนย์การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในรูปแบบเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ เช่น TFEX
  • ตลาดโอทีซี: ตลาดที่ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบกันและต่อรองซื้อขายตราสารอนุพันธ์โดยตรง โดยไม่มีตลาดที่เป็นทางการมารองรับการทำธุรกรรม
  1. การลงทุนผ่านกองทุนรวม

กองทุนรวม (Mutual Fund) คือสื่อกลางทางการเงินที่ทำหน้าที่ระดมทุนจากผู้ลงทุนหลาย ๆ คน เพื่อนำเงินมาลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้

การลงทุนผ่านกองทุนรวมมีข้อดีหลายประการ เช่น โอกาสกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนที่มากกว่า, ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี, มีการบริหารงานโดยมืออาชีพ เป็นต้น

กองทุนรวมสามารถแบ่งออกตามลักษณะการไถ่ถอนหรือขายคืนได้เป็นสองประเภท คือ

  1. กองทุนเปิด: ซื้อหรือขายหน่วยลงทุนให้แก่บริษัทจัดการตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ทุกวัน ทุกเดือน เป็นต้น
  2. กองทุนปิด: จองซื้อหน่วยลงทุนได้ครั้งเดียว และขายหน่วยลงทุนเมื่อถึงวันครบกำหนดอายุโครงการ

การคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

มูลค่าของหน่วยลงทุนสามารถวัดได้จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวม ซึ่งคำนวณได้จากมูลค่าทรัพย์สินต่อหน่วยลบด้วยมูลค่าหนี้สินต่อหน่วยของกองทุน

กองทุนเปิด: มูลค่าของหน่วยลงทุนเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

กองทุนปิด: มูลค่าของหน่วยลงทุนในตลาดรองอาจมากกว่าหรือน้อยกว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

โครงสร้างการดำเนินงานของกองทุนรวม

กองทุนรวมถูกจัดตั้งขึ้นมาเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากบริษัทจัดการ โดยบริษัทจัดการมีหน้าที่ในการกำหนดโครงการของกองทุนรวม นโยบายการลงทุนและวัตถุประสงค์ หากบริษัทจัดการล้มละลาย สินทรัพย์ของผู้ลงทุนที่อยู่ในกองทุนรวมจะไม่ได้รับผลกระทบ

เพื่อการตรวจสอบบริษัทจัดการแทนผู้ลงทุน กองทุนรวมจึงถูกกำหนดให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ ซึ่งต้องเป็นสถาบันการเงินที่ไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัทจัดการ

ค่าธรรมเนียม

บริษัทจัดการทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมและได้รับผลตอบแทนผ่านค่าธรรมเนียมการบริหาร (ค่าบริหารจัดการ + ค่าใช้จ่ายทั่วไป)

นอกจากนี้แล้ว บริษัทอาจคิด

  • ค่านายหน้าในการซื้อหน่วยลงทุน และ/หรือ
  • ค่านายหน้าในการไถ่ถอนหน่วยลงทุน

หลักการตัดสินใจลงทุน

องค์ประกอบสำคัญในการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์

การประมาณการกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคต: การคาดคะเนหรือระบุให้ได้ว่าหลักทรัพย์ที่ประเมินจะให้กระแสเงินสดในอนาคตเท่าใด ซึ่งสามารถเป็นได้หลายรูปแบบ เช่น ปันผล ดอกเบี้ย กำไรต่อหุ้น เป็นต้น

กำหนดรูปแบบกระแสเงินสดที่จะได้รับ: ทำให้ทราบเวลาที่ได้รับกระแสเงินสดนั้น ๆ เพื่อนำไปใช้คำนวณมูลค่าหลักทรัพย์

การประมาณการอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ประกอบด้วยอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง + อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้น + ส่วนชดเชยความเสี่ยงของหลักทรัพย์

การเปรียบเทียบมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อตัดสินใจลงทุน

  • กรณีราคาหลักทรัพย์ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่คำนวณได้ ควรซื้อหลักทรัพย์นั้น
  • กรณีราคาหลักทรัพย์สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่คำนวณได้ ควรขายหลักทรัพย์นั้น
  • กรณีราคาหลักทรัพย์เท่ากับมูลค่าที่แท้จริงที่คำนวณได้ ตัดสินใจซื้อ/ขายหรือไม่ก็ได้

บทที่ 2 การวิเคราะห์เชิงปริมาณและการจัดการข้อมูลเพื่อการลงทุน

ความหมายและความสำคัญของการวิเคราะห์เชิงปริมาณกับการลงทุน

การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (QA) คือเทคนิคที่ใช้การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติการวัดประเมินผลการทำงาน การประเมินมูลค่าของเครื่องมือทางการเงินและการทำนายเหตุการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง

ในภาคการเงินและการลงทุน การวิเคราะห์เชิงปริมาณถูกใช้เพื่อการวิเคราะห์โอกาสในการลงทุน เช่น เมื่อใดที่ควรซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนจะใช้การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ ในกระบวนการตัดสินใจลงทุน ซึ่งมีตั้งแต่การตรวจสอบข้อมูลทางสถิติอย่างง่าย เช่น รายได้ กำไร ไปจนถึงการคำนวณที่ซับซ้อน เช่น กระแสเงินสดที่มีอัตราคิดลดหรือการกำหนดราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น

เป้าหมายสูงสุดของการวิเคราะห์เชิงปริมาณคือ การใช้สถิติและเมตริกเชิงปริมาณเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ลงทุน

ข้อมูลทางการเงินมีความสำคัญต่อการตัดสินใจในการทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ลงทุนและผู้ระดมทุน

หากข้อมูลที่ได้รับมีคุณภาพดี ถูกต้อง ทันเวลาและทันสมัยแล้ว ผู้ลงทุนจะสามารถออกแบบกลยุทธ์การลงทุนและลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยงตามประสงค์

หากจำแนกข้อมูลตามลักษณะและแหล่งที่มาข้อมูล สามารถจำแนกเป็น

  • ข้อมูลในระดับมหภาค: มีความสำคัญมาก เพราะเศรษฐกิจมหภาคจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมและบริษัท เช่น GNP, GDP, รายได้ประชาชาติ เป็นต้น
  • ข้อมูลในระดับตลาดและอุตสาหกรรม:
    • ข้อมูลในระดับตลาด เช่น ดัชนีหลักทรัพย์, อันดับเครดิต, ข้อมูลแนวโน้มตลาด เป็นต้น
    • ข้อมูลในระดับอุตสาหกรรม – แสดงให้เห็นถึงโอกาสการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคตและข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรม
  • ข้อมูลในระดับบริษัท เช่น ข้อมูลองค์กร, รายงานประจำปี, สิ่งพิมพ์ของตลาดหลักทรัพย์และหนังสือเวียน เป็นต้น

แหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับใช้ในการวิเคราะห์การลงทุน

รายงานสารสนเทศของบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ สารสนเทศที่มีผลต่อราคาหลักทรัพย์หรือสำคัญต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

การเปิดเผยสารสนเทศตามหน้าที่ของบริษัทจดทะเบียนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

  • รายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานตามรอบบัญชี เช่น
    • งบการเงินก่อนสอบทานและก่อนตรวจสอบ: นำส่งภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันสิ้นสุดไตรมาสหรือสิ้นงวดบัญชีของบริษัท
    • งบการเงินรายไตรมาสที่ผู้สอบทานได้สอบทานแล้ว: นำส่งภายใน 45 วันนับตั้งแต่วันสุดท้ายของแต่ละไตรมาส
    • งบการเงินประจำงวดการบัญชีที่ผู้สอบบัญชีได้ตรวจสอบและแสดงความคิดเห็นแล้ว: ภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี หรือส่งงบการเงินประจำปีที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีภายใน 60 วันแทนการส่งงบการเงินไตรมาสที่ 4
    • แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) นำส่งภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี
  • สารสนเทศสำคัญตามเหตุการณ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
    • สารสนเทศหรือข้อมูลที่เข้าข่ายต้องเปิดเผยทันที ได้แก่ สารสนเทศที่มีลักษณะเข้าหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
      • มีผลต่อราคาซื้อหรือขายหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ
      • ถือได้ว่าสำคัญต่อผู้ลงทุนที่ใช้ผลการวิเคราะห์สารสนเทศของนักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญในการเลือกตัดสินใจลงทุน
      • มีหรือจะมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
    • สารสนเทศที่ให้จัดส่งภายใน 3 วันทำการ ได้แก่
      • เปลี่ยนแปลงกรรมการหรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของบริษัทจดทะเบียน
      • เปลี่ยนแปลงแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิหรือข้อบังคับของบริษัท
      • ย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่
      • บริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทย่อยเปลี่ยนผู้สอบบัญชี
      • เปลี่ยนแปลงนายทะเบียนหลักทรัพย์หรือสถานที่ตั้งของนายทะเบียนหลักทรัพย์
    • สารสนเทศที่ให้จัดส่งภายใน 14 วัน ได้แก่
      • สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือรายชื่อผู้ถือหุ้น 10 รายการแรก ณ วันที่มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นและ ณ วันที่ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น
      • รายงานการประชุมสามัญหรือประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น
      • รายงานการกระจายการถือหุ้นตามแบบที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แก่

  • ดัชนีราคาหลักทรัพย์: ค่าสถิติที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องชี้วัดที่สะท้อนภาพรวมการเคลื่อนไหวของระดับราคาซื้อขายหลักทรัพย์ว่า มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างไรในปัจจุบันเมื่อเทียบกับวันที่เริ่มมีการคำนวณดัชนีราคาหรือวันอื่น ๆ นอกจากนี้แล้ว ใช้เป็นตัวเปรียบเทียบเพื่อวัดผลการบริหารของกองทุนรวม และใช้เป็นปัจจัยอ้างอิงในการออกตราสารอนุพันธ์หรือตราสารทางการเงินต่าง ๆ
  • ข้อมูลราคาและสถิติการซื้อขาย: ตลาดหลักทรัพย์มีให้บริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูล ณ ขณะเวลาซื้อขายและข้อมูลราคาซื้อขายในอดีตของตลาดตราสารทุน (SET, MAI) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)

บทวิเคราะห์: ข้อมูลจากบริษัทที่เป็นนายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ซึ่งทำหน้าที่ประเมินศักยภาพของบริษัทจดทะเบียน ความสามารถในการทำธุรกิจ และการประเมินมูลค่าของหุ้นของบริษัทจดทะเบียน

องค์ประกอบในบทวิเคราะห์ ได้แก่

  • ตารางสรุปตัวเลขการดำเนินงานในอดีต (อย่างน้อย 2 ปี) และความคาดหมาย (อย่างน้อย 2 ปี)
  • ตารางข้อมูลที่สำคัญของหุ้นและบริษัท เช่น คำแนะนำ, ราคาเป้าหมาย, มูลค่าตลาด เป็นต้น
  • คำแนะนำการลงทุน เช่น ควรซื้อ ขายหรือถือและเหตุผลในการแนะนำดังกล่าว
  • งบการเงินในอดีต (อย่างน้อย 2 ปี) และงบการเงินประเมินในอนาคต (อย่างน้อย 2 ปี)
  • สรุปโดยย่อยอัตราส่วนทางการเงินที่แสดงให้เห็นสัดส่วนสภาพคล่อง สัดส่วนความสามารถในการทำกำไร สัดส่วนความสามารถในการชำระหนี้และอัตราการเติบโต
  • ข้อมูลสถิติการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นสาระสำคัญในการประกอบธุรกิจของบริษัท

บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักเขียนขึ้นเพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญ เช่น งบการเงินที่เพิ่งออกมา การปรับตัวเลขสมมติฐานของนักวิเคราะห์หรือข้อมูลใหม่ ๆ ที่ได้รับจากการเยี่ยมชมบริษัท บทวิเคราะห์ประเภทนี้ควร

  • อธิบายเหตุการณ์ ประเมินอย่างมีเหตุผลว่า เหตุการณ์นี้มีความสำคัญอย่างไรต่อบริษัท
  • แสดงการปรับตัวเลขประเมินเนื่องจากเหตุการณ์นี้
  • การปรับตัวเลขราคาเป้าหมายใหม่ต้องให้สมมติฐานที่เหมาะสมและชัดเจน
  • ราคาเป้าหมายควรระบุให้ชัดว่าเป็นเป้าหมาย ณ วันใด

เนื้อหาข้างต้นควรอยู่ในหน้าแรกของบทวิเคราะห์ ในกรณีที่เป็นบทวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การออกบทวิเคราะห์ครั้งแรก องค์ประกอบของบทวิเคราะห์เชิงลึกคือ

  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทโดยเน้นปัจจัยที่มีนัยยะในการทำกำไรของบริษัท เช่น ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ราคาน้ำมัน เป็นต้น
  • การวิเคราะห์และประเมินทางด้านอุตสาหกรรมและการเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างเหมาะสมทั้งในและต่างประเทศ
  • การวิเคราะห์ต้องมีสมมติฐานที่เหมาะสม ซึ่งนำไปสู่ราคาเป้าหมายที่แม่นยำยิ่งขึ้น
  • การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของบริษัท: ควรนำเสนอ 3 กรณีคือดีที่สุด ปกติ แย่ที่สุดพร้อมระดับความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นของแต่ละเหตุการณ์

การจัดการข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์การลงทุน

การจัดการข้อมูลคือการปรับปรุงข้อมูลให้สามารถใช้งานอย่างเหมาะสม การประมวลข้อมูลให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มีประโยชน์ที่พร้อมจะนำมาใช้ได้ทันที การจัดการข้อมูลจะเกิดประโยชน์สูงสุดหรือประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว ถูกต้องและเป็นกลางมากที่สุด

การจัดการข้อมูลเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการบริหารการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลจากช่วงเวลาแตกต่างกัน ก็จำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อจะได้สามารถเปรียบเทียบและนำไปสู่การตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

บทที่ 3 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย

ดอกเบี้ยคือผลตอบแทนจากการลงทุนที่ผู้ลงทุนได้รับเป็นผลตอบแทนจากการสูญเสียโอกาสในการใช้เงินหรือสินทรัพย์ไปในการลงทุนอื่น ๆ

อัตราดอกเบี้ยคืออัตราส่วนของดอกเบี้ยที่จ่ายเมื่อครบกำหนดต่อจำนวนเงินต้น

ความสำคัญของดอกเบี้ยในวิชาการเงิน

อัตราดอกเบี้ยประเภทหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญในวิชาการเงินคือ อัตราดอกเบี้ยที่ไม่มีความเสี่ยง ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยสำหรับตราสารหนี้ที่รัฐบาลเป็นผู้ออก อัตราดอกเบี้ยนี้เป็นอัตราพื้นฐานอ้างอิงของอัตราผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงประเภทอื่น ๆ

นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์ในทางเดียวกับความเสี่ยงของการลงทุน ความเสี่ยงของการลงทุนก็คือโอกาสที่จะไม่ได้รับชำระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยคืน ผู้ลงทุนย่อมต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าสำหรับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่า

ความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ธุรกิจและบุคคล

การปรับอัตราดอกเบี้ยมีเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่พิสัยเป้าหมายสำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือจำกัดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องความเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ

กรณีของธุรกิจ หากธุรกิจเป็น

  • ผู้ให้กู้: ต้องการอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดเท่าที่จะเรียกได้ เพื่อรับผลตอบแทนสูงที่สุด
  • ผู้กู้: ต้องการอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด เพื่อให้มั่นใจการลงทุนคุ้มค่าที่สุดและไม่กระทบต่อสภาพคล่องของบริษัทมากเกินไป

กรณีบุคคลธรรมดา อัตราดอกเบี้ยมีผลต่อการตัดสินใจออม กู้ยืมและใช้จ่าย เช่น หากอัตราดอกเบี้ยสูง ผู้ออมจะได้รับดอกเบี้ยสำหรับการเลื่อนบริโภคจนถึงวันที่กำหนดมากขึ้น ในขณะที่ผู้กู้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อบริโภคมากขึ้นในปัจจุบัน

ดอกเบี้ยอย่างง่ายกับดอกเบี้ยทบต้น

อัตราดอกเบี้ยอย่างง่าย – อัตราดอกเบี้ยที่คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นเท่านั้น

อัตราดอกเบี้ยทบต้น – อัตราดอกเบี้ยที่คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นและดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยในแต่ละงวดจะถูกนำไปคิดรวมเป็นเงินต้นในงวดถัดไป

แกนของเวลาและกระแสเงินสด

แกนของเวลาหรือเส้นเวลาคือแผนผังแสดงการรับและจ่ายเงิน ความยาวของเส้นตามแกนนอนจะแบ่งออกเป็นช่วงที่มีระยะห่างเท่า ๆ กัน แต่ละช่วงเวลาแทนระยะเวลาที่จะแสดงการรับและจ่ายเงิน อาจจะเป็นวัน เดือนหรือปีก็ได้

กระแสเงินสดลักษณะต่าง ๆ บนแกนของเวลา

กระแสเงินสดของเงินจำนวนเดียว: มีกระแสเงินสดรับหรือจ่ายเพียงครั้งเดียว ซึ่งอาจเกิดขึ้น ณ ตอนต้นหรือตอนสิ้นสุดระยะเวลา

กระแสเงินสดของเงินงวด: มีกระแสเงินสดรับหรือจ่ายเกิดขึ้นด้วยจำนวนเท่า ๆ กัน และเกิดขึ้นงวดละ 1 ครั้ง หลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน

กระแสเงินสดของเงินงวดที่ไม่สิ้นสุด: เงินที่จ่ายหรือรับเกิดขึ้นโดยไม่มีที่สิ้นสุด

กระแสเงินสดของเงินงวดที่ไม่เท่ากัน: กรณีที่กระแสเงินจ่ายหรือรับในช่วงเวลาต่าง ๆ มีค่าไม่เท่ากัน จะทำการคำนวณกระแสเงินสดที่มีการจ่ายหรือรับแต่ละงวดเวลาให้เป็นมูลค่าตามเวลาที่ต้องการ และคำนวณผลรวมของค่าที่ได้นั้น

ฐานของเวลา: เวลาอนาคต เวลาปัจจุบัน เวลาระหว่างทางบนแกนของเวลา

  • มูลค่าปัจจุบัน (PV) แสดงมูลค่ากระแสเงินสดที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันของจำนวนเงินที่ทั้งหมดที่จะได้รับในอนาคต
  • มูลค่าอนาคต (FV) คือมูลค่าของกระแสเงินสดในอนาคตที่จะได้รับ โดยคิดเพิ่มจากกระแสเงินสดในปัจจุบัน หรือระหว่างงวด ณ อัตราผลตอบแทนระดับหนึ่ง

กระแสเงินสดตามจุดของเวลา: ต้นงวด ปลายงวด

กระแสเงินสดแบบปลายงวด เช่น เงินเดือนที่ได้รับทุกสิ้นเดือน ค่าเช่าบ้านทุกสิ้นเดือน เป็นต้น

กระแสเงินสดแบบต้นงวด เช่น จ่ายเงินกู้ค่ารถตอนต้นงวด ค่าเบี้ยประกันชีวิตรายเดือนที่จ่ายตอนต้นเดือน เป็นต้

กระแสเงินสดแบบต้นงวดจะเกิดขึ้นเร็วกว่ากระแสเงินสดแบบปลายงวด 1 งวดเวลา

บทที่ 4 มูลค่าเงินตามเวลา

ลักษณะของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงินและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง

อัตราดอกเบี้ยปราศจากความเสี่ยงที่แท้จริง – อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการเพื่อชดเชยการลงทุนที่ทำให้ผู้ลงทุนไม่สามารถนำเงินที่ลงทุนนั้นไปบริโภคในปัจจุบัน

อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงิน – อัตราดอกเบี้ยปราศจากความเสี่ยงที่แท้จริงที่ได้รับการปรับปรุงให้ชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ และสถานการณ์ของตลาดการเงินที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา

ประเภทและลักษณะของอัตราดอกเบี้ยที่ใช้เพื่อการบริโภค

สินเชื่อเพื่อการบริโภคสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

สินเชื่อที่จ่ายคืนครั้งเดียว: จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยในครั้งเดียว สินเชื่อประเภทนี้มักมีระยะเวลาในการกู้ยืมสั้น ไม่เกิน 1 ปี

สินเชื่อแบบผ่อนชำระ: ผ่อนชำระเงินต้น+ดอกเบี้ยในจำนวนเท่ากันเป็นงวด ๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นรายเดือน) สินเชื่อแบบผ่อนชำระมักมีจำนวนเงินค่อนข้างสูง และมีระยะเวลาในการกู้ยืมนาน เมื่อพิจารณาจากหลักประกันในการใช้สินเชื่อเพื่อการบริโภค แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
  • สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน

นอกเหนือจากการคิดดอกเบี้ยครั้งเดียวต่องวดเวลา ในการคิดดอกเบี้ยยังมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคิดบ่อยครั้งและการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง

  • อัตราดอกเบี้ยที่นำมาใช้คิดดอกเบี้ยครั้งเดียวใน 1 ปี เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวเงินหรืออัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้
  • อัตราดอกเบี้ยในกรณีที่ต้องมาคิดดอกเบี้ยบ่อยครั้ง จำเป็นต้องคำนวณหาอัตราดอกเบี้ยทบค่า ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยทบค่าต่อปี

การใช้ประโยชน์เรื่องมูลค่าเงินในปัจจุบันและมูลค่าเงินในอนาคตเพื่อการวิเคราะห์ทางการเงิน

การวิเคราะห์ทางการเงินหมายถึงกระบวนการวิเคราะห์ความสามารถในการสร้างกำไรของการลงทุน ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ทางการเงินคือข้อมูลเชิงปริมาณที่นำมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน

การประเมินมูลค่าการลงทุน: การวิเคราะห์มูลค่าของเงินในปัจจุบันในกรณีที่เงินแต่ละงวดไม่เท่ากัน สามารถนำไปสู่การวิเคราะห์มูลค่ากระแสเงินสด ซึ่งเงินรายงวดแต่ละงวดในกรณีนี้คือกระแสเงินสดสุทธิอันเป็นผลต่างของผลตอบแทนและค่าใช้จ่ายจากการลงทุน ณ เวลา t

การประเมินมูลค่าการลงทุนด้วยวิธีกระแสเงินสด (DCF) เป็นการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นหรือกิจการ โดยการพิจารณาจากมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต

การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการลงทุน

การลงทุนหมายถึงการได้มาของสินทรัพย์จากการใช้เงินลงทุน ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่ลงทุนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

  • สินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น บ้าน ที่ดิน โรงงาน เครื่องจักร เป็นต้น
  • สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น สินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร เป็นต้น

ในการตัดสินใจว่าควรจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด หรือว่าควรจะลงทุนในโครงการใดหรือไม่ ก่อนการลงทุนจะต้องมีการวิเคราะห์เสียก่อนว่า การลงทุนหรือโครงการที่กำลังพิจารณามีโอกาสในการสร้างกำไรเพียงใด การวิเคราะห์นี้เรียกว่าการวิเคราะห์การลงทุนด้านการเงินของโครงการ

ในการพิจารณาเปรียบเทียบและเลือกการลงทุน วิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือการวิเคราะห์และเปรียบเทียบมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของการลงทุน หมายถึงมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดของโครงการที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ขั้นตอนการคำนวณมูลค่าปัจจุบัน

  • ระบุกระแสเงินสดทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นตลอดช่วงอายุโครงการ ทั้งกระแสเงินสดเข้าและกระแสเงินสดออก
  • พิจารณากำหนดอัตราคิดลดที่เหมาะสมสำหรับโครงการลงทุน เช่น
    • ต้นทุนของเงินทุน
    • อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ยอมรับได้
    • อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
    • ฯลฯ
  • คำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นแต่ละงวด (กระแสเงินสดเข้ามีค่าเป็นบวก กระแสเงินสดออกมีค่าเป็นลบ)
  • คำนวณผลรวมของมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดทั้งหมด
    • ถ้ามูลค่าปัจจุบันมีค่าเป็นบวก – โครงการนั้นน่าลงทุน
    • ถ้ามูลค่าปัจจุบันมีค่าเป็นลบ – ไม่ควรลงทุนในโครงการนั้น

ถ้ากำหนดให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 0 อัตราดอกเบี้ยที่คำนวณได้เรียกว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งเรียกว่าอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) เพราะว่าข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณอัตรานี้มาจากภายในการลงทุนนี้ทั้งหมด

บทที่ 5 การคำนวณอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยง

อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนในหลักทรัพย์

ผลตอบแทนจากการลงทุนหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจากการลงทุนเนื่องจากในการลงทุนใด ๆ ผู้ลงทุนเลื่อนการบริโภคในปัจจุบันออกไป เพื่อหวังว่าจะมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นและบริโภคได้มากขึ้นในอนาคต

ผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ถือครอง (HPR): ผลตอบแทนจากการลงทุน

อัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ถือครองหลักทรัพย์ (HPY): ร้อยละของผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้น

หากการลงทุนมีช่วงระยะเวลามากกว่า 1 ปี ผู้วิเคราะห์ต้องทำผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ถือครองหลักทรัพย์ 1 งวดให้เป็นผลตอบแทนในการถือครองหลักทรัพย์ต่อปี (Annual HPR) และอัตราผลตอบแทนในการถือครองหลักทรัพย์ต่อปี (Annual HPY)

อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย: ค่าเฉลี่ยที่คำนวณจากอัตราผลตอบแทนรายงวดย่อยแล้วเฉลี่ยต่องวดด้วยจำนวนงวดย่อย ซึ่งสามารถคำนวณโดยใช้ 2 วิธี คือวิธีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและวิธีค่าเฉลี่ยเรขาคณิต

การคำนวณค่าเฉลี่ยทั้งสองวิธีแตกต่างตรงกันในเรื่องที่ว่ามีการนำกระแสเงินสดรับทั้งหมดกลับไปลงทุนต่อหลักทรัพย์หรือกลุ่มหลักทรัพย์หรือไม่ ซึ่ง

  • สมมติว่าไม่มีการลงทุนต่อ – ใช้วิธีค่าเฉลี่ยเลขคณิต
  • สมมติว่ามีการลงทุนต่อ – ใช้วิธีค่าเฉลี่ยเรขาคณิต

อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง: คาดการณ์อนาคตว่าการลงทุนในหลักทรัพย์น่าจะให้ผลตอบแทนเท่าใด

อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังคำนวณได้จากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของอัตราผลตอบแทนที่เป็นไปได้โดยน้ำหนักที่ถ่วง ได้แก่ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดอัตราผลตอบแทนที่เป็นไปได้

อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการ ประกอบด้วย

  1. อัตราผลตอบแทนปราศจากความเสี่ยงที่แท้จริง: อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการเพื่อชดเชยการลงทุนที่ทำให้ผู้ลงทุนไม่สามารถนำเงินที่ลงทุนไปบริโภคในปัจจุบันได้
  2. ส่วนชดเชยเงินเฟ้อที่คาด: การปรับปรุงอัตราผลตอบแทนปราศจากความเสี่ยงที่แท้จริงเพื่อชดเชยสำหรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในดัชนีราคาและสถานการณ์ของตลาดการเงิน อันเกิดขึ้นจากการคาดการณ์ของระดับเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป
  3. ส่วนชดเชยความเสี่ยง: อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่ผู้ลงทุนควรได้รับถ้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ส่วนชดเชยความเสี่ยงถูกกำหนดโดยปัจจัยพื้นฐานต่อไปนี้
  • ความเสี่ยงด้านธุรกิจ
  • ความเสี่ยงด้านการเงิน
  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
  • ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
  • ความเสี่ยงระดับประเทศและการเมือง

การวัดความเสี่ยงของผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์

ความเสี่ยงจากการลงทุนหมายถึงความไม่แน่นอนที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดหวังไว้

เราสามารถวัดความไม่แน่นอนนี้ด้วยช่วงของผลตอบแทน หากช่วงของผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผลตอบแทนที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดยิ่งกว้างมากเท่าไหร่ ความไม่แน่นอนของผลตอบแทนในอนาคตก็จะมากขึ้นเท่านั้น

มาตรวัดความเสี่ยงที่เป็นรู้จักกันทั่วไปคือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและความแปรปรวน เป็นมาตรวัดการกระจายตัวของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่อัตราผลตอบแทนจะเกิดขึ้นจริงจะไม่เป็นไปตามอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังไว้

ยิ่งส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหรือความแปรปรวนสูงขึ้นมากเท่าไหร่ นั่นแสดงถึงการกระจายตัวของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังที่สูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งเท่ากับความเสี่ยงจากการลงทุนก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนในหลักทรัพย์

หากการลงทุนมีระดับความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนก็ควรคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกลุ่มหลักทรัพย์

กลุ่มหลักทรัพย์ (Portfolio) หมายถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหลายประเภท โดยมุ่งหวังในการกระจายความเสี่ยง เช่น หุ้น, พันธบัตรและเงินสด กลุ่มหลักทรัพย์เรียกอีกอย่างว่า “พอร์ตการลงทุน”

ระดับการยอมรับความเสี่ยง วัตถุประสงค์ในการลงทุนและระยะเวลาของบุคคลคือปัจจัยสำคัญในการระบุกลุ่มหลักทรัพย์ที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลและปรับปรุงกลุ่มหลักทรัพย์ในโอกาสต่อไป

องค์ประกอบของกลุ่มหลักทรัพย์หมายถึงการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายกัน, แตกต่างกันหรือผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายกันและแตกต่างกันก็ได้

อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์: การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากกลุ่มหลักทรัพย์ที่ประกอบด้วยมากกว่า 1 หลักทรัพย์ ซึ่งคำนวณได้จากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละหลักทรัพย์เดี่ยวที่ประกอบเป็นกลุ่มหลักทรัพย์

ความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์

ผู้วิเคราะห์ต้องทราบแนวคิดพื้นฐานทางสถิติเกี่ยวกับค่าความแปรปรวนร่วมระหว่างอัตราผลตอบแทนของ 2 หลักทรัพย์ก่อนการคำนวณหาค่าความแปรปรวนและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มหลักทรัพย์

ค่าความแปรปรวนร่วมระหว่างอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์เป็นค่าที่บ่งถึงทิศทางและระดับความผันผวนของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ว่ามีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน (ค่าเป็นเครื่องหมายบวก) หรือทิศทางตรงกันข้าม (ค่าเป็นเครื่องหมายลบ) และระดับการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันหรือทิศทางตรงกันข้ามมีมากน้อยเพียงใด

นอกเหนือจากค่าความแปรปรวนร่วมแล้ว ผู้วิเคราะห์สามารถใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ซึ่งเป็นค่าที่บ่งชี้ทิศทางและระดับความผันผวนของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์แต่ละคู่ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือตรงกันข้ามกัน และอยู่ในระดับสูงหรือต่ำเพียงใด

หากค่าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์

  • เป็นบวก: การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์คู่นั้นเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน
  • เป็นลบ: การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์คู่นั้นเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม
  • เป็นศูนย์: การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์คู่นั้นไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ เลย

ผู้วิเคราะห์สามารถคำนวณความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์จากค่าความแปรปรวนหรือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มหลักทรัพย์แบบเดียวกับการวัดค่าความเสี่ยงของหลักทรัพย์เดี่ยว

ผู้ลงทุนสามารถสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ หากกลุ่มหลักทรัพย์ประกอบด้วยอย่างน้อย 30 หลักทรัพย์ขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงทุกชนิดในตลาดแต่อย่างใด

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์

หากการลงทุนมีระดับความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนก็ควรคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น

การสร้างกลุ่มหลักทรัพย์เพื่อการลงทุน แบ่งออกเป็น 2 แนวทางคือ แนวทางดั้งเดิมและแนวทางสมัยใหม่

แนวทางดั้งเดิมในการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนพื้นฐาน คือ

  • การวิเคราะห์ข้อจำกัด
  • การกำหนดวัตถุประสงค์
  • การเลือกพอร์ตการลงทุน
  • การวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลตอบแทน
  • การกระจายการลงทุน

แนวทางสมัยใหม่ในการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ (Markowitz Approach) เน้นการเลือกหลักทรัพย์โดยพิจารณาจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลตอบแทนของแต่ละบุคคลและมีความพยายามที่จะเพิ่มผลตอบแทนที่คาดหวังสำหรับระดับความเสี่ยงที่กำหนด

หลักทรัพย์ที่มีแนวโน้มผลตอบแทนดีจะถูกเลือกและมีการจัดสรรเงินอย่างเหมาะสมระหว่างหุ้นต่าง ๆ ตามความต้องการของพอร์ตการลงทุน (ความเสี่ยงและผลตอบแทน) ของผู้ลงทุน

บทที่ 6 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกลุ่มหลักทรัพย์

แนวคิดทางทฤษฎีเกี่ยวกับกลุ่มหลักทรัพย์ของ Markowitz

หลักการพื้นฐานสำหรับลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์

แบบจำลองกลุ่มหลักทรัพย์ของ Markowitz พรรณนาอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังควบคู่ไปกับค่าความแปรปรวนของกลุ่มหลักทรัพย์นั้นอาศัยสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า ผู้ลงทุนเป็นผู้ที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งสะท้อนมายังพฤติกรรมการลงทุนภายใต้สมมติฐานที่ว่า

  • ผู้ลงทุนพิจารณาทางเลือกในการลงทุนโดยใช้การกระจายตัวของความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
  • ผู้ลงทุนเป็นผู้แสวงหาความมั่งคั่งสูงสุด โดยผู้ลงทุนจะคาดหวังอรรถประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาการลงทุนที่กำหนด
  • ผู้ลงทุนจะประมาณค่าความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์ โดยดูจากความแปรปรวนหรือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน
  • ผู้ลงทุนจะใช้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงเท่านั้นในการพิจารณาเลือกลงทุน
  • ผู้ลงทุนเป็นผู้พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยจะพิจารณาลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าสำหรับทางเลือกที่มีอัตราผลตอบแทนที่เท่ากัน และจะพิจารณาเลือกลงทุนในทางเลือกที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า หากมีความเสี่ยงเท่ากัน

 

เส้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่ดีที่สุด

เส้นโอกาสการลงทุน: การลากเส้นเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ ที่แสดงความสัมพันธ์ของอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์ตามสัดส่วนการลงทุนต่าง ๆ ในหลักทรัพย์ทั้งสองที่มีรูปร่างคล้ายลูกปืน

เส้นโค้งกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ: การลากเส้นเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ ที่แสดงถึงกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ

กลุ่มหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Portfolio) คือ

  • กลุ่มหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในบรรดากลุ่มหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเท่ากัน หรือ
  • กลุ่มหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในบรรดากลุ่มหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเท่ากัน

ความชันของเส้นโค้งอรรถประโยชน์: เส้นโค้งที่ระบุพฤติกรรมของผู้ลงทุนในการให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงในระดับต่าง ๆ โดยเส้นโค้งอรรถประโยชน์ที่สูงกว่า แสดงถึงความพึงพอใจจากความมั่งคั่งที่สูงกว่าของผู้ลงทุน

กลุ่มหลักทรัพย์ที่เหมาะสม: กลุ่มหลักทรัพย์บนเส้นโค้งกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีอรรถประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ลงทุนคนหนึ่ง

เส้นความพอใจของผู้ลงทุน

ระดับการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน (IC Curve): อธิบายพฤติกรรมของผู้ลงทุนในการพิจารณาเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถยอมรับได้

กลุ่มหลักทรัพย์ที่ดีที่สุดเพื่อการลงทุน

กรณีกลุ่มหลักทรัพย์ที่ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและไม่มีความเสี่ยง

หลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงหมายถึงหลักทรัพย์ที่ไม่สามารถระบุผลตอบแทนในอนาคตได้อย่างแน่นอน ผู้วิเคราะห์สามารถใช้ค่าความแปรปวนหรือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอัตราผลตอบแทนในการวัดความไม่แน่นอน

หลักทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง: อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์นี้จะมีความแน่นอน

การคำนวณหาอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและไม่มีความเสี่ยงคำนวณได้จากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและไม่มีความเสี่ยง โดยถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนของเงินลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละตัว

การนำหลักทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยงเข้ามารวมในกลุ่มหลักทรัพย์คือ การเกิดเส้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพใหม่ ซึ่งผสมผสานระหว่างหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและไม่มีความเสี่ยง

เส้น Capital Market Line (CML): เส้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพใหม่ ซึ่งเกิดจากการให้กู้หรือการกู้ยืมโดยปราศจากความเสี่ยง

Separation Theorem: สัดส่วนการลงทุนจะขึ้นอยู่กับความพอใจในอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ผู้ลงทุนคนใดที่มีความกลัวความเสี่ยงมากก็จะเลือกน้ำหนักการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

เส้น Security Market Line (SML): เส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่วัดโดยใช้ค่าความแปรปรวนร่วมระหว่างหลักทรัพย์เดี่ยวและกลุ่มหลักทรัพย์ตลาด

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับแบบจำลอง CAPM

ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนที่ได้จากการปรับปรุงเส้น SML จะถูกเรียกใหม่ว่า แบบจำลองในการกำหนดราคาหลักทรัพย์ (CAPM)

การประยุกต์ใช้แบบจำลอง CAPM

แบบจำลอง CAPM มีความสำคัญต่อการประเมินราคาหลักทรัพย์ในดุลยภาพ ภายใต้แบบจำลอง CAPM ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ทั้งหมดควรจะอยู่บนเส้น Security Market Line (SML) อันแสดงถึงอัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการ ณ ระดับความเสี่ยงที่เป็นระบบระดับหนึ่งที่วัดด้วยค่าเบต้า

การประเมินและวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์

  • หากอัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่พยากรณ์ไว้ – ราคาตลาดของหลักทรัพย์นั้นมีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (Undervalued) > ผู้ลงทุนควรซื้อหลักทรัพย์
  • หากอัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่พยากรณ์ไว้ – ราคาตลาดของหลักทรัพย์นั้นมีราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น (Overvalued) > ผู้ลงทุนควรขายหลักทรัพย์
  • หากอัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการเท่ากับอัตราผลตอบแทนที่พยากรณ์ไว้ (Fair Valued) > ผู้ลงทุนสามารถเลือกซื้อ/ขายหลักทรัพย์ก็ได้

การประมาณค่าความเสี่ยงที่เป็นระบบโดยใช้ Characteristic Line

Characteristic Line คือเส้นตรงที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์หรือกลุ่มหลักทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ตลาดที่ได้จากการประมาณค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ด้วยวิธีสมการถดถอย เพื่อที่จะประเมินค่าความชันที่แสดงถึงความเสี่ยงที่เป็นระบบของหลักทรัพย์หรือกลุ่มหลักทรัพย์หรือก็คือ “ค่าเบต้า”

ข้อจำกัดแบบจำลอง CAPM

กรณีอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมมีความแตกต่างกับอัตราดอกเบี้ยให้ยืม

สมมติฐานภายใต้แบบจำลอง CAPM คือการที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมเท่ากับอัตราดอกเบี้ยให้ยืม ซึ่งทำให้เกิดเส้นตรงที่เรียกว่าเส้น Capital Market Line (CML)

ในความเป็นจริงแล้ว อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมมักอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยให้ยืม ซึ่งในกรณีนี้ เส้น CML จะไม่เป็นเส้นตรง กล่าวคือ เส้น CML ใหม่จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงแล้วโค้งงอในช่วงกลางและกลับมาเป็นเส้นตรงอีกครั้ง

กรณีที่มีต้นทุนธุรกรรม

หากราคาหลักทรัพย์สูงหรือต่ำไปเพียงเล็กน้อย หลักทรัพย์นั้นอาจไม่กลับเข้าสู่จุดดุลยภาพแบบจำลอง CAPM เนื่องจากต้นทุนการทำธุรกรรมอาจมากกว่าโอกาสในการทำกำไรซึ่งผลลัพธ์คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงจะไม่เป็นเส้นตรงจะเกิดเป็นแถบของการซื้อขายใกล้ ๆ กับเส้น SML เดิม

กรณีที่มีความคาดหวังที่แตกต่างและช่วงเวลาการลงทุนหลายเวลา

หากผู้ลงทุนมีความคาดหวังเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกันและช่วงเวลาการลงทุนหลายช่วงเวลา ทำให้เกิดเส้น CML และ SML มากมาย ซึ่งทำให้เส้น SML มีหลากหลายและจะเกิดเป็นช่วงเส้น SML แบบเดียวกับกรณีที่มีต้นทุนธุรกรรม โดยช่วงห่างจะมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับความคาดหวังเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกันของผู้ลงทุน

กรณีที่ผู้ลงทุนต้องจ่ายภาษี

สมมติฐานของแบบจำลอง CAPM คือไม่มีภาษี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ลงทุนมีภาระต้องจ่ายภาษี ทำให้ผู้ลงทุนแต่ละคนมีความคาดหวังในอัตราผลตอบแทนหลังหักภาษีที่แตกต่างกัน อันจะมีผลทำให้เส้น CML และ SML ของผู้ลงทุนแต่ละคนแตกต่างกัน

การทดสอบแบบจำลอง CAPM เชิงประจักษ์

สองคำถามที่ผู้วิเคราะห์ควรให้ความสนใจคือ

  1. ค่าเบต้ามีความเสถียรเพียงใด
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงเป็นเส้นตรงตามแบบจำลอง CAPM หรือไม่

การศึกษาเชิงประจักษ์เกี่ยวกับความเสถียรของค่าเบต้า

การศึกษาพบว่า ยิ่งจำนวนหลักทรัพย์ที่ประกอบเป็นกลุ่มหลักทรัพย์มากขึ้นเพียงใด ความเสถียรของค่าเบต้าของกลุ่มหลักทรัพย์ก็จะทวีค่าเพิ่มขึ้นเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น หากช่วงเวลาที่ทำการศึกษานานเพียงใด ค่าเบต้าจะมีความเสถียรมากเท่านั้น

ในการหาค่าเบต้าเพื่อมาใช้ในการประเมินราคาหลักทรัพย์ ผู้วิเคราะห์สามารถประมาณค่าเบต้าด้วยตนเองได้ ทางเลือกที่สะดวกกว่าการประมาณการค่าเบต้าด้วยตนเองคือการนำค่าเบต้าที่คำนวณโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือบริษัทหลักทรัพย์มาประยุกต์ใช้

อัตราผลตอบแทนที่มีการปรับค่าความเสี่ยง

การเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ต้องคำนึงถึงความเสี่ยง เนื่องจาก

  • กลุ่มหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงอาจเกิดจากการจัดสรรเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงหรือจัดสรรเงินลงทุนแบบกระจุกตัว
  • กลุ่มสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนต่ำ แต่อาจมีความเสี่ยงต่ำด้วย 

ดังนั้น อัตราผลตอบแทนที่มาเปรียบเทียบกันจึงควรเป็นอัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยง

  1. Sharpe Model: มาตรวัดที่ใช้ประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ โดยเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงกับอัตราผลตอบแทนของตลาดที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยง

ความเสี่ยงที่ใช้ได้แก่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอัตราผลตอบแทน (มาตรวัดความเสี่ยงรวมของกลุ่มหลักทรัพย์)

  1. Treynor Model: มาตรวัดที่ใช้ประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ โดยเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงกับอัตราผลตอบแทนของตลาดที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงแล้ว

ตัวชี้วัดความเสี่ยงที่ใช้ได้แก่ ค่าเบต้าซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเสี่ยงที่เป็นระบบ

  1. Jensen Model: มาตรวัดที่อาศัยแนวคิดการวัดผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง (อัตราผลตอบแทนที่ประจักษ์) ในช่วงเวลาหนึ่งของกลุ่มหลักทรัพย์ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ผลการดำเนินการที่ควรเป็น ซึ่งคำนวณโดยใช้ตัวแบบ CAPM
  2. มาตรวัดตามตัวแบบของ Treyno-Black หรือ Appraisal Ratio: อัตราส่วนระหว่างค่าอัลฟ่าของกลุ่มหลักทรัพย์กับความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบของกลุ่มหลักทรัพย์ ซึ่งวัดจากค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าความผิดพลาดเชิงสุ่มของกลุ่มหลักทรัพย์

การเลือกมาตรวัด

  • ถ้าต้องการประเมินเพื่อกำหนดค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารกลุ่มหลักทรัพย์
    • ใช้มาตรวัด Jensen เนื่องจากเป็นมาตรวัดที่สามารถตีค่าเป็นมูลค่าได้โดยง่าย
  • ถ้าต้องการประเมินเพื่อเลือกกลุ่มหลักทรัพย์ที่เหมาะสมที่สุด
    • ใช้มาตรวัด Sharpe ถ้าจะลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์เพียงกลุ่มเดียว
    • ใช้มาตรวัดของ Treynor ถ้าจะเลือกกลุ่มหลักทรัพย์เป็นหนึ่งในหลายกลุ่มหลักทรัพย์ที่ต้องการบริหารเงินลงทุนเชิงรับ
    • ใช้มาตรวัด Appraisal Ratio ถ้าจะเลือกกลุ่มหลักทรัพย์นี้ในฐานะที่เป็นกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรุกและเป็นหนึ่งในหลายกลุ่มหลักทรัพย์ที่จะบริหารลักษณะผสมระหว่างเชิงรุกกับเชิงรับ

คุณสามารถสั่งซื้อหนังสือได้ที่ [Link]

บทความนี้เป็นแค่สรุปหนังสือ หากคุณต้องการอ่านฉบับเต็ม คุณสามารถสั่งซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์