การวิเคราะห์งบการเงิน [ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย]
หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือของกลุ่มวิชาที่ 2: เครื่องมือเพื่อการวิเคราะห์การลงทุนภายใต้หลักสูตร CISA ใหม่ระดับที่ 1 (หลักสูตรการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนขั้นพื้นฐาน)
บทที่ 1 งบการเงินและมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
ธุรกิจมีหลายลักษณะ เช่น ธุรกิจผู้ผลิต ธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจบริการหรืออาจจะเป็นธุรกิจที่มีลักษณะผสม
ประเภทของกิจกรรมทางธุรกิจ
- กิจกรรมดำเนินงาน – กิจกรรมหลักที่ก่อให้เกิดรายได้ของกิจการและกิจการอื่นที่มิใช่กิจกรรมลงทุนหรือกิจกรรมจัดหาเงิน
- กิจกรรมลงทุน – การได้มาและการจำหน่ายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่นซึ่งไม่รวมอยู่ในรายการเทียบเท่าเงินสด
- กิจกรรมจัดหาเงิน – กิจกรรมที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในขนาดและองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของและส่วนของการกู้ยืมของกิจการ
สมการบัญชี
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
งบการเงินและองค์ประกอบของงบการเงิน
งบการเงิน คือ รายงานที่จัดทำขึ้นอย่างมีแบบแผนเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดของกิจการ ประกอบด้วย
- งบแสดงฐานะการเงิน
- งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
- งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ
- งบกระแสเงินสด
- หมายเหตุประกอบงบการเงิน
ข้อจำกัดของงบการเงิน
- ข้อมูลที่นำเสนอเป็นข้อมูลในอดีต ซึ่งอาจแตกต่างจากปัจจุบัน
- ข้อมูลที่นำเสนอบางรายการเป็นตัวเลขประมาณการ ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน
- ข้อมูลที่นำเสนอใช้นโยบายบัญชีที่แตกต่างกัน ทำให้การเปรียบเทียบข้อมูลเป็นเรื่องยาก
- ข้อมูลที่นำเสนออาจมีหรือไม่มีความสัมพันธ์กับผลตอบแทนจากการลงทุนและราคาหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดสาธารณะ เป็นต้น
ผู้ใช้งบการเงินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- ผู้ใช้ภายใน – ผู้บริหารทุกระดับทุกส่วนงานที่มีอำนาจตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน การลงทุนและการจัดหาเงินของกิจการ
- ผู้ใช้ภายนอก – ผู้มีส่วนได้เสียภายนอก (เจ้าของ เจ้าหนี้ นักลงทุน ฯลฯ)
กิจการที่ต้องจัดทำงบการเงิน
- กิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ ได้แก่
- กิจการที่มีตราสารทุนหรือตราสารหนี้ซึ่งมีการซื้อขายต่อประชาชนหรือกิจการที่อยู่ในกระบวนการนำส่งงบการเงินให้แก่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือหน่วยงานกำกับเพื่อที่จะนำตราสารทุนหรือตราสารหนี้ออกขายต่อประชาชนในอนาคต
- กิจการที่ดำเนินธุรกิจหลักในการดูแลสินทรัพย์ของกลุ่มบุคคลภายนอกในวงกว้าง เช่น สถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ เป็นต้น
- บริษัทมหาชน
- กิจการอื่นที่อาจจะกำหนดเพิ่มเติมภายหลัง
กิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะต้องจัดทำงบการเงินให้เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานทางการเงินของประเทศไทย (TFRS) ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) อย่างเต็มรูปแบบ
- กิจกรรมที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ – กิจการที่นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ซึ่งต้องจัดทำงบการเงินให้เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ
กิจกรรมที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะสามารถเลือกจัดทำงบการเงินโดยใช้มาตรฐานเดียวกับกิจกรรมที่มีส่วนได้เสียสาธารณะก็ได้ แต่จะต้องปฏิบัติตามทั้งหมดและครบถ้วน
ประเภทและองค์ประกอบสำคัญของงบการเงินสำหรับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ
กิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะต้องนำเสนองบการเงินฉบับสมบูรณ์เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินได้รับข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงธุรกิจ
งบการเงินฉบับสมบูรณ์
- งบแสดงฐานะการเงิน: นำเสนอฐานะการเงินของกิจการ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง (ประกอบด้วยสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ)
- งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ: นำเสนอผลการดำเนินงานของกิจการสำหรับรอบระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง (กำไรหรือขาดทุนสำหรับงวด)
- งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้ถือหุ้น: นำเสนอการเปลี่ยนแปลงยอดของบัญชีในส่วนของเจ้าของสำหรับรอบระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง (ประกอบด้วยทุนเรือนหุ้น กำไรสะสมและองค์ประกอบอื่นในส่วนของผู้ถือหุ้น)
- งบกระแสเงินสด: นำเสนอกระแสเงินสดเข้าและออกที่เกิดขึ้นจากรายการค้าต่าง ๆ ในรอบระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง (ประกอบด้วยกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนและกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน)
- หมายเหตุประกอบงบการเงิน
- เกณฑ์การจัดทำงบการเงินและนโยบายการบัญชีที่สำคัญ
- เปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดของมาตรฐานรายงานทางการเงิน
- ข้อมูลเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่ไม่ได้นำเสนอในงบการเงิน แต่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการทำความเข้าใจงบการเงิน
- ข้อมูลเปรียบเทียบของงวดก่อน
- งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันต้นงวดของงวดก่อน – เมื่อกิจการได้นำนโยบายการบัญชีใหม่มาถือปฏิบัติย้อนหลัง หรือการปรับย้อนหลังรายการในงบการเงิน หรือเมื่อกิจการมีการจัดประเภทรายการใหม่ในงบการเงิน
บทที่ 2 งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงฐานะการเงินนำเสนอข้อมูลฐานะการเงินของกิจการ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ซึ่งฐานะการเงินมี 3 ตัวชี้วัดหลักคือ
- สินทรัพย์: สิทธิที่มีความเป็นไปได้เพื่อการผลิตประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กิจการควบคุมที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีต เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ เป็นต้น
- หนี้สิน: ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีต เช่น เจ้าหนี้การค้า เงินกู้ยืมธนาคาร ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย เป็นต้น
- ส่วนของผู้ถือหุ้น: ส่วนได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์หลังจากหักหนี้สินออกไปแล้ว
สมการทางบัญชี: สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
สมการทางบัญชีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งสินทรัพย์จะต้องเท่ากับผลรวมของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้นในทุกเวลา นี่คือสาเหตุที่ชื่อเดิมของงบนี้เรียกว่า “งบดุล”
ในการนำเสนอรายการในงบการเงิน กิจการจะต้องคำนึงถึงความมีสาระสำคัญของรายการ หากรายการมีสาระสำคัญ มีลักษณะแตกต่างจากรายการอื่น มีความเสี่ยงหรือการบริหารจัดการแตกต่างจากรายการอื่น กิจการจะต้องแยกแสดงรายการเป็นบรรทัดให้ชัดเจน ไม่รวมรายการกับรายการอื่น
การจัดประเภทรายการหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน
เมื่อกิจการนำเสนอสินทรัพย์และหนี้สินในงบแสดงฐานะการเงิน กิจการต้องจัดประเภทสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่นเดียวกับหนี้สินหมุนเวียนและหนี้สินไม่หมุนเวียน
สินทรัพย์หมุนเวียนต้องเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่ง
- กิจการคาดว่าจะได้รับประโยชน์หรือตั้งใจสำหรับขายหรือใช้ภายในรอบระยะเวลาการดำเนินงานตามปกติของกิจการ
- กิจการถือสินทรัพย์โดยมีวัตถุประสงค์หลักถือไว้เพื่อค้าหรือเพื่อเก็งกำไรจากการถือครองระยะสั้น
- กิจการคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์ภายใน 12 เดือนหลังจากรอบระยะเวลารายงาน หรือ
- สินทรัพย์ที่เป็นเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดและไม่มีข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนหรือการใช้ชำระหนี้สินภายในระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือนหลังจากรอบระยะเวลารายงาน
หากเงินสดมีข้อจำกัดในการถอน กิจการต้องแยกรายการเงินสดที่มีข้อจำกัดในการถอนและนำเสนอในรายการแยกอีกบรรทัดหนึ่ง
สินทรัพย์หมุนเวียนที่มักพบในงบแสดงฐานะการเงิน
- เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด
- เงินสด – เงินสดในมือและเงินฝากธนาคารที่ไม่มีข้อจำกัดในการถอนและธนาคารต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
- รายการเทียบเท่าเงินสด – เงินลงทุนระยะสั้นที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดในจำนวนที่ทราบได้และมีความเสี่ยงที่ไม่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในมูลค่า
- เงินลงทุนชั่วคราว – เงินลงทุนที่กิจการตั้งใจจะถือไว้ไม่เกิน 1 ปี เช่น หลักทรัพย์เพื่อค้าและตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี
- สินทรัพย์ทางการเงิน หมายถึง
- เงินสด
- ตราสารทุนของกิจการอื่น
- สิทธิตามสัญญา
- ที่จะรับเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจากกิจการอื่น หรือ
- ที่จะแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินกับกิจการอื่นภายใต้เงื่อนไขที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อกิจการ
- สัญญาที่จะหรืออาจได้รับชำระสัญญาด้วยตราสารทุนของกิจการเองและเป็น
- รายการที่ไม่ใช่อนุพันธ์ ซึ่งกิจการมีหรืออาจมีภาระผูกพันในการรับตราสารทุนของกิจการเองเป็นจำนวนที่ผันแปร หรือ
- รายการอนุพันธ์ที่จะหรืออาจจะได้รับชำระสัญญาเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น กับตราสารทุนของกิจการเองในจำนวนคงที่
- ลูกหนี้
- ลูกหนี้การค้า – จำนวนเงินที่กิจการคาดว่าจะได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ
- ตั๋วเงินรับ – สัญญาที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุถึงหนี้ที่มีกำหนดชำระ
- ลูกหนี้อื่น – ลูกหนี้ของกิจการที่มิได้เกิดจากการรประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ
- ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า – การชำระเงินล่วงหน้าสำหรับสินค้าหรือบริการที่กิจการยังไม่ได้รับหรือทยอยรับแต่ยังไม่ครบ เช่น ค่าเช่า ค่าเบี้ยประกัน เป็นต้น
- สินค้าคงเหลือ
- สินทรัพย์ที่มีตัวตนที่กิจการถือไว้เพื่อขายตามลักษณะการประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ หรือ
- สินทรัพย์ที่มีตัวตนที่อยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตเพื่อให้เป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อขาย หรือ
- สินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของวัตถุดิบหรือวัสดุที่มีไว้เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าหรือให้บริการ
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนคือสินทรัพย์ที่ไม่เข้าเกณฑ์ข้างต้น
- ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ – สินทรัพย์ที่มีตัวตนที่กิจการถือไว้เพื่อ
- ใช้ประโยชน์ในการผลิต
- ใช้ในการจำหน่ายสินค้าหรือให้บริการ
- ให้เช่า
- ใช้ในการบริหารงาน
- อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน – อสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองเพื่อหาประโยชน์จากค่าเช่าหรือจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของสินทรัพย์หรือทั้งสองอย่าง
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน – สินทรัพย์ที่ไม่เป็นตัวเงินที่สามารถระบุได้ แต่ไม่มีกายภาพตามที่กำหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร สัมปทาน เป็นต้น
- ค่าความนิยม – สินทรัพย์ที่แสดงถึงผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตที่จะได้รับจากสินทรัพย์อื่นที่ได้มาจากการรวมธุรกิจที่ไม่สามารถระบุและรับรู้รายการแยกออกมาให้ชัดเจนได้
- ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ – สินทรัพย์ที่มีตัวตนที่กิจการถือไว้เพื่อ
- เงินลงทุนในบริษัทร่วม การร่วมค้าและบริษัทย่อย
- เงินลงทุนในบริษัทร่วม – เงินลงทุนในกิจการอื่นซึ่งกิจการผู้ซื้อมีอิทธิพลอย่างมีสาระสำคัญในกิจการนั้น
- เงินลงทุนในบริษัทย่อย – เงินลงทุนในกิจการอื่นซึ่งกิจการผู้ซื้อมีอำนาจในการควบคุมกิจการนั้น
- เงินลงทุนในการร่วมค้า – การลงทุนเพื่อประกอบกิจกรรมเชิงเศรษฐกิจของบุคคลหรือกิจการตั้งแต่สองรายขึ้นไป โดยมีการควบคุมร่วมกันตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา
- เงินลงทุนระยะยาวอื่น – เงินลงทุนระยะยาวในกิจการอื่นที่นอกเหนือจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม เงินลงทุนในบริษัทย่อยและเงินลงทุนในการร่วมค้า
- เงินให้กู้ยืมระยะยาว
- สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี – จำนวนภาษีเงินได้ที่กิจการสามารถขอคืนได้ในอนาคตที่เกิดจาก
- ผลแตกต่างชั่วคราวที่ใช้หักภาษี
- ขาดทุนทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ยกไป
- เครดิตทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ยกไป
- สินทรัพย์ทางการเงิน – เอกสาร ตราสาร สัญญาหรือสิทธิที่ทำให้กิจการจะได้รับเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ตามสัญญาจากกิจการในอนาคต
- ทรัพยากรธรรมชาติ – สินทรัพย์ที่มีลักษณะทางกายภาพ เกิดขึ้นตามธรรมชาติและให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในระยะเวลายาวนาน รวมทั้งเป็นสินทรัพย์ที่ใช้แล้วหมดไป ต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างขึ้นมาทดแทน เช่น แร่ธาตุ ถ่านหิน น้ำมัน ป่าไม้ เป็นต้น
หนี้สินหมุนเวียนต้องเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
- กิจการคาดว่าจะมีการชำระภายในรอบระยะเวลาการดำเนินงานตามปกติของกิจการ
- กิจการถือไว้โดยมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นคือมีไว้เพื่อค้า
- หนี้สินถึงกำหนดชำระภายใน 12 เดือนนับจากรอบระยะเวลารายงาน หรือ
- กิจการไม่มีสิทธิอันปราศจากเงื่อนไขให้เลื่อนการชำระหนี้ออกไปอีกเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 12 เดือนนับจากรอบระยะเวลารายงาน
หนี้สินหมุนเวียนที่พบในงบแสดงฐานะการเงิน
- เจ้าหนี้การค้า – จำนวนเงินค้างชำระสำหรับการจัดซื้อวัตถุดิบ สินค้าหรือบริการที่เอามาใช้ในการดำเนินธุรกิจตามปกติ
- ตั๋วเงินจ่าย – กิจการอาจออกตั๋วเงินให้แก่เจ้าหนี้เพื่อเป็นคำมั่นสัญญาในการจ่ายชำระเงิน ซึ่งแบ่งออกเป็น
- ตั๋วเงินจ่ายชนิดระบุดอกเบี้ย
- ตั๋วเงินจ่ายชนิดไม่ระบุดอกเบี้ย
- เงินกู้ระยะสั้นและส่วนของหนี้สินระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือน
- ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย – ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้วในงวดบัญชี แต่กิจการยังมิได้จ่ายชำระ
- รายได้รับล่วงหน้า – รายได้ที่กิจการได้รับเงินมาก่อน แต่ยังไม่ได้ส่งมอบสินค้าหรือบริการที่ต้องส่งมอบหรือให้บริการแก่ลูกค้า
หนี้สินไม่หมุนเวียนคือสินทรัพย์ที่ไม่เข้าเกณฑ์ข้างต้น
- หนี้สินทางการเงิน – ภาระผูกพันตามสัญญาที่จะส่งมอบเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นให้กิจการอื่นหรือที่จะแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินกับกิจการอื่นภายใต้เงื่อนไขที่น่าจะทำให้กิจการเสียประโยชน์
- หนี้สินเงินได้รอการตัดบัญชี – จำนวนภาษีเงินได้ที่กิจการต้องจ่ายในอนาคตที่เกิดจากผลแตกต่างชั่วคราวที่ต้องเสียภาษี
- ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงาน – ภาระผูกพันของกิจการในการจ่ายชำระสิ่งตอบแทนในทุก ๆ รูปแบบให้แก่พนักงานเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับบริการที่ได้รับจากพนักงานหรือการเลิกจ้างงาน
- ประมาณการหนี้สินระยะยาว – ประมาณการหนี้สินที่มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาหรือจำนวนที่ต้องจ่ายในอนาคต เช่น หนี้สินจากคดีฟ้องร้อง ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เป็นต้น
- หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น – หนี้สินของกิจการที่ยังไม่เข้าเงื่อนไขการรับรู้รายการในงบแสดงฐานะการเงิน เช่น การถูกประเมินภาษีย้อนหลัง การค้ำประกันหนี้สินให้แก่บุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
- สัญญาเช่า – การเช่าเป็นข้อตกลงตามสัญญาระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่า โดยผู้ให้เช่าได้โอนการควบคุมในสินทรัพย์ที่ทำสัญญาให้แก่ผู้เช่า
- หนี้สินนอกงบดุล – วิธีปฏิบัติทางบัญชีที่กิจการเลือกนำมาใช้เพื่อไม่รับรู้รายการหนี้สินไว้ในงบแสดงฐานะการเงิน (เพื่อรักษาระดับของหนี้สินให้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา)
แนวคิดพื้นฐานในการวัดมูลค่ารายการสินทรัพย์และหนี้สิน
- ต้นทุนเดิม – ราคาของรายการ ณ ขณะที่เกิดรายการนั้น ๆ
ต้นทุนเดิมของสินทรัพย์คือต้นทุนที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์นั้น ๆ และทำให้สินทรัพย์อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งาน
ต้นทุนเดิมของหนี้สินคือมูลค่าของสิ่งตอบแทนที่ได้รับจากการเกิดหรือเข้ารับภาระหนี้สินหักด้วยต้นทุนการทำรายการ
ตัวอย่างของสินทรัพย์ที่วัดมูลค่าด้วยต้นทุนเดิมเมื่อเริ่มแรก เช่น สินค้าคงเหลือ ลูกหนี้การค้า ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เป็นต้น
- มูลค่าสภาพปัจจุบัน – ต้นทุนเดิมไม่สะท้อนถึงมูลค่าสภาพปัจจุบัน ซึ่งอาจจะทำให้ข้อมูลที่นำเสนอมีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจน้อยลง ดังนั้น บางกลุ่มสินทรัพย์และหนี้สินอาจวัดมูลค่าด้วยมูลค่าสภาพปัจจุบัน
2.1 มูลค่ายุติธรรม – ราคาที่จะได้รับจากการขายสินทรัพย์หรือจ่ายเพื่อโอนหนี้สินจากรายการในสถานการณ์ปกติระหว่างผู้ร่วมตลาด ณ วันที่วัดค่า
- วิธีราคาตลาด – ใช้ข้อมูลราคาตลาดและข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อการเทียบเคียง
- วิธีราคาทุน – ใช้ราคาเปลี่ยนแทน ซึ่งจะประมาณการจากจำนวนเงินที่ต้องจ่ายชำระเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีสภาพในปัจจุบัน
- วิธีรายได้ – วิธีจะใช้การประมาณการรายได้หรือกระแสเงินสดในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์และหนี้สินนั้น ๆ และคิดลดด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสมให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน
2.2 มูลค่าการใช้สำหรับสินทรัพย์และมูลค่าปฏิบัติตามภาระสำหรับหนี้สิน
- มูลค่าการใช้สินทรัพย์ – คำนวณจากประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตหากกิจการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์เชิงเศรษฐกิจต่อเนื่องไปจนหมดอายุการให้ประโยชน์และคิดลดด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสมให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน
- มูลค่าปฏิบัติตามภาระสำหรับหนี้สิน – คำนวณจากประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการต้องจ่ายหากปฏิบัติตามภาระที่กำหนดไว้สำหรับหนี้สินนั้น ๆ และคิดลดด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสมให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน
2.3 ต้นทุนปัจจุบัน
- ต้นทุนปัจจุบันของสินทรัพย์ – ต้นทุนของสินทรัพย์เทียบเท่า ณ วันที่วัดมูลค่าบวกต้นทุนการทำรายการที่จะเกิดขึ้น ณ วันที่วัดมูลค่า โดยคำนึงถึงสภาพของสินทรัพย์ ณ ขณะนั้น
- ต้นทุนปัจจุบันของหนี้สิน – สิ่งตอบแทนที่จะได้รับสำหรับหนี้สินเทียบเท่า ณ วันที่วัดมูลค่าหักต้นทุนการทำรายการที่จะเกิดขึ้น ณ วันที่วัดมูลค่า
ส่วนของเจ้าของ
ส่วนของเจ้าของหรือส่วนของผู้ถือหุ้น – ส่วนได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์ของกิจการหลังจากหนี้สินทั้งหมดแล้ว ทำให้สิทธิเรียกร้องของผู้เป็นเจ้าของเป็นสิทธิเรียกร้องที่มีลำดับการชำระเงินคืนต่ำกว่าหนี้สิน
ส่วนของผู้ถือหุ้นประกอบด้วย
- ทุนของผู้ถือหุ้น – ทุนเรือนหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ) และส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่สูงกว่ามูลค่าที่ตราไว้
- กำไรสะสม – จำนวนรวมของกำไรสุทธิหักด้วยจำนวนที่มีการจัดสรรไปยังผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลนับตั้งแต่วันเริ่มต้นของธุรกิจจนถึงสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน
- รายการอื่น ๆ (ถ้ามี)
งบแสดงการเปลี่ยนแปลงของส่วนของเจ้าของ ข้อมูลขั้นต่ำที่ต้องนำเสนอ
- กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับงวด
- สำหรับแต่ละองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของ ให้นำเสนอผลกระทบของการนำนโยบายการบัญชีปรับปรุงย้อนหลังหรือแก้ไขงบการเงินย้อนหลัง
- สำหรับแต่ละองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของ ให้นำเสนอการกระทบยอดระหว่างยอดยกมา ณ ต้นงวดและสิ้นงวด
การวิเคราะห์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับรายการที่นำเสนอในงบแสดงฐานะการเงิน
การวิเคราะห์รายการทรัพย์สิน
แต่ละรายการสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาแตกต่างกันออกไป เช่น
ตัวอย่างรายการสินทรัพย์หมุนเวียน
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด |
|
ตัวอย่างรายการสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
สินทรัพย์ที่มีตัวตน (เช่น ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ฯลฯ) |
|
การวิเคราะห์รายการหนี้สิน
หนี้สินหมุนเวียนอาจแบ่งออกเป็น
- หนี้สินหมุนเวียนที่เป็นตัวเงิน เช่น เงินเบิกเกินบัญชี เจ้าหนี้การค้า ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย เป็นต้น
- หนี้สินหมุนเวียนที่ไม่เป็นตัวเงิน – ภาระผูกพันในปัจจุบันระยะสั้นที่ส่งผลให้กิจการต้องจัดสินค้าหรือบริการที่ระบุไว้
การวิเคราะห์หนี้สินหมุนเวียนคือการวิเคราะห์อัตราส่วนสภาพคล่องของกิจการ เช่น
- จำนวนเงินทุนหมุนเวียน
- อัตราส่วนทุนหมุนเวียน
- อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว
- อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อหนี้สินหมุนเวียน
หนี้สินไม่หมุนเวียนคือภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการที่มีระยะเวลาต้องจ่ายชำระมากกว่าหนึ่งปี
ประเด็นที่ควรพิจารณาสำหรับการวิเคราะห์หนี้สินระยะยาว ได้แก่
- เงื่อนไขของหนี้สิน เช่น วันครบกำหนด อัตราดอกเบี้ย รูปแบบการชำระเงินและจำนวนเงิน
- กิจการมีข้อจำกัดในการใช้ทรัพยากรและกิจกรรมการรดำเนินธุรกิจหรือไม่
- กิจการมีความสามารถและความยืดหยุ่นในการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมหรือไม่
- ภาระผูกพันสำหรับเงินทุนหมุนเวียน หนี้สินต่อทุนและตัวเลขทางการเงินอื่น
การเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
- รายการที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สิน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ
- รายการที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สิน ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ ซึ่งในลักษณะดังกล่าวอาจเป็นเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระจากกันหรือแยกจากกันไม่ได้
- รายการที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์หรือหนี้สิน
บทที่ 3 งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ – งบการเงินที่นำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานของกิจการสำหรับรอบระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง เช่น รายไตรมาสหรือรายปี
คำนิยามของรายการที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงาน
- รายได้ – การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หรือการลดลงของหนี้สินที่ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้น (ไม่รวมเงินทุนที่ได้รับจากผู้เป็นเจ้าของ)
- ค่าใช้จ่าย – การลดลงของสินทรัพย์หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สินที่ส่งผลให้เกิดการลดลงของส่วนของผู้ถือหุ้น (ไม่รวมการจัดสรรคืนให้ผู้เป็นเจ้าของ)
- กำไรหรือขาดทุน – ผลรวมของรายได้หักค่าใช้จ่าย แต่ไม่รวมองค์ประกอบของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
- กำไรหรือขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น – รายการรายได้และค่าใช้จ่าย (รวมถึงการปรับปรุงและการจัดประเภทรายการใหม่) ซึ่งไม่อนุญาตให้รับรู้ในกำไรขาดทุนประจำงวด แต่อนุญาตให้รวมในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
- กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม – การเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของระหว่างงวด อันเป็นผลมาจากรายการและเหตุการณ์อื่น ๆ นอกจากการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลมาจากรายการกับเจ้าของ จากความสามารถในฐานะที่เป็นเจ้าของ
กิจการต้องรับรู้รายการรายได้และค่าใช้จ่ายทุกรายการสำหรับงวดที่นำเสนอ (ยกเว้น องค์ประกอบของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น) ในส่วนของกำไรขาดทุน (หรือในงบกำไรขาดทุน) ทั้งนี้ กิจการต้องแสดงรายการแยกแต่ละบรรทัดพร้อมจำนวนเงินสำหรับ
- รายได้ โดยแยกแสดงดอกเบี้ยรับตามวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง
- ผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการตัดรายการ สินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย
- ต้นทุนทางการเงิน
- ผลขาดทุนจากการด้อยค่า รวมถึงการกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่า
- ส่วนแบ่งกำไรขาดทุนของบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ใช้วิธีส่วนได้เสีย
- ในกรณีสินทรัพย์ทางการเงินเปลี่ยนวิธีวัดมูลค่าจาก
- ราคาทุนตัดจำหน่าย > มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน – ผลกำไร (ขาดทุน) ที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างราคาทุนตัดจำหน่ายของสินทรัพย์ทางการเงินที่เคยบันทึกไว้กับมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่จัดประเภทใหม่
- มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น > มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน – ผลกำไร (ขาดทุน) สะสมที่เคยบันทึกในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นที่ถูกจัดประเภทใหม่ไปยังกำไรขาดทุน
- ค่าใช้จ่ายทางภาษี
- ยอดรวมของการดำเนินงานที่ยกเลิกโดยนำเสนอเป็นยอดเดียว
สำหรับรายการรายได้และค่าใช้จ่ายที่มีสาระสำคัญ กิจการต้องเปิดเผยลักษณะและจำนวนเงินแยกสำหรับแต่ละรายการไว้ในงบกำไรขาดทุนและกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น หรือในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ได้แก่
- การลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เป็นมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ
- การปรับโครงสร้างกิจกรรมของกิจการและการกลับรายการประมาณการหนี้สินสำหรับต้นทุนในการปรับโครงสร้าง
- การจำหน่ายที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
- การจำหน่ายเงินลงทุน
- การดำเนินงานที่ยกเลิก
- การยุติของคดีทางกฎหมาย
- การกลับรายการประมาณการหนี้สิน
การนำเสนองบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จแบบขั้นเดียวและแบบหลายขั้น
งบกำไรขาดทุนแบบขั้นเดียว – กิจการจะนำเสนอรายการรายได้ต่าง ๆ และคำนวณรายได้รวมและนำเสนอรายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วคำนวณค่าใช้จ่าย แล้วนำรายได้รวมมาหักลบกับค่าใช้จ่ายรวมเพื่อคำนวณกำไร (ขาดทุน) สำหรับงวด
งบกำไรขาดทุนแบบหลายขั้น – คำนวณกำไรเป็นหลายขั้น ทำให้กิจการทราบข้อมูลเพิ่มเติม เช่น กำไรขั้นต้น กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้แสดงอย่างชัดเจนตามรูปแบบการนำเสนอแบบขั้นเดียว
การรับรู้รายได้
รายได้ หมายถึง รายได้และผลกำไร
- รายได้ – รายได้ที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมตามปกติของกิจการ เช่น รายได้จากการขาย รายได้ค่าธรรมเนียม เป็นต้น
- ผลกำไร – การเพิ่มขึ้นของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่เกิดจากกิจกรรมตามปกติของกิจการหรือไม่ก็ได้ เช่น กำไรจากการขายเครื่องจักร กำไรจากการขายเงินลงทุน เป็นต้น
กิจการใช้เกณฑ์คงค้างในการจัดทำงบการเงิน ยกเว้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินสด ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์เงินสด
เมื่อรับรู้รายได้ตามหลักเกณฑ์คงค้างแล้ว จะต้องจับคู่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งรายได้นั้นและบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในงวดเดียวกับที่มีการรับรู้รายได้ เพื่อให้กำไรที่คำนวณได้สื่อให้เห็นถึงกำไรที่แท้จริงจากการดำเนินงานของกิจการ ไม่เกิดปัญหาการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายในงวดที่เหลื่อมกัน
การรับรู้รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า
การรับรู้รายได้ หมายถึง การบันทึกรายได้เข้าสู่ระบบบัญชีหรือการจดบันทึกบัญชีรายได้
การรับรู้รายได้เกิดขึ้นเมื่อ
- มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตของรายการจะเข้าสู่กิจการ และ
- กิจการสามารถวัดมูลค่าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของรายการดังกล่าวได้อย่างน่าเชื่อถือ
หลักการรับรู้รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า
- ระบุสัญญาที่ทำกับลูกค้า
- ระบุภาระที่ต้องปฏิบัติตามสัญญา
- กำหนดราคาของรายการ
- ปันส่วนราคาของรายการให้กับภาระที่ต้องปฏิบัติ
- รับรู้รายได้เมื่อ (หรือขณะที่) กิจการปฏิบัติตามภาระที่ต้องปฏิบัติเสร็จสิ้น
การรับรู้ค่าใช้จ่าย
กิจการต้องทำการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายที่รับรู้ในส่วนกำไรขาดทุนโดยใช้
- วิธีลักษณะค่าใช้จ่าย – กิจการนำเสนอการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายตามลักษณะค่าใช้จ่ายรายการนั้น ๆ ในกำไรหรือขาดทุน โดยไม่มีการปันส่วนระหว่างหน่วยงานภายในกิจการและไม่ได้ระบุว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่านั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมใด ๆ เช่น กิจกรรมการผลิต กิจกรรมการขาย กิจกรรมการบริหารงาน เป็นต้น
- วิธีหน้าที่ของค่าใช้จ่าย – จัดประเภทและปันส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามกิจกรรมหลักหรือตามหน้าที่ของค่าใช้จ่าย เช่น ต้นทุนขายเป็นยอดรวมของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิตสินค้าส่วนที่ได้ขายออกไปแล้ว เป็นต้น
รายการค่าใช้จ่ายหลักที่เสนอตามหน้าที่ของค่าใช้จ่าย
- ต้นทุนขาย
- ค่าใช้จ่ายในการขาย
- ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
การแสดงรายการไม่ปกติหรือเกิดขึ้นไม่ประจำ
- การดำเนินงานที่ยกเลิก – กิจการต้องจัดประเภทสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (หรือกลุ่มสินทรัพย์ที่จะจำหน่าย) เป็นสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อขาย หากมูลค่าตามบัญชีที่จะได้รับคืนส่วนใหญ่มาจากการขาย มิใช่มาจากการใช้สินทรัพย์นั้นต่อไป โดยจะวัดมูลค่าด้วยจำนวนที่ต่ำกว่าระหว่างมูลค่าตามบัญชีและมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขาย กิจการต้องหยุดการคิดค่าเสื่อมราคาที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ (ถ้ามี)
กรณีที่กิจการมีแผนจะยกเลิกส่วนประกอบของกิจการ กิจการต้องนำเสนอและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ยกเลิกเป็นจำนวนเงินในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จดังนี้
- ผลกำไรหรือขาดทุน (หลังจากการหักภาษี) ของการดำเนินงานที่ยกเลิก และ
- ผลกำไรหรือขาดทุน (หลังจากการหักภาษี) ที่รับรู้ในการวัดมูลค่าให้เป็นมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายหรือในการจำหน่ายสินทรัพย์หรือกลุ่มสินทรัพย์ที่จะจำหน่าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานที่ยกเลิก
- ผลกำไร (ขาดทุน) ที่ไม่ปกติและเกิดขึ้นไม่บ่อย – องค์ประกอบหนึ่งของกำไรจากกิจกรรมปกติ (นำเสนอเป็นรายการแยกต่างหาก) รายการนี้แสดงด้วยยอดก่อนหักภาษีเงินได้ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชี – ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงภายใต้นโยบายการบัญชีที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเท่านั้น
วิธีปฏิบัติสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางบัญชี
- ปรับย้อนหลัง
- ปรับย้อนหลังงบการเงินที่นำมาเปรียบเทียบ และ
- บันทึกรายการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี
- เปลี่ยนทันทีเป็นต้นไป – กิจการจะนำมาถือปฏิบัติสำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีเฉพาะกรณีที่กิจการไม่สามารถระบุผลกระทบสะสมที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี ณ วันต้นงวดของงวดปัจจุบัน
- รายการปรับปรุงของงวดก่อน – การเปลี่ยนแปลงจากวิธีการบัญชีที่ผิดพลาดไปสู่วิธีการบัญชีอันเป็นที่ยอมรับ หรือการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาดเป็นข้อมูลที่ถูกต้องจะถือว่าเป็น “ข้อผิดพลาดทางบัญชี” และผลกระทบที่เกิดขึ้นจะถูกรายงานภายใต้ “รายการปรับปรุงของงวดก่อน”
- รายการอื่น ๆ – รายการค้าอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหลักแล้วเกิดผลต่างที่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้น รายการเหล่านั้นเรียกว่า “ผลกำไรหรือขาดทุน”
กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นและกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม
กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม – การเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของระหว่างงวดซึ่งเป็นผลมาจากรายการหรือเหตุการณ์อื่นใดที่มิได้มาจากผู้เป็นเจ้าของ
กำไรขาดทุน – ผลรวมของแหล่งรายได้จากการดำเนินงานของกิจการหักด้วยผลรวมของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกิจการ (ไม่รวมองค์ประกอบของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น)
กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น – รายได้และค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้ในกำไรขาดทุนตามที่กำหนดใน มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 1
การรายงานกำไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่น และกำไรเบ็ดเสร็จรวม
กิจการอาจนำเสนอกำไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่นและกำไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จรวมในงบเดียวกับกำไร (ขาดทุน) สำหรับงวดหรือแยกกันก็ได้ โดยรายการกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นจะต้องนำเสนอด้วยจำนวนเงินสุทธิจากผลกระทบทางภาษีที่เกี่ยวข้อง
กิจการต้องแยกรายการกำไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่นออกจากกันดังนี้
- สามารถจัดประเภทรายการใหม่ไปยังกำไร (ขาดทุน) สำหรับงวดในภายหลัง เช่น
- ผลต่างอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงค่างบการเงิน
- กำไร (ขาดทุน) จากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของ FVOCI ที่เป็นตราสารหนี้
- ไม่สามารถจัดประเภทรายการใหม่ไปยังกำไร (ขาดทุน) สำหรับงวดในภายหลัง เช่น
- ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ใหม่
- กำไร (ขาดทุน) จากการเปลี่ยนแปลงประมาณการตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยของโครงการผลประโยชน์พนักงาน
- กำไร (ขาดทุน) จากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของ FVOCI ที่เป็นตราสารทุน
กำไรต่อหุ้น
กำไรต่อหุ้น (EPS) จำนวนกำไรของกิจการในช่วงเวลา 1 งวดสำหรับหุ้นสามัญจำนวนหนึ่งหุ้น
ตัวเลขกำไรต่อหุ้นสามารถสะท้อนถึง
- ความสามารถของกิจการในการสร้างกำไรในระหว่างงวดสำหรับแต่ละหน่วยของหุ้นสามัญ และ
- มูลค่าของส่วนได้เสียของหุ้นสามัญแต่ละหน่วยในผลการดำเนินงานของกิจการสำหรับ 1 งวดเวลา
ในกรณีที่กิจการประสบผลขาดทุนในการดำเนินงาน กำไรต่อหุ้นยังคำนวณเหมือนเดิมแต่ถูกนำเสนอในชื่อ “ขาดทุนต่อหุ้น”
การคำนวณกำไรต่อหุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- กำไรต่อหุ้นพื้นฐาน
- กำไรต่อหุ้นปรับลด
กิจการที่มีโครงสร้างเงินทุนแบบเรียบง่ายคำนวณและแสดงเฉพาะกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
กิจการที่มีโครงสร้างเงินทุนแบบซับซ้อนคำนวณและแสดงทั้งกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานและกำไรต่อหุ้นปรับลดในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
โครงสร้างเงินทุนคือ องค์ประกอบของการจัดหาเงินจากแหล่งทุนและแหล่งหนี้
- โครงสร้างทุนแบบพื้นฐานหรือเรียบง่าย
- กิจการที่ระดมเงินทุนด้วยการออกจำหน่ายเฉพาะหุ้นสามัญ หรือ
- กิจการที่ระดมเงินทุนด้วยการออกจำหน่ายหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ (หรือตราสารอื่นใด) ที่ไม่สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ
- โครงสร้างทุนแบบซับซ้อน
- กิจการที่ออกจำหน่ายหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพ
- กิจการที่ออกจำหน่ายหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่แปลงสภาพและหุ้นกู้แปลงสภาพ และ
- กิจการที่ออกจำหน่ายหุ้นสามัญและให้สิทธิเลือกในการซื้อหุ้นแก่ผู้ถือหุ้น เพื่อเลือกใช้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของกิจการในอนาคต
การวิเคราะห์กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
มาตรฐานการรายงานทางการเงินของประเทศไทย ได้ระบุองค์ประกอบของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสำหรับกำไรขาดทุนที่ยังไม่เกิดไว้ 5 เรื่องหลัก ได้แก่
- ผลกำไรและขาดทุนจากการแปลงค่างบการเงินของการดำเนินงานในต่างประเทศ
- ผลกำไรและขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนเผื่อขาย
- การวัดมูลค่าใหม่ของโครงการผลประโยชน์ที่กำหนดไว้
- การเปลี่ยนแปลงในส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพ
- ส่วนของผลกำไรและขาดทุนที่มีประสิทธิผลจากเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในการป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด
บทที่ 4 งบกระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดเป็นงบการเงินหลักที่สะท้อนข้อมูลกระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายในอดีตของกิจการ
ข้อมูลที่ได้รับจากงบกระแสเงินสดและงบการเงินประเภทอื่นประกอบกับข้อมูลเพิ่มเติมที่มีการเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินสามารถเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งบการเงิน เช่น
- ช่วยประเมินความสามารถของกิจการในการก่อให้เกิดเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด รวมถึงความจำเป็นในการใช้กระแสเงินสดของกิจการ
- ช่วยในการพยากรณ์กระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายในอนาคตของกิจการ
- ช่วยในการประเมินโครงสร้างทางการเงินของกิจการ รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้
- ช่วยเพิ่มความสามารถในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกิจการที่แตกต่างกันจากมุมมองของเกณฑ์กระแสเงินสด และ
- ช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องของประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการได้ทำไว้ในอดีต
กิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะต้องจัดทำและนำเสนองบกระแสเงินสด
กิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะไม่ได้กำหนดว่าจะต้องจัดทำและนำเสนองบกระแสเงินสด แต่สามารถจัดทำและนำเสนองบกระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงินฉบับสมบูรณ์ ข้อมูลที่นำเสนอจึงมีความสัมพันธ์กับงบการเงินอื่น ๆ ของกิจการที่นำเสนอในงวดบัญชีนั้น ๆ อย่างมาก
รูปแบบของงบกระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดประกอบด้วยกระแสเงินสดจาก 3 กิจกรรมหลัก
- กิจกรรมดำเนินงาน
- กิจกรรมลงทุน
- กิจกรรมจัดหาเงิน
นอกจากนี้แล้ว งบกระแสเงินสดยังนำเสนอการเปลี่ยนแปลงยอดคงเหลือของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ยอดคงเหลือของเงินสดและรายการเทียบเท่าของเงินต้นงวดและปลายงวดอีกด้วย
กิจการนิยมเลือกคำนวณกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานด้วยวิธีทางอ้อมมากกว่าวิธีทางตรง เพราะ ง่าย + สะดวกกว่า
หลักการจำแนกรายการกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุนและกิจกรรมจัดหาเงิน
กิจกรรมดำเนินงาน – กิจกรรมหลักที่ก่อให้เกิดรายได้ของกิจการและกิจการอื่นที่มิใช่กิจกรรมลงทุนหรือกิจกรรมจัดหาเงิน ตัวอย่างเช่น
- กิจการซื้อมาขายไป – รายการที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายสินค้า การจ้างงานพนักงาน การจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้
- สถาบันการเงิน – รายการที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้า การรับเงินค่าดอกเบี้ยและการรับคืนเงินกู้ยืมระหว่างงวด
กิจกรรมลงทุน – การได้มาและการจำหน่ายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่นซึ่งไม่รวมอยู่ในรายการเทียบเท่าเงินสด ตัวอย่างเช่น
- เงินสดรับจากการขายที่ดิน อาคารและอุปกรณ์และสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
- เงินสดรับจากการขายเงินทุนในตราสารประเภทต่าง ๆ เช่น ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์และตราสารทุน
- เงินสดจ่ายจากการขายที่ดิน อาคารและอุปกรณ์และสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
กิจกรรมจัดหาเงิน – กิจกรรมที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในขนาดและองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของและส่วนของการกู้ยืมของกิจการ ตัวอย่างเช่น
- เงินสดรับจากการออกและเสนอขายหุ้นทุน (หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ)
- เงินสดรับจากการออกและขายตราสารหนี้
- เงินสดจ่ายสำหรับซื้อหุ้นทุนกลับคืน
การจัดทำงบกระแสเงินสด
ข้อมูลที่จำเป็นต่อการจัดทำงบกระแสเงินสด
- งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จของงวดปัจจุบัน – ข้อมูลส่วนนี้จะแสดงให้เห็นถึงรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างงวดและช่วยในการคำนวณเงินสดรับและจ่ายจากทั้งสามกิจกรรม โดยเฉพาะกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน
- งบแสดงฐานะการเงินของงวดปัจจุบันและงวดก่อนหน้า – คำนวณการเปลี่ยนแปลงของยอดคงเหลือของสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
- ข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็นต่อการจัดทำงบกระแสเงินสด – เพื่อใช้ในการคำนวณกระแสเงินสดจากทั้งสามกิจกรรม เพราะธุรกรรมการค้าที่เกิดขึ้นจากทั้งสามกิจกรรมจะมีทั้งรายการที่เกี่ยวข้องกับเงินสดและที่มิใช่เงินสด
การวิเคราะห์ข้อมูลในงบกระแสเงินสด
ข้อจำกัดของงบกระแสเงินสด
- ในทางปฏิบัติ ไม่ได้มีการบังคับให้กิจการจะต้องเปิดเผยกระแสเงินสดที่เป็นรายการผิดปกติหรือจากการดำเนินงานที่ยกเลิก
- เงินปันผลรับและดอกเบี้ยจ่ายถูกจัดประเภทให้อยู่ในงบกระแสเงินสด ซึ่งผู้ใช้งบการเงินจำนวนมากเห็นว่าเงินปันผลควรจัดให้อยู่ในกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน ส่วนดอกเบี้ยจ่ายควรจัดประเภทเป็นกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
- ภาษีเงินได้ถูกจัดประเภทเป็นกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ซึ่งอาจทำให้เกิดการบิดเบือนในการวิเคราะห์กิจกรรมต่าง ๆ หากผลประโยชน์หรือต้นทุนทางภาษีมีการปันส่วนอย่างไม่เหมาะสมและมีนัยสำคัญ
- การที่ไม่นำกำไรหรือขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ระยะยาวหรือจากการลงทุนก่อนหักภาษีมารวมอยู่ในกิจกรรมดำเนินงาน จะบิดเบือนการวิเคราะห์ทั้งในกิจกรรมดำเนินงานและกิจกรรมการลงทุน เพราะภาษีที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ถูกจำกัดออกไปแต่จะยังค้างอยู่ในภาษีจ่ายจากการดำเนินงาน
ในการประเมินแหล่งที่มาของเงินสดและการใช้เงินสดอาจมุ่งเน้นไปที่ประเด็นคำถามดังต่อไปนี้
- การเปลี่ยนสินทรัพย์เกิดจากการระดมทุนภายในหรือภายนอกองค์กร
- แหล่งที่มาของเงินสดที่ใช้ไปในการดำเนินงานหรือการขยายธุรกิจ
- กิจการมีการพึ่งพาเงินจากแหล่งภายนอกมากน้อยเพียงใด
- กิจการมีความต้องการในการลงทุนและมีโอกาสทางธุรกิจอะไรบ้าง
- เกณฑ์ในการระดมเงินหรือประเภทของแหล่งเงินมีอะไรบ้าง
- นโยบายในการบริหาร (เช่น เงินปันผล) มีความอ่อนไหวต่อกระแสเงินสดมากน้อยเพียงใด
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์งบกระแสเงินสด
- อัตราส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อหนี้สินหมุนเวียน
- อัตราส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อหนี้สินรวม
- อัตราส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อดอกเบี้ยง่าย
- อัตราส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อรายได้รวม
- อัตราส่วนความเพียงพอของกระแสเงินสด
- อัตราส่วนคุณภาพของกำไร
- อัตราส่วนการนำเงินสดไปลงทุนต่อ
บทที่ 5 แนวคิดและเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์งบการเงิน
กรอบแนวคิดในการวิเคราะห์งบการเงิน
- ลักษณะภายในอุตสาหกรรม – ภาพรวมของห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต กระทั่งได้สินค้าสำเร็จรูป และไปยังกระบวนการจำหน่าย ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์การแข่งขันในด้านต่าง ๆ
- ปัจจัยเชิงเศรษฐศาสตร์ที่แฝงในงบการเงิน
- อุปสงค์ของสินค้าหรือบริการ
- อุปทานของสินค้าหรือบริการ
- การผลิต
- การตลาด
- การลงทุน
- การจัดหาเงินทุน
- กลยุทธ์ของบริษัท – ควรทราบแนวทางการบริหารบริษัทของผู้บริหารบริษัทที่กำลังทำการวิเคราะห์ เพราะตัวเลขในงบการเงินสะท้อนกลยุทธ์ที่บริษัทเลือกใช้อยู่ในเวลานั้น
ประเด็นที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์งบการเงิน
- ความแตกต่างในขนาดของกิจการและลักษณะของธุรกิจ – ควรวิเคราะห์เปรียบเทียบงบการเงินบริษัทต่าง ๆ ที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่เหมือนหรือคล้ายกันและมีขนาดใกล้เคียงกัน
- การใช้นโยบายบัญชีที่แตกต่างกัน – บริษัทสามารถเลือกใช้นโยบายบัญชีหลายแบบ ทำให้สองบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันไม่สามารถเปรียบเทียบได้โดยตรง ต้องปรับนโยบายบัญชีของสองบริษัทให้เหมือนกันก่อน
- คุณภาพของรายงานทางการเงิน – คุณภาพของรายการทางการเงินจากบริษัทที่ต่างกัน หรือบริษัทเดียวกันแต่จากรอบบัญชีที่ต่างกันอาจมีคุณภาพไม่ทัดเทียมกันได้
- ข้อจำกัดของงบการเงิน – ความแตกต่างของแต่ละบริษัทอาจสำคัญและข้อจำกัดของรูปแบบมาตรฐานของงบการเงินจึงไม่สามารถระบุได้ คุณต้องใช้ข้อมูลจากหมายเหตุประกอบงบการเงินมาใช้ร่วมในการวิเคราะห์หลายสถานการณ์
- ประเด็นอื่น ๆ เช่น กรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ – สงคราม ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นต้น
กระบวนการในการวิเคราะห์งบการเงิน
- การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์งบการเงิน
- เพื่อวิเคราะห์หลักทรัพย์
- เพื่อให้สินเชื่อในฐานะธนาคาร
- เพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการวางแผนบริหารจัดการต่อไปของผู้บริหารบริษัท
- เพื่อเข้าซื้อกิจการหรือครอบงำกิจการ
- เพื่อให้เครดิตเทอมกับลูกค้า โดยพิจารณาจากงบการเงินของลูกค้า
- เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- การรวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์งบการเงิน
- ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์งบการเงิน
- ข้อมูลเชิงปริมาณ – ข้อมูลตัวเลขที่มาจากรายการทางการเงิน
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ – ข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลข อยู่ในส่วนหมายเหตุประกอบงบการเงิน
- แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์งบการเงิน
- แหล่งข้อมูลจากรายงานทางการเงิน
- แหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่จากรายงานทางการเงิน – การแถลงข่าวของบริษัท ข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในรอบบัญชีที่ต้องการวิเคราะห์ เป็นต้น
- การปรับปรุงข้อมูลก่อนทำการวิเคราะห์งบการเงิน – เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินที่ได้มา ใช้นโยบายบัญชีที่เปรียบเทียบกันได้ รวมถึงข้อสมมติที่เหมาะสมใกล้เคียงกัน
- การวิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูลงบการเงิน
- การวิเคราะห์แนวตั้ง
- การวิเคราะห์แนวนอน
- การวิเคราะห์แนวโน้ม
- การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
- การสรุปผลและให้ข้อเสนอแนะ – สรุปผลสถานะทางการเงินของบริษัทในด้านต่าง ๆ และต้องแนะนำว่า บริษัทควรปรับปรุงในด้านใด และด้านใดที่บริษัทควรรักษาไว้
เครื่องมือสำหรับใช้ในการวิเคราะห์งบการเงิน
- การวิเคราะห์แนวตั้ง
- งบแสดงฐานะการเงิน – คำนวณจำนวนแต่ละบัญชีเป็นร้อยละของยอดรวมสินทรัพย์ ทำให้เห็นว่ามูลค่าของแต่ละบัญชีในงบแสดงฐานะการเงินเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของยอดรวมสินทรัพย์
- งบกำไรขาดทุน – คำนวณจำนวนแต่ละบัญชีเป็นร้อยละของรายได้ ทำให้เห็นว่ามูลค่าของแต่ละบัญชีในงบกำไรขาดทุนเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของรายได้
- การวิเคราะห์แนวนอน – คำนวณร้อยละการเปลี่ยนแปลงของแต่ละบัญชีในงบกำไรขาดทุนและงบแสดงฐานะการเงินจากปีที่ผ่านมา และวิเคราะห์ผลของการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของแต่ละบัญชี
- การวิเคราะห์แนวโน้ม – การวิเคราะห์โดยระบุปีใดปีหนึ่งให้เป็นปีฐานเพื่อนำข้อมูลในปีอื่น ๆ มาเทียบ ในลักษณะคล้ายดัชนี โดยปีฐานจะเป็นปีที่พิจารณาแล้วว่าเป็นปีที่มีการดำเนินงานปกติเพื่อใช้เป็นปีฐานเพื่อเทียบกับปีอื่น ๆ ที่ถัดมาได้
บทที่ 6 การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
อัตราส่วนทางการเงินจะใช้ประโยชน์ได้ก็ด้วยการเปรียบเทียบ โดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน ฐานะการเงินและอัตราส่วนทางการเงินของกิจการจะต้องเป็นการเปรียบเทียบกับ
- ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม – เข้าใจแนวทางการดำเนินธุรกิจตามวัฏจักร ซึ่งช่วยประมาณการผลการดำเนินงานในอนาคตของกิจการ
- ธุรกิจหรืออุตสาหกรรม – วัดผลกระทบที่ภาวะเศรษฐกิจมหภาคมีต่อกิจการ รวมทั้งผลการดำเนินงานของกิจการเปรียบเทียบกับกิจการอื่น ๆ ในธุรกิจเดียวกัน
- คู่แข่งสำคัญในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น – ควรเปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินกับกิจการอื่นในธุรกิจเดียวกันที่มีลักษณะหรือขนาดของธุรกิจใกล้เคียงกัน
- ผลการดำเนินงานของกิจการในอดีต – ประเมินความก้าวหน้าและพัฒนาการหรือความถดถอยของกิจการในช่วงที่ผ่านมา
ข้อจำกัดของการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
- ความแตกต่างของนโยบายบัญชีของกิจการที่นำมาเปรียบเทียบ
- ความแตกต่างภายในของกิจการ
- ความไม่สอดคล้องของอัตราส่วนทางการเงิน
- กิจการที่ดำเนินธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีสภาพแวดล้อมและนโยบายการดำเนินงานที่แตกต่างกัน
- ในการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน คุณควรพิจารณาด้วยว่าอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้มีความสอดคล้องกับเหตุการณ์เชิงเศรษฐกิจ
ประเภทของอัตราส่วนทางการเงิน
- การวิเคราะห์สภาพคล่องภายในกิจการ – วิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้สินระยะสั้น โดยเปรียบเทียบระหว่างภาระผูกพัน/หนี้สินระยะสั้น เช่น
- อัตราส่วนทุนหมุนเวียน
- อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว
- อัตราส่วนเงินสด
- อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า
- อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ
- วงจรการหมุนเวียนของเงินสด
- การวัดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เช่น
- อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม
- อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
- อัตราหมุนเวียนของส่วนของผู้ถือหุ้น
- อัตราหมุนเวียนของเงินทุน
- อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์หมุนเวียน
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
- อัตราส่วนวัดความสามารถในการทำกำไร – ประเมินความสามารถในการทำกำไรของกิจการและวิเคราะห์ว่ากิจการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเท่าใด เช่น
- อัตรากำไรขั้นต้น
- อัตรากำไรจากการดำเนินงาน
- อัตรากำไรสุทธิ
- อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม
- อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
- การวิเคราะห์แบบ DuPont
- อัตราส่วนวัดภาระหนี้สินและความสามารถในการชำระหนี้สินของกิจการ – วัดระดับความเสี่ยงทางธุรกิจของกิจการ โดยกิจการที่มีระดับความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำจะสามารถแบกรับความเสี่ยงทางการเงินได้สูงและสามารถก่อภาระหนี้สินทางการเงินในสัดส่วนที่สูง
- อัตราส่วนที่แสดงสัดส่วนของหนี้สิน
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
- อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม
- อัตราส่วนกระแสผลกำไรในรูปของ EBITDA
- อัตราส่วนกระแสเงินสด
- อัตราส่วนมูลค่าตลาด – วิเคราะห์มูลค่าของกิจการ รวมถึงมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของกิจการ โดยเป็นการเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าของกิจการหรือมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นของกิจการ (แล้วแต่กรณี) กับตัวแปรทางการเงินที่แสดงถึงรายได้และผลกำไร (ได้จากงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ) เช่น
- กำไรสุทธิต่อหุ้น
- อัตราส่วนราคาต่อกำไร
- อัตราการจ่ายเงินปันผล
- มูลค่าตามบัญชี
- อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชี
- อัตราส่วนราคาต่อยอดขาย
- อัตราส่วนราคาต่อกระแสเงินสด
- อัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อ EBITDA
- อัตราผลตอบแทนของเงินปันผล
- การวิเคราะห์ศักยภาพในการเจริญเติบโตของกิจการ
อัตราส่วนทางการเงินสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจลงทุนดังนี้
- การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ
- การประมาณค่าความเสี่ยงที่เป็นระบบ
- การกำหนดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้
- การคาดการณ์โอกาสที่จะเกิดปัญหาทางการเงินกับองค์กรในอนาคต
การทุจริตในการจัดทำงบการเงิน
ประเภทของการทุจริตงบการเงิน
- การตกแต่งกำไร
- การตกแต่งกระแสเงินสด
- การตกแต่งตัวชี้วัดสำคัญอื่น เช่น อัตราส่วนทางการเงินหรือรายงานข้อมูลต่าง ๆ (งบการเงินประจำปี/รายไตรมาส แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี เป็นต้น)
แรงจูงใจในการทุจริตงบการเงิน
- เงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจที่สนับสนุนให้เกิดการทุจริตงบการเงิน ตัวอย่างเช่น
- มีความกดดันทางเศรษฐกิจอันเป็นผลจากการที่กิจการมีผลการดำเนินงานที่ลดลง
- ผู้บริหารของกิจการมีความสามารถในการบริหารจัดการที่ลดลง
- กิจการอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหาทางธุรกิจ
- สภาวะเศรษฐกิจถดถอยแต่กิจการได้ทำสัญญากับผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับผลการดำเนินงาน
- โครงสร้างของกิจการหรือระบบการทำงานที่เอื้อให้เกิดการทุจริต ตัวอย่างเช่น
- กิจการขาดกลไกการกำกับดูแลกิจการที่ดี เช่น คณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบขาดการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
- ไม่มีระบบการควบคุมภายในหรือระบบควบคุมภายในไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- กิจการเปลี่ยนแปลงผู้สอบบัญชีหรือเลือกผู้สอบบัญชีที่ไม่มีประสบการณ์
- การลงทุนที่มากจนเกินไปหรือมีความซับซ้อนเกินจำเป็น
- ทางเลือกของนโยบาย – มาตรฐานการรายงานทางการเงินในปัจจุบันเปิดโอกาสให้ผู้บริหารสามารถใช้ดุลยพินิจในการเลือกวิธีปฏิบัติทางบัญชีให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่กิจการอาจใช้ช่องว่างดังกล่าวเพื่อการตกแต่งกำไรหรือไม่ก็ได้
สัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับการทุจริตงบการเงิน
- สัญญาณเตือนภัยจากกลไกการกำกับดูแล ตัวอย่างเช่น
- โครงสร้างของระบบควบคุมภายในที่ไม่เพียงพอและไม่มีประสิทธิผล หรือบริษัทมีจุดอ่อนในระบบการควบคุมภายใน เช่น ไม่มีกรรมการอิสระ งบการเงินไม่ได้รับการตรวจสอบหรือสอบทานโดยผู้ตรวจสอบบัญชี
- กิจการมีการกำหนดเป้าหมายหรือนโยบายที่ไม่สามารถบรรลุได้ ซึ่งอาจทำให้ตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคการทุจริตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
- สัญญาณเตือนภัยจากรูปแบบการจัดตั้งธุรกิจ ตัวอย่างเช่น
- บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่หรืออยู่ในระหว่างขั้นตอนของการเตรียมการเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงจูงใจในการตกแต่งงบการเงิน เพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุน
- บริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วในขณะที่บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงและภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงชะลอตัว ผู้ทุจริตอาจมีการตกแต่งงบการเงินเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน
- สัญญาณเตือนภัยจากพฤติกรรมของผู้บริหาร ตัวอย่างเช่น
- การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับช่วงประโยชน์หรือขายสินทรัพย์ของตนเองให้แก่กิจการในราคาที่สูงเกินความเป็นจริง
- การใช้ข้อมูลภายในเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้นของบริษัท
- สัญญาณเตือนภัยจากข้อมูลในรายงานทางการเงิน ตัวอย่างเช่น
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันเอง เช่น กิจการมีอัตราการเติบโตของยอดขายสูงแต่อัตรากำไรสุทธิกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง
- กิจการแสดงงบการเงินโดยมีผลการดำเนินงานที่ตกต่ำหรือมีผลขาดทุนจำนวนมาก
ข้อควรระวังในการวิเคราะห์งบการเงิน
- ผู้ใช้งบการเงินควรพิจารณาและศึกษาข้อมูลจากแหล่งเพิ่มเติม เช่น แบบ 56-1 รายงานของผู้สอบบัญชี เป็นต้น
- พิจารณาอัตราส่วนทางการเงินเพื่อเปรียบเทียบทั้งภายในกิจการเอง ระหว่างกิจการหรือของอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาถึงความผิดปกติของอัตราส่วนดังกล่าว
- ให้ความสนใจกับรายการทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เช่น การเปิดเผยภาระผูกพันหรือรายการหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น
- ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติทางบัญชี การเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีจะแสดงไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินของกิจการ
- ความเข้าใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพของคณะกรรมการบริษัท หากประธานกรรมการและฝ่ายบริหารเป็นบุคคลเดียวกันอาจนำมาซึ่งปัญหาการขาดความเป็นอิสระในการบริหารงานได้
กลไกการป้องกันทุจริตในงบการเงิน
- ผู้บริหารควรกำหนดระบบควบคุมภายในให้มีความรัดกุมและเหมาะสมต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ
- นโยบายการกำหนดค่าตอบแทนของผู้บริหารไม่ผูกติดกับเพียงตัวเลขกำไรเพียงอย่างเดียว ผู้บริหารอาจใช้พฤติกรรมฉวยโอกาสในการตกแต่งทางบัญชีเพื่อให้ได้กำไรตามเป้าหมาย
- ผู้บริหารควรทบทวนโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการอย่างสม่ำเสมอและสร้างจิตสำนึกให้แก่ทุกคนในกิจการให้มีการปฏิบัติงานโดยยึดถือความซื่อสัตย์สุจริต
- การกำหนดนโยบายการสรรหาและแต่งตั้งพนักงานที่มีความซื่อสัตย์ จัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับโทษของการทุจริต และการสร้างจิตสำนึกให้พนักงานมีความรักต่อองค์กร มีความรับผิดชอบและไม่คิดที่จะทำทุจริต
- การกำหนดนโยบายการหมุนเวียนพนักงานที่มีการปฏิบัติงานมาอย่างยาวนาน การสับเปลี่ยนพนักงานเพื่อลดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและการลดทุจริตในการปฏิบัติหน้าที่
- การกำหนดนโยบายการไม่ให้และรับสินบน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่ากิจการให้ความสำคัญกับการไม่ทุจริต
- การกำหนดนโยบายเพื่อจัดกิจกรรมหรือโครงการในการรับแจ้งเหตุเกี่ยวกับการทุจริตภายในองค์กรและกำหนดให้มีรางวัลการแจ้งเหตุดังกล่าว
บทที่ 7 สินค้าคงเหลือ
สินค้าคงเหลือ หมายถึง สินทรัพย์ที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังนี้
- สินค้าสำเร็จรูป – สินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อขายตามลักษณะการประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ
- สินค้าระหว่างทำหรือสินค้าระหว่างผลิต – สินทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตเพื่อให้เป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อขาย หรือ
- วัตถุดิบ – สินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของวัตถุดิบหรือวัสดุที่มีไว้เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าหรือให้บริการ
สินค้าคงเหลือแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก
- สินค้าที่ซื้อมาและถือไว้เพื่อขายต่อ
- สินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตหรือสินค้าระหว่างผลิตโดยกิจการ วัตถุดิบหรือวัสดุที่ถือไว้เพื่อรอที่จะใช้ในกระบวนการผลิต
- ต้นทุนที่เกิดขึ้นในการทำให้เสร็จสิ้นตามสัญญาที่ทำกับลูกค้าที่ไม่ก่อให้เกิดสินค้าคงเหลือ
ต้นทุนของสินค้าคงเหลือ
เมื่อซื้อหรือผลิตสินค้าคงเหลือ กิจการจะต้องบันทึกมูลค่าของสินค้าคงเหลือด้วยต้นทุนหรือราคาทุนของสินค้าคงเหลือ ซึ่งประกอบด้วย
- ต้นทุนทั้งหมดในการซื้อ
- ต้นทุนแปลงสภาพ
- ต้นทุนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อให้สินค้าคงเหลืออยู่ในสถานที่และสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ยกเว้น
- วัตถุดิบ ค่าแรงงานหรือค่าใช้จ่ายการผลิตอื่นที่สูญเสียเกินกว่าปกติ
- ต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้า
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ไม่เกี่ยวกับการทำให้สินค้าอยู่ในสถานที่และอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
- ต้นทุนในการขาย
วิธีบัญชีสำหรับบันทึกรายการสินค้าคงเหลือ
แบบต่อเนื่อง – ปรับยอดคงเหลือของบัญชีสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยจะปรับยอดโดยตรงไปยังบัญชีสินค้าคงเหลือทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงยอดคงเหลือของสินค้า เช่น
- เมื่อซื้อสินค้าคงเหลือจากผู้ขายสินค้า กิจการจะบันทึกเพิ่มยอดบัญชีสินค้าคงเหลือ
- เมื่อขายสินค้าคงเหลือให้กับลูกค้า กิจการจะบันทึกลดยอดบัญชีสินค้าคงเหลือ
เมื่อกิจการขายสินค้าคงเหลือให้กับลูกค้า นอกจากจะต้องปรับยอดบัญชีสินค้าคงเหลือแล้ว กิจการจะมีการคำนวณและบันทึกต้นทุนขายทุกครั้งที่ขาย
แบบเมื่อสิ้นงวด – ปรับยอดสินค้าคงเหลือเมื่อสิ้นงวดเพียงครั้งเดียว หากมีการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคงเหลือในระหว่างงวด จะมีการตั้งบัญชีใหม่ขึ้นมาชั่วคราวเพื่อเก็บข้อมูล
เมื่อกิจการขายสินค้าคงเหลือให้กับลูกค้า กิจการจะบันทึกเฉพาะในส่วนของรายได้จากการขายและเงินสดที่ได้รับจากลูกหนี้การค้าที่เกิดขึ้นเท่านั้น จะไม่มีการบันทึกต้นทุนขายในขณะที่ขายสินค้า แต่จะบันทึกเพียงครั้งเดียวเมื่อสิ้นงวด
กิจการต้องคำนวณต้นทุนขายเมื่อนับสินค้าคงเหลือเรียบร้อยแล้วตามวิธีสินค้าคงเหลือแบบเมื่อสิ้นงวด
วิธีคำนวณต้นทุนสินค้าคงเหลือ
- สินค้ามีลักษณะไม่แตกต่างกัน สามารถสลับสับเปลี่ยนทดแทนกันได้
- วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (FIFO): ต้นทุนขายสินค้าจะคำนวณจากราคาสินค้าคงเหลือที่ซื้อมาหรือผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกและครั้งต่อ ๆ ไปตามลำดับ
- วิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก: ต้นทุนสินค้าคงเหลือของแต่ละรายการจะกำหนดการถัวเฉลี่ยต้นทุนสินค้าที่คล้ายคลึงกัน ณ วันต้นงวดกับต้นทุนสินค้าที่คล้ายคลึงกันที่ซื้อมาหรือผลิตในระหว่างงวด
- สินค้ามีลักษณะแตกต่างกัน ไม่สามารถสลับสับเปลี่ยนทดแทนกันได้หรือทำขึ้นเฉพาะเจาะจง
- วิธีราคาเจาะจง: กิจการต้องระบุเฉพาะเจาะจงว่าหน่วยใดขายออกไปให้กับลูกค้าแล้ว และหน่วยใดยังคงเหลืออยู่ปลายงวด
มาตรฐานการรายงานของประเทศไทยไม่อนุญาตให้นำวิธีเข้าหลัง-ออกก่อน (LIFO) มาใช้
ผลกระทบของการใช้วิธีคำนวณต้นทุนสินค้าคงเหลือที่แตกต่างกันที่มีต่อการวิเคราะห์งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงิน
ในกรณีที่ราคาทุนของสินค้าคงเหลือปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนขายตามวิธีเข้าก่อนออกก่อนจะเป็นวิธีที่มีต้นทุนขายต่ำที่สุดและมีกำไรต่องวดสูงที่สุด ส่วนวิธีเข้าหลัง-ออกก่อนจะเป็นวิธีที่มีต้นทุนขายสูงที่สุดและมีกำไรต่องวดต่ำที่สุด
วิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักและวิธีราคาเจาะจงให้ผลลัพธ์กึ่งกลางระหว่างวิธีเข้าก่อน-ออกก่อนและวิธีเข้าหลัง-ออกก่อน
การนำเสนอและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือ
- สินค้าคงเหลือต้องวัดมูลค่าด้วยราคาทุนหรือมูลค่าสุทธิที่จะได้รับแล้วแต่มูลค่าจะต่ำกว่ากัน
- มูลค่าสุทธิที่จะได้รับ – ราคาโดยประมาณที่คาดว่าจะขายได้ตามลักษณะการประกอบธุรกิจปกติและหักด้วยประมาณการต้นทุนในการผลิตสินค้านั้นให้แล้วเสร็จ + ต้นทุนที่จำเป็นต้องจ่ายไปเพื่อให้ขายสินค้านั้นได้
- การเปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบการเงินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคงเหลือ
- นโยบายการบัญชีที่ใช้ในการวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมถึงวิธีที่ใช้คำนวณต้นทุน
- มูลค่าตามบัญชีรวมของสินค้าคงเหลือและมูลค่าตามบัญชีของสินค้าคงเหลือแต่ละประเภทจำแนกตามความเหมาะสมของแต่ละกิจการ
- มูลค่าตามบัญชีของสินค้าคงเหลือที่แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขาย
- มูลค่าของสินค้าคงเหลือที่รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างงวดบัญชีนั้น
- มูลค่าของสินค้าคงเหลือที่ปรับลดลงที่รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีนั้น
- มูลค่าการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ
- สถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ทำให้มีการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ
- มูลค่าตามบัญชีของสินค้าคงเหลือที่ใช้เป็นหลักประกันหนี้สิน
ประเด็นการวิเคราะห์สินค้าคงเหลือ
- วิธีการคำนวณราคาทุนของสินค้ามีผลกระทบต่อกำไรสุทธิและมูลค่าสินค้าคงเหลือในงบแสดงฐานะการเงิน
- มูลค่าสินค้าคงเหลือที่แสดงในงบแสดงฐานะการเงินอาจได้รับผลกระทบด้วยสถานการณ์ดังต่อไปนี้
- ความเสี่ยงที่สินค้าจะขายไม่ได้และอาจทำให้เกิดภาระขาดทุนจากสินค้าที่ล้าสมัยในอนาคต
- ความเสี่ยงในการสูญหายของสินค้าส่งผลให้มูลค่าที่แสดงไว้ในงบการเงินและสินค้าที่มีอยู่จริงไม่ต่างกัน
- ความเสี่ยงที่สินค้าแสดงมูลค่าไว้สูงเกินไป ทำให้มูลค่าดังกล่าวไม่ได้สะท้อนเนื้อหาทางเศรษฐกิจที่แท้จริงและอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
- หากเป็นกิจการที่มีกำไรน้อย อัตราการหมุนเวียนของสินค้าควรสูง หากกิจการมีอัตราส่วนดังกล่าวต่ำ ควรใช้กลยุทธ์เพื่อกระตุ้นยอดขาย
บทที่ 8 สินทรัพย์ทางการเงิน
เครื่องมือทางการเงิน หมายถึง เอกสาร ตราสารหรือสัญญาที่จัดทำขึ้นและส่งผลให้สินทรัพย์ทางการเงินของกิจการ ก และหนี้สินทางการเงินของกิจการ ข เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างเครื่องมือทางการเงิน เช่น หุ้นกู้ หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสุทธิ สัญญาเงินกู้ เป็นต้น
สินทรัพย์ทางการเงิน: เงินสด ตราสารทุนของกิจการอื่น สิทธิตามสัญญาที่จะรับเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจากกิจการอื่น หรือที่จะแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินกับกิจการอื่นภายใต้เงื่อนไขที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อกิจการ เช่น ลูกหนี้การค้า หุ้นกู้ของกิจการอื่น เป็นต้น
การจัดประเภทรายการของสินทรัพย์ทางการเงิน
การจัดประเภทรายการ | ประเภทของเครื่องมือทางการเงิน | การวัดมูลค่าเริ่มแรก | การวัดมูลค่าภายหลัง | ผลกำไร/ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น |
สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVPL) | ตราสารหนี้ ตราสารทุนและตราสารอนุพันธ์ | มูลค่ายุติธรรม | มูลค่ายุติธรรม | กำไรหรือขาดทุน |
สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (FVOCI) | ตราสารหนี้และตราสารทุน | มูลค่ายุติธรรม + ต้นทุนการทำรายการ | มูลค่ายุติธรรม | กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น |
สินทรัพย์ทางการเงินวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย | ตราสารหนี้ | มูลค่ายุติธรรม +/- ต้นทุนการทำรายการอื่น | ราคาทุนตัดจำหน่าย | – |
สินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินต้องหักกลบกันและแสดงจำนวนสุทธิในงบแสดงฐานะการเงินก็ต่อเมื่อ
- กิจการมีสิทธิบังคับใช้ตามกฎหมายอยู่แล้วในการหักกลบจำนวนเงินที่รับรู้จากสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางการเงินและ
- กิจการตั้งใจที่จะชำระด้วยจำนวนเงินสุทธิหรือตั้งใจที่จะรับสินทรัพย์และชำระหนี้สินพร้อมกัน
การด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงิน
การด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงิน – เฉพาะสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่ายและที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (FVOCI) เท่านั้น
กิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนที่เกิดจากการด้อยค่าตามวิธีผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นด้วยการคาดการณ์ไปข้างหน้า
สินทรัพย์ทางการเงินจะเกิดการด้อยค่าด้านเครดิตเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตของสินทรัพย์ทางการเงิน โดยมีหลักฐานอันเที่ยงธรรมที่แสดงว่าสินทรัพย์ทางการเงินมีการด้อยค่าด้านเครดิต เช่น
- การประสบปัญหาทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญของผู้ออกตราสารหรือหุ้นกู้
- การไม่ปฏิบัติตามสัญญา เช่น การปฏิบัติผิดสัญญาหรือการค้างชำระหนี้
- การซื้อหรือได้มาซึ่งสินทรัพย์ทางการเงินด้วยจำนวนที่มีส่วนลดจำนวนมาก อันสะท้อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่อาจเกิดขึ้น
หากกิจการไม่สามารถระบุว่าสินทรัพย์ทางการเงินมีการด้อยค่าด้านเครดิตจากเหตุการณ์เดียว แต่อาจเกิดจากหลาย ๆ เหตุการณ์รวมกัน กิจการต้องมีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามวิธีขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยครอบคลุมถึง
- ตราสารหนี้ที่วัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย เช่น เงินให้กู้ยืม ตราสารหนี้ เงินฝาก เป็นต้น
- ตราสารหนี้ที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (FVOCI)
- ลูกหนี้ตามสัญญาเช่า (ตามมาตรฐานการบัญชี เรื่อง สัญญาเช่า)
- สินทรัพย์ทางการเงินภายใต้มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 15 เรื่อง รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า
- ภาระผูกพันในการให้กู้ยืมที่ไม่ได้วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน
- สัญญาค้ำประกันทางการเงิน (ยกเว้นรายการที่เป็นสัญญาประกันภัย)
การรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินส่งผลให้กำไรสำหรับปีของกิจการลดลง ทำให้อัตราส่วนทางการเงินที่สะท้อน
- ความสามารถในการทำกำไรลดลง
- ประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
การตัดรายการของสินทรัพย์ทางการเงิน
การตัดรายการของสินทรัพย์ทางการเงิน – กิจการต้องตัดรายการสินทรัพย์ทางการเงินเมื่อสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงินหมดอายุแล้ว
นอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว กิจการต้องตัดรายการสินทรัพย์ทางการเงินเมื่อกิจการได้โอนสินทรัพย์ทางการเงินแล้ว และต้องเป็นการโอนที่เข้าเงื่อนไขการตัดรายการ
หากกิจการยังไม่ได้โอนสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับกระแสเงินสดจากสินทรัพย์ทางการเงิน แต่กิจการมีภาระผูกพันตามสัญญาที่จะต้องจ่ายกระแสเงินสดนั้นให้กับกิจการอื่นที่เป็น “ผู้รับคนสุดท้าย” ก็จะถือมีการโอนสินทรัพย์ทางการเงิน
การโอนสินทรัพย์ที่เข้าเงื่อนไขการตัดรายการต้องการเป็นโอนที่กิจการได้โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมดของสินทรัพย์ทางการเงินแล้ว (เช่น กิจการขายสินทรัพย์ทางการเงินโดยมีสิทธิเลือกที่จะซื้อคืนด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ซื้อคืน)
ในการตัดรายการสินทรัพย์ทางการเงินทั้งจำนวน กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชี (วัดมูลค่า ณ วันที่ตัดรายการ) และสิ่งตอบแทนที่ได้รับ (รวมถึงสินทรัพย์ใหม่ใด ๆ ที่ได้มาหักด้วยหนี้สินใหม่ใด ๆ ที่รับมา) ในกำไรขาดทุน
การตัดรายการของสินทรัพย์ทางการเงินทำให้อัตราส่วนทางการเงินเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรลดลง
การบัญชีสำหรับอนุพันธ์ทางการเงินและการป้องกันความเสี่ยง
อนุพันธ์ หมายถึง เครื่องมือทางการเงินหรือสัญญาอื่นที่มีลักษณะทั้งสามข้อดังนี้
- มูลค่าของเครื่องมือทางการเงินเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร (รายการอ้างอิง) ที่ระบุไว้ เช่น อัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีราคา ฯลฯ โดยมีเงื่อนไขว่ากรณีที่ตัวแปรไม่ใช่ตัวแปรทางการเงิน ตัวแปรนั้นต้องไม่ใช่ตัวแปรที่เฉพาะเจาะจงกับคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
- ไม่มีการจ่ายเงินลงทุนสุทธิเมื่อเริ่มแรกหรือจ่ายด้วยจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัญญาประเภทอื่น ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าในลักษณะเดียวกันต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยตลาด และ
- การรับหรือจ่ายชำระจะกระทำในอนาคต
หากอนุพันธ์ไม่เข้าเงื่อนไขของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง (ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงิน) อนุพันธ์นั้นต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน (FVPL)
หากอนุพันธ์เข้าเงื่อนไขของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง อนุพันธ์นั้นยังต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม แต่จะรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์
- ในกำไรหรือขาดทุน หรือ
- เป็นรายการกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
ขึ้นอยู่กับประเภทการป้องกันความเสี่ยง
การบัญชีป้องกันความเสี่ยง
- การป้องกันความเสี่ยงมูลค่ายุติธรรม
- การป้องกันความเสี่ยงกระแสเงินสด
- การป้องกันความเสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศ
การป้องกันความเสี่ยงที่เข้าเงื่อนไขการป้องกันความเสี่ยงต้องมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่เริ่มทำรายการการป้องกันความเสี่ยง โดยต้องระบุอย่างชัดเจนถึงเรื่อง
- วัตถุประสงค์ในการบริหารความเสี่ยง
- กลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง
- ลักษณะของความเสี่ยงที่มีการป้องกัน
- รายการที่มีการป้องกันความเสี่ยง
- เครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
- การประเมินความมีประสิทธิผลของการป้องกันความเสี่ยง
- การวัดมูลค่าของความไม่มีประสิทธิภาพของการป้องกันความเสี่ยง
อนุพันธ์ทางการเงินต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมและกิจการต้องรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์ในกำไรหรือขาดทุน – กำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
หากบริษัทใช้อนุพันธ์เพื่อการป้องกันความเสี่ยงและดำเนินการตามเงื่อนไขของการบัญชีการป้องกันความเสี่ยง ผลกำไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์จะรับรู้ในรอบระยะเวลารายงานเดียวกับผลกำไรหรือขาดทุนจากรายการที่ป้องกันความเสี่ยง – ลดความผันผวนจากตัวเลขกำไรของบริษัท
การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงิน
การเปิดเผยเกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงิน
งบแสดงฐานะการเงิน
- มูลค่าตามบัญชีรวมของสินทรัพย์ทางการเงินในแต่ละประเภทในงบแสดงฐานะการเงินหรือหมายเหตุประกอบงบการเงิน
- ข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรมของเงินให้กู้ยืมและลูกหนี้
- สินทรัพย์ทางการเงินที่จัดประเภทรายการใหม่
- สินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่เข้าเงื่อนไขของการตัดรายการ
- รายละเอียดของสินทรัพย์ทางการเงินที่ใช้เป็นหลักประกัน
- การกระทบยอดของบัญชีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิต
- เครื่องมือทางการเงินที่มีอนุพันธ์แฝง
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
- ผลกำไรหรือผลขาดทุนสำหรับสินทรัพย์ทางการเงินแต่ละประเภทในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จหรือหมายเหตุประกอบงบการเงิน
- รายได้ดอกเบี้ยรวมตามวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง
- รายได้ค่าธรรมเนียม
- ดอกเบี้ยจากสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการด้อยค่า
- จำนวนเงินของผลขาดทุนจากการด้อยค่าสำหรับแต่ละสินทรัพย์ทางการเงิน
การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยง – เปิดเผยเกี่ยวกับลักษณะและระดับของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือทางการเงินทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
บทที่ 9 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หมายถึง สินทรัพย์ที่ไม่อาจจัดประเภทเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนได้ เช่น ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เป็นต้น
ประเภทของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน
ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ หมายถึง สินทรัพย์ที่มีตัวตนซึ่งเข้าเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้
- มีไว้เพื่อประโยชน์ในการผลิต ในการจำหน่ายสินค้าหรือให้บริการ หรือให้บริการเพื่อเช่า หรือเพื่อใช้ในการบริหารงาน และ
- คาดว่าจะใช้ประโยชน์มากกว่าหนึ่งรอบระยะเวลา
การวัดมูลค่าและการบันทึกรายการเกี่ยวกับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
กิจการต้องรับรู้ต้นทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เป็นสินทรัพย์ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้
- มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากรายการนั้น และ
- กิจการสามารถวัดมูลค่าต้นทุนของรายการนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ
กิจการต้องวัดมูลค่าของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์โดยใช้ราคาทุนอันประกอบด้วย
- ราคาซื้อ (ไม่รวมภาษีที่สามารถขอคืนได้)
- ต้นทุนทางตรงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาสินทรัพย์เพื่อให้สินทรัพย์นั้นอยู่ในสถานที่และสภาพที่พร้อมใช้งานตามความประสงค์ของฝ่ายบริหาร
- ต้นทุนที่ประมาณในเบื้องต้นสำหรับการรื้อ การขนย้ายและการบูรณะสถานที่ตั้งของสินทรัพย์
ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์จะนำเสนอในงบแสดงฐานะการเงินเป็นส่วนหนึ่งของรายการสินทรัพย์หมุนเวียนด้วยมูลค่าตามบัญชี (คำนวณด้วยราคาทุนหรือมูลค่าที่ตีใหม่) หักค่าเสื่อมราคาสะสมและค่าเผื่อการด้อยค่าสะสม (ถ้ามี)
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์จะประกอบด้วยค่าเสื่อมราคาที่รับรู้เมื่อกิจการได้รับประโยชน์จากการใช้งานสินทรัพย์นั้น (ที่ดินไม่มีการตัดค่าเสื่อมราคา) และผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่จะรับรู้เมื่อมูลค่าตามบัญชีสูงกว่ามูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน
ในการรับรู้รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ กิจการจะต้องพิจารณาประเภทของรายจ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแบ่งออกเป็น
- รายจ่ายฝ่ายทุน – รายจ่ายสำหรับการซื้อหรือก่อสร้างสินทรัพย์ที่เข้าเงื่อนไขการรับรู้เป็นสินทรัพย์ประเภทที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ รายจ่ายฝ่ายทุนจะตั้งเป็นสินทรัพย์ในงวดที่มีรายจ่ายเกิดขึ้น
- รายจ่ายฝ่ายรายได้ – รายจ่ายสำหรับการซ่อมแซมและการบำรุงรักษาสินทรัพย์ประเภทที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เพื่อให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ตามปกติ รายจ่ายฝ่ายทุนจะตั้งเป็นค่าใช้จ่ายในงวดที่มีรายจ่ายเกิดขึ้น
การตั้งต้นทุนการกู้ยืมเป็นราคาทุนของสินทรัพย์
กิจการต้องรวมต้นทุนการกู้ยืมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการได้มา การก่อสร้างหรือการผลิตสินทรัพย์ที่เข้าเงื่อนไข เป็นส่วนหนึ่งของราคาทุนของสินทรัพย์นั้นและกิจการต้องรับรู้ต้นทุนการกู้ยืมอื่นเป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีที่ต้นทุนนั้นเกิดขึ้น
การคิดค่าเสื่อมราคา
ค่าเสื่อมราคา – การปันส่วนราคาทุนของสินทรัพย์หรือมูลค่าอื่นที่แทนราคาทุนหักด้วยมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์อย่างมีระบบตลอดอายุการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์นั้น
กิจการต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละงวดในกำไรหรือขาดทุน ยกเว้นกรณีที่นำค่าเสื่อมราคาไปรวมเป็นมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์อื่น
กิจการต้องคิดค่าเสื่อมราคาสำหรับส่วนของรายการอาคารและอุปกรณ์ แต่ละส่วนแยกต่างหากจากกัน เมื่อส่วนประกอบแต่ละส่วนมีต้นทุนที่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับต้นทุนทั้งหมดของสินทรัพย์
กิจการไม่บันทึกค่าเสื่อมราคาของที่ดิน เพราะที่ดินมีอายุการให้ประโยชน์ไม่จำกัด
ปัจจัยที่ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา
- ราคาทุนของสินทรัพย์ – จำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่กิจการจ่ายไปหรือมูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนที่กิจการมอบให้เพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ ณ เวลาที่ได้สินทรัพย์นั้นมา หรือ ณ เวลาที่ก่อสร้างสินทรัพย์นั้นหรือในกรณีที่เกี่ยวข้อง
- มูลค่าคงเหลือ – จำนวนเงินโดยประมาณที่กิจการคาดว่าจะได้รับในปัจจุบันจากการจำหน่ายสินทรัพย์ ภายหลังจากหักต้นทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการจำหน่ายสินทรัพย์นั้น
- จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา – ราคาทุนของสินทรัพย์หรือมูลค่าอื่นที่แทนราคาทุนหักด้วยมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์
- อายุการให้ประโยชน์: 4.1 หรือ 4.2
4.1 ระยะเวลาที่กิจการคาดว่าจะมีสินทรัพย์ไว้เพื่อใช้
4.2 จำนวนผลผลิตหรือจำนวนหน่วยในลักษณะอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งกิจการคาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์
วิธีการคิดเสื่อมราคา
- วิธีเส้นตรง: ค่าเสื่อมราคามีจำนวนเท่ากันทุกปี
- วิธียอดคงเหลือลดลง: ค่าเสื่อมราคามีจำนวนมากในปีแรก ๆ และมีจำนวนลดน้อยลงในปีหลัง ๆ
- วิธีผลรวมจำนวนปี: ประโยชน์ที่ได้จากการใช้สินทรัพย์จะเป็นส่วนกลับกับลำดับปีที่ใช้งาน
- วิธีจำนวนผลผลิต: ค่าเสื่อมราคาแต่ละปีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้งานสินทรัพย์
การตัดรายการสินทรัพย์
กิจการต้องตัดรายการมูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ออกจากบัญชีเมื่อ
- กิจการจำหน่ายสินทรัพย์ หรือ
- กิจการคาดว่าจะไม่ได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากการใช้สินทรัพย์หรือการจำหน่ายสินทรัพย์
กิจการต้องรับรู้กำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการตัดรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ในกำไรหรือขาดทุนเมื่อมีการตัดรายการสินทรัพย์นั้นออกจากบัญชี โดยกิจการต้องไม่จัดประเภทผลกำไรที่เกิดขึ้นจากการตัดรายการเป็นรายได้หลัก
การตีราคาสินทรัพย์ใหม่
- ราคาทุน – แสดงรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ด้วยราคาทุนหักค่าเสื่อมราคาสะสมและผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสมของสินทรัพย์
- ตีราคาใหม่ – แสดงราคาที่ตีใหม่ (มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่มีการตีราคาใหม่หักค่าเสื่อมราคาสะสมและผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสมของสินทรัพย์ในภายหลัง)
การด้อยค่าของสินทรัพย์
หากกิจการพบว่ามีข้อบ่งชี้การด้อยค่าของสินทรัพย์ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการต้องประมาณมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์นั้น
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน หมายถึง สินทรัพย์ที่ไม่เป็นตัวเงินที่สามารถระบุได้ และไม่มีลักษณะทางกายภาพ
คุณสมบัติของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
- ต้องสามารถระบุได้
- ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกิจการ
- ต้องก่อให้เกิดประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต
- ต้องวัดมูลค่าต้นทุนอย่างได้น่าเชื่อถือ
สินทรัพย์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่สามารถระบุได้ เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ สัมปทาน เป็นต้น
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ไม่สามารถระบุได้ เช่น ค่าความนิยม
กิจการวัดมูลค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตนเมื่อเริ่มแรกด้วยราคาทุน และภายหลังด้วยราคาทุนหรือมูลค่าที่ตีใหม่
การตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
- อายุการให้ประโยชน์ทราบได้แน่นอน – กิจการต้องปันส่วนจำนวนที่คิดค่าตัดจำหน่ายของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่อายุการใช้ประโยชน์ทราบได้แน่นอนอย่างเป็นระบบ ตลอดอายุการประโยชน์ของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
- อายุการให้ประโยชน์ไม่ทราบได้แน่นอน – กิจการต้องไม่ตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่อายุการให้ประโยชน์ไม่ทราบได้แน่นอน แต่จะต้องวัดการด้อยค่าของสินทรัพย์เป็นประจำทุกปีและเมื่อมีข้อบ่งชี้การด้อยค่าสินทรัพย์
ปัจจัยที่ใช้ในการคำนวณค่าตัดจำหน่าย
- ราคาทุนของสินทรัพย์ – จำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่กิจการจ่ายไปหรือมูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนที่กิจการมอบให้เพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ไม่มีตัวตน ณ เวลาที่ได้สินทรัพย์นั้นมา หรือ ณ เวลาที่ก่อสร้างสินทรัพย์นั้นหรือในกรณีที่เกี่ยวข้อง
- มูลค่าคงเหลือ – ประมาณการจำนวนเงินที่กิจการคาดว่าจะได้รับในปัจจุบันจากการจำหน่ายสินทรัพย์ ภายหลังจากหักประมาณการต้นทุนจากการจำหน่าย หากสินทรัพย์มีอายุการใช้ประโยชน์และอยู่ในสภาพที่คาดว่าจะเป็น ณ วันสิ้นอายุการใช้ประโยชน์
- จำนวนที่คิดค่าตัดจำหน่าย – ราคาทุนของสินทรัพย์หรือมูลค่าอื่นที่แทนราคาทุนหักด้วยมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์
- อายุการให้ประโยชน์: 4.1 หรือ 4.2
4.1 ระยะเวลาที่กิจการคาดว่าจะมีสินทรัพย์ไว้เพื่อใช้
4.2 จำนวนผลผลิตหรือจำนวนหน่วยในลักษณะอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งกิจการคาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์
การเลิกใช้สินทรัพย์ไม่มีตัวตน
กิจการต้องเลิกรับรู้สินทรัพย์ไม่มีตัวตนเมื่อ
- กิจการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
- กิจการคาดว่าจะไม่ได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากการนำสินทรัพย์นั้นมาใช้ประโยชน์หรือจำหน่าย
กิจการต้องรับรู้ผลต่างระหว่างจำนวนเงินสุทธิที่จะได้รับจากการจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (ถ้ามี) และมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนนั้นเป็นผลกำไรหรือขาดทุนจากการตัดรายการสินทรัพย์ไม่มีตัวตนในกำไรหรือขาดทุน
เมื่อเลิกรับรู้สินทรัพย์ไม่มีตัวตน กิจการต้องไม่จัดประเภทผลกำไรที่เกิดขึ้นจากการตัดรายการเป็นรายได้หลัก
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สินทรัพย์ที่มีตัวตนระยะยาวที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติที่กิจการมีไว้เพื่อใช้ในการดำเนินงานหรือการผลิตสินค้า ที่ใช้แล้วเสื่อมสิ้นหมดไป ไม่สามารถทดแทนได้หรือทดแทนได้ในระยะเวลาที่ยาวนานมาก
การวัดมูลค่าเมื่อรับรู้รายการ
สินทรัพย์ที่เกิดจากการสำรวจและการประเมินค่าต้องวัดมูลค่าโดยใช้ราคาทุน
การวัดมูลค่าภายหลัง
ราคาทุนหรือการตีราคาใหม่
การตัดค่าเสื่อมสิ้น
การตัดค่าเสื่อมสิ้น หมายถึง วิธีการบัญชีที่ใช้ในการปันส่วนต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติเป็นค่าใช้จ่ายตามอัตราส่วนหรือมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติส่วนที่ถือว่าเป็นรายได้ในแต่ละงวด
โดยปกติแล้ว กิจการมักจะใช้วิธีจำนวนหน่วยผลิตในการคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทรัพยากรธรรมชาติ
สินทรัพย์ชีวภาพ หมายถึง สัตว์หรือพืชที่มีชีวิต โดยแบ่งออกเป็น
- สินทรัพย์ชีวภาพเพื่อการอุปโภคบริโภค
- สินทรัพย์ชีวภาพเพื่อการให้ผลิตผล
การรับรู้สินทรัพย์ชีวภาพ
กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ชีวภาพเมื่อมีคุณสมบัติต่อไปนี้ครบทุกข้อ
- กิจการควบคุมสินทรัพย์นั้นซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์ในอดีต
- มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากสินทรัพย์นั้น
- มูลค่ายุติธรรมหรือต้นทุนของสินทรัพย์นั้นสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ
การวัดมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพ
- สินทรัพย์ชีวภาพ (ยกเว้นพืชเพื่อการให้ผลิตผล) ต้องวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายเมื่อรับรู้รายการเริ่มแรก และ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน
- ถ้าไม่สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมได้อย่างน่าเชื่อถือ กิจการต้องวัดมูลค่าด้วยราคาทุนหักค่าเสื่อมราคาสะสมและผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสม
- ถ้าสินทรัพย์ชีวภาพประเภทไม่หมุนเวียนเข้าเงื่อนไขการจัดประเภทเป็นถือไว้เพื่อขาย จะถือว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพนั้นสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือทันที
บทที่ 10 หนี้สินทางการเงินและสัญญาเช่า
หนี้สินทางการเงิน หมายถึง
- ภาระผูกพันตามสัญญา
- ที่จะส่งมอบเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้แก่กิจการอื่น หรือ
- ที่จะแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินหรือหนี้สินทางการเงินกับกิจการอื่น ภายใต้เงื่อนไขที่น่าจะทำให้กิจการเสียประโยชน์ หรือ
- สัญญาที่จะหรืออาจจะชำระสัญญาด้วยตราสารทุนของกิจการและเป็น
- รายการที่ไม่ใช่อนุพันธ์ ซึ่งกิจการมีหรืออาจจะมีภาระผูกพันในการส่งมอบตราสารทุนของกิจการในจำนวนที่ผันแปร หรือ
- รายการที่เป็นอนุพันธ์ที่จะหรืออาจจะชำระสัญญาเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นกับตราสารทุนของกิจการในจำนวนคงที่
ประเภทของหนี้สินทางการเงิน
- หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVPL)
- หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย
หนี้สินทางการเงินจากอนุพันธ์ต้องวัดมูลค่าด้วย FVPL เท่านั้น ยกเว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง
การวัดมูลค่าและการรับรู้รายการเมื่อเริ่มแรก
- หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVPL) – วัดมูลค่าเริ่มแรกด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันรับรู้รายการเท่านั้น ส่วนต้นทุนการทำรายการให้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายทันทีในกำไรหรือขาดทุน
- หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย – วัดมูลค่าเริ่มแรกด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันรับรู้รายการ บวกหรือหักด้วยต้นทุนการทำรายการที่เกี่ยวข้องโดยตรง
การวัดมูลค่าภายหลัง
หนี้สินทางการเงินวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่ายต้องมีการรับรู้ในกำไรหรือขาดทุนด้วยวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง ไม่ใช่รับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยตามสัญญา
หากกิจการเลือกวัดมูลค่าหนี้สินทางการเงินด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน หนี้สินทางการเงินนั้นต้องวัดมูลค่าและแสดงในงบแสดงฐานะการเงินด้วยมูลค่ายุติธรรม
หากมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินทางการเงิน
- เพิ่มขึ้น – กิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นในกำไรหรือขาดทุน
- ลดลง – กิจการต้องรับรู้ผลกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นในกำไรหรือขาดทุน
การตัดรายการหนี้สินทางการเงินและการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสดตามสัญญา
- รายการหนี้สินทางการเงินสิ้นสุดลง
กิจการต้องตัดรายการหนี้สินทางการเงิน (ทั้งหมดหรือบางส่วน) ออกจากงบแสดงฐานะการเงินเมื่อรายการหนี้สินทางการเงินนั้นสิ้นสุดลงหรือเมื่อ
- กิจการได้จ่ายชำระหนี้สินทางการเงินทั้งหมดหรือบางส่วนของหนี้สินคืนให้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งโดยปกติเป็นการจ่ายชำระด้วยเงินสด สินทรัพย์ทางการเงินอื่น รวมถึงเป็นสินค้าหรือบริการ หรือ
- กิจการหลุดพ้นจากความรับผิดชอบตามกฎหมายสำหรับรายการหนี้สินทางการเงิน (ทั้งหมดหรือบางส่วน) โดยกระบวนการทางกฎหมายหรือโดยเจ้าหนี้
- การแลกเปลี่ยนตราสารหนี้ที่มีความแตกต่างในข้อตกลง
กิจการต้องบันทึกบัญชีของรายการดังกล่าวเป็นรายการสิ้นสุดลงของรายการหนี้สินทางการเงินรายการเดิม และต้องบันทึกบัญชีเพื่อรับรู้รายการหนี้สินทางการเงินใหม่
- การรับรู้ผลแตกต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชี
กิจการต้องรับรู้ผลแตกต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีของหนี้สินทางการเงินหรือบางส่วนของรายการหนี้สินทางการเงินที่สิ้นสุดลง ที่ได้โอนให้แก่บุคคลอื่นและสิ่งตอบแทนที่จ่ายซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินสดที่มีการโอนไปหรือหนี้สินที่รับ โดยให้รับรู้ในกำไรหรือขาดทุน
ในการหักกลบสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงินระหว่างกันและแสดงจำนวนสุทธิในงบแสดงฐานะการเงิน
กิจการต้องบรรลุเงื่อนไขครบทุกข้อดังนี้
- กิจการมีสิทธิตามกฎหมายในการหักกลบลบหนี้ได้
- กิจการมีความตั้งใจที่จะรับชำระหรือจ่ายชำระด้วยยอดสุทธิ หรือตั้งใจที่จะรับประโยชน์จากสินทรัพย์และชำระหนี้สินพร้อมกัน
เงื่อนไขของสิทธิตามกฎหมายในการหักกลับหนี้ประกอบด้วย 2 เงื่อนไข
- ต้องไม่ใช่สิทธิที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ต้องเป็นสิทธิตามกฎหมายซึ่งเข้าเงื่อนไขทุกข้อดังนี้
2.1 การดำเนินธุรกิจตามปกติ
2.2 การไม่ชำระเงินตามสัญญา
2.3 การผิดนัดชำระหนี้หรือการล้มละลายของกิจการและคู่สัญญาทุกราย
ผลกระทบของการวัดมูลค่าและรับรู้รายการหนี้สินทางการเงินที่มีต่อการวิเคราะห์งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงิน
หากกิจการวัดมูลค่าหนี้สินทางการเงินด้วย
- ราคาทุนตัดจำหน่าย – กิจการรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (ซึ่งอาจแตกต่างจากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญา) ผลกระทบต่อตัวเลขกำไรของกิจการมีเพียงค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ซึ่งไม่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของกิจการ
- มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน – ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อมูลค่ายุติธรรมของหนี้สินทางการเงินในงบแสดงฐานะการเงิน ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของกิจการ
หนี้สินทางการเงินจากหุ้นกู้อนุพันธ์
หุ้นกู้อนุพันธ์ประกอบด้วยหุ้นกู้พื้นฐานและอนุพันธ์แฝง ซึ่งมักจะจ่ายผลตอบแทนหรือชำระเงินต้นทั้งหมดบางส่วน โดยอ้างอิงกับตัวแปรที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ราคาหลักทรัพย์ ดัชนีหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น
หุ้นกู้พื้นฐาน
- มักวัดมูลค่าด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย โดยไม่ต้องรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกินจริงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของหุ้นกู้พื้นฐาน
- เลือกวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรได้
อนุพันธ์แฝง
- วัดมูลค่าอนุพันธ์แฝงด้วยมูลค่ายุติธรรมเพื่อแสดงรายการในงบแสดงฐานะการเงิน และรับรู้ผลกำไรหรือผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมแฝงไว้ในกำไรหรือขาดทุน
สัญญาเช่า
สัญญาเช่า หมายถึง สัญญาหรือส่วนหนึ่งของสัญญาที่ให้สิทธิในการใช้สินทรัพย์สำหรับช่วงเวลาที่ตกลงกันเพื่อการแลกเปลี่ยนกับสิ่งตอบแทน
สัญญาเช่าด้านผู้เช่า
ผู้เช่าต้องรับรู้สิทธิการใช้และหนี้สินจากสัญญาเช่า ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่า หลังจากนั้นจะมีการรับรู้ค่าเสื่อมราคาหรือค่าตัดจำหน่ายจากสินทรัพย์สิทธิการใช้ และรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้บจากหนี้สินจากสัญญาเช่า โดยไม่มีการรับรู้ค่าเช่าหรือสิ่งตอบแทนที่ผู้เช่าจ่ายให้แก่ผู้ให้เช่าเป็นค่าใช้จ่าย
ผู้เช่าเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามที่กล่าวข้างต้น หาก
- อายุสัญญาเช่าไม่เกิน 12 เดือน หรือ
- สินทรัพย์ที่เช่ามีมูลค่าต่ำ
สัญญาเช่าด้านผู้ให้เช่า
ผู้ให้เช่าต้องจัดประเภทสัญญาที่เช่าบอกเลิกไม่ได้เป็นสัญญาเช่าดำเนินงานหรือสัญญาเช่าเงินทุน
หากสัญญาเช่าทำให้เกิดอย่างน้อยหนึ่งสถานการณ์ดังต่อไปนี้ สัญญาเช่านั้นถือว่าเป็นสัญญาเช่าที่บอกเลิกไม่ได้
- สัญญาเช่าโอนความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ที่เช่าให้แก่ผู้เช่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของสัญญาเช่า
- ผู้เช่ามีสิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์ที่เช่าด้วยราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมอย่างมาก ณ วันที่สิทธิเลือกเกิดขึ้น โดยราคาตามสิทธิเลือกซื้อนั้นมีจำนวนต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์อย่างมากเพียงพอที่จะทำให้เกิดความแน่นอนอย่างสมเหตุสมผล ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่าว่าผู้เช่าจะใช้สิทธิเลือกซื้อสินทรัพย์นั้น
- ระยะเวลาของสัญญาเช่าครอบคลุมอายุการใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสินทรัพย์ที่เช่า แม้ว่าจะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้น
- ณ วันเริ่มต้นของสัญญาเช่า มูลค่าปัจจุบันของจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่ายมีจำนวนเท่ากับหรือเกือบเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่เช่า
- สินทรัพย์ที่เช่ามีลักษณะเฉพาะเจาะลงจนกระทั่งมีผู้เช่าเพียงรายเดียวที่สามารถใช้สินทรัพย์นั้นโดยไม่จำเป็นต้องนำสินทรัพย์ดังกล่าวมาทำการดัดแปลงที่สำคัญ
หากสัญญาเช่าเป็นสัญญาเช่าที่บอกเลิกได้ แม้จะเกิดอย่างน้อยหนึ่งสถานการณ์จากข้อ 1 ถึง 5 ที่กล่าวข้างต้น สัญญาที่บอกเลิกได้จะถือว่าเป็นสัญญาเช่าดำเนินงาน
บทที่ 11 งบการเงินรวม
ความหมายของงบการเงินรวม
งบการเงินรวม หมายถึง งบการเงินของกลุ่มกิจการที่มีการนำเสนอสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ รายได้ ค่าใช้จ่าย และกระแสเงินสดของบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยเสมือนว่าเป็นหน่วยงานทางเศรษฐกิจหน่วยงานเดียว
งบการเงินเฉพาะกิจการ หมายถึง งบการเงินที่นำเสนอโดยกิจการ ซึ่งกิจการสามารถเลือกบันทึกเงินลงทุนโดยบริษัทย่อย เงินลงทุนในการร่วมค้า และเงินลงทุนบริษัทร่วมตามข้อกำหนดของมาตรฐานการบัญชี
งบการเงินประจำงวดที่บริษัทใหญ่นำเสนอจะต้องมีทั้งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยการจัดทำงบการเงินเฉพาะกิจการ กิจการต้องบันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทย่อย เงินลงทุนในบริษัทร่วมและเงินลงทุนในการร่วมค้า ตามวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้
- วิธีราคาทุน หรือ
- วิธีมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน หรือ
- วิธีส่วนได้เสีย
ความสำคัญของงบการเงินรวม
- ผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่และนักลงทุนที่ตัดสินใจลงทุนจะพิจารณาข้อมูลงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ
- เจ้าหนี้ระยะยาวจะใช้ข้อมูลจากงบการเงินรวมในการประเมินความเสี่ยงและผลประกอบการของบริษัทใหญ่ เพื่อการตัดสินใจให้สินเชื่อทางการเงินแก่บริษัทใหญ่
ข้อยกเว้นในการจัดทำงบการเงินรวม
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน
บริษัทใหญ่ หมายถึง กิจการที่ควบคุมกิจการอื่นหนึ่งแห่งหรือมากกว่านั้นผ่านการเข้าซื้อหุ้นอีกกิจการหนึ่งมากกว่า 50% หรือมีอำนาจเหนือผู้ได้รับการลงทุน
บริษัทย่อย หมายถึง กิจการที่ถูกควบคุมโดยกิจการหนึ่ง
บริษัทใหญ่ที่มีเงินลงทุนในบริษัทย่อยไม่ต้องนำเสนองบการเงินรวม หากเป็นไปตาม 4 เงื่อนไขด้านล่าง
- บริษัทใหญ่มีฐานะเป็นบริษัทย่อยที่กิจการอื่นควบคุมส่วนได้เสียทั้งหมดหรือบางส่วน โดยที่ผู้ถือหุ้นอื่นของบริษัทใหญ่ รวมทั้งผู้ถือหุ้นที่ไม่มีสิทธิออกเสียงได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งในสถานการณ์อื่นจะไม่มีสิทธิออกเสียง และไม่คัดค้านที่บริษัทใหญ่จะไม่นำเสนองบการเงินรวม
- ตราสารทุนหรือตราสารหนี้ของบริษัทใหญ่ไม่มีการซื้อขายในตลาดสาธารณะ (ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ในหรือต่างประเทศหรือการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งตลาดในท้องถิ่นและในภูมิภาค
- บริษัทใหญ่ไม่ได้นำส่งหรืออยู่ในกระบวนการของการนำส่งงบการเงินของบริษัทให้แก่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือหน่วยงานกำกับดูแลอื่นเพื่อวัตถุประสงค์ในการออกขายหลักทรัพย์ใด ๆ ในตลาดสาธารณะ และ
- บริษัทใหญ่ในลำดับสูงสุดหรือบริษัทใหญ่ในลำดับระหว่างกลางจัดทำงบการเงินและเผยแพร่เป็นข้อมูลสาธารณะ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยได้รวมบริษัทย่อยไว้ในงบการเงินหรือวัดมูลค่าของบริษัทย่อยด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
หลักการประเมินการควบคุมกิจการ
คำนิยาม ‘การควบคุม’ คือ
“ผู้ลงทุนควบคุมผู้ได้รับการลงทุนเมื่อผู้ลงทุนมีฐานะเปิดต่อหรือมีสิทธิในผลตอบแทนที่ผันแปรจากการเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ได้รับการลงทุน และมีความสามารถที่จะทำให้เกิดผลตอบแทนดังกล่าวจากการมีอำนาจเหนือผู้ได้รับการลงทุน”
คำนิยามที่กล่าวข้างต้นสามารถแยกการควบคุมออกเป็น 3 องค์ประกอบสำคัญ
- อำนาจ
- ผลตอบแทนผันแปร
- ความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจและผลตอบแทนผันแปร
การจัดทำงบการเงินรวม
การจัดทำงบการเงินรวม ณ วันซื้อหุ้น – มีเพียงแค่งบแสดงฐานะการเงินรวม เพราะทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยพึ่งเริ่มมีการรวมกิจการกัน จึงยังไม่มีการดำเนินงานร่วมกัน
การจัดทำงบการเงินรวมหลังวันซื้อหุ้น – ทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยต่างบันทึกบัญชีและจัดทำงบการเงินของตน แต่บริษัทใหญ่ต้องจัดทำงบการเงินรวมเพิ่มเติมจากงบการเงินเฉพาะกิจการ
งบการเงินรวมหลังวันซื้อหุ้นประกอบด้วย
- งบกำไรขาดทุนรวม
- งบแสดงฐานะการเงินรวม
- งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของรวม
- งบกระแสเงินสดรวม
การจัดทำงบการเงินรวมกรณีบริษัทในกลุ่มกิจการมีรายการระหว่างกัน – รายการระหว่างวันต้องตัดบัญชีออกไปเสมือนว่าภายในกลุ่มกิจการต้องไม่มีรายการระหว่างกันเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดทำงบการเงินรวม
การจัดทำงบการเงินรวมกรณีมีโครงสร้างการถือครองหุ้นที่ซับซ้อน – หากโครงสร้างการถือครองบริษัทในกลุ่มกิจการมีความซับซ้อน เช่น
- ถือครองส่วนได้เสียทางตรง
- ถือครองส่วนได้เสียทางอ้อม
- ถือครองส่วนได้เสียระหว่างกัน
ความซับซ้อนในการจัดทำงบการเงินรวมจะเพิ่มขึ้นในประเด็นที่เกี่ยวกับการคำนวณการจัดสรรกำไรสุทธิของกลุ่มกิจการให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่และผู้ที่ไม่มีอำนาจควบคุม
การจัดทำงบกระแสเงินสดรวม
รูปแบบการจัดทำงบกระแสเงินสดรวมมี 2 วิธี
- แสดงกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน – วิธีทางตรง
- แสดงกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน – วิธีทางอ้อม
ประเด็นการเปิดเผยข้อมูลสำหรับการจัดทำงบการเงินรวม
การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนได้เสียในกิจการอื่น – กิจการอาจต้องทำการรวมหรือแยกการเปิดเผยข้อมูลเพื่อทำให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไม่ถูกบดบังด้วยรายละเอียดที่ไม่สำคัญจำนวนมาก หรือจากการนำรายการที่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปรวมเข้าไว้ด้วยกัน
การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดุลยพินิจและข้อสมมติฐานที่สำคัญ
- กิจการมีการควบคุมร่วมในการงานหรือมีอิทธิพลอย่างมีสาระสำคัญ
- ประเภทของการร่วมการงาน ในกรณีจัดตั้งเป็นหน่วยงานแยกต่างหาก
- กิจการเป็นตัวแทนหรือตัวการ
การแสดงรายการและเปิดเผยข้อมูลส่วนได้เสียในบริษัทย่อย
กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทย่อยแต่ละรายที่มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมที่มีสาระสำคัญ เช่น
- ชื่อของบริษัทย่อย
- สัดส่วนของส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของที่ถือโดยส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจในการควบคุม
- กำไรหรือขาดทุนที่แบ่งให้กับส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมในบริษัทย่อยในระหว่างรอบระยะเวลารายงาน
- ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมในบริษัทย่อยสะสม ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน