ในระบบเศรษฐกิจ เราสามารถจำแนกโครงสร้างตลาดออกเป็น 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ตลาดผู้ขายน้อยราย และตลาดผูกขาด โดยแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากปัจจัย 5 อย่าง คือ จำนวนผู้ขายและขนาดของธุรกิจ ระดับความแตกต่างของสินค้า อำนาจในการกำหนดราคา อุปสรรคในการเข้าหรือออกจากตลาด และระดับการแข่งขันด้านอื่นๆนอกเหนือจากราคา

Perfect Competition

ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competition) เป็นตลาดที่มีผู้ขายจำนวนมากผลิตสินค้าที่เหมือนกันทุกประการ โดยไม่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด และผู้ขายแต่ละรายแข่งขันกันเฉพาะด้านราคาเท่านั้น ผู้ขายไม่มีอำนาจในการกำหนดราคา เนื่องจากต้องขายสินค้าตามราคาตลาดที่เกิดจากอุปสงค์และอุปทานโดยรวม ตัวอย่างเช่น ตลาดข้าวสาลีในภูมิภาคหนึ่งๆ

Monopolistic Competition

ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition) มีผู้ขายจำนวนมากเช่นกัน แต่สินค้ามีความแตกต่างกันในด้านคุณภาพ คุณลักษณะ หรือการตลาด อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดต่ำ และผู้ขายมีอำนาจในการกำหนดราคาบ้างแต่ไม่มาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือตลาดยาสีฟัน ที่แต่ละยี่ห้อพยายามสร้างความแตกต่างผ่านคุณสมบัติพิเศษ เช่น ความขาว ลมหายใจสดชื่น หรือการป้องกันฟันผุ หากราคาสินค้าที่ชื่นชอบเพิ่มขึ้น 10% ผู้บริโภคบางส่วนอาจเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่น ขณะที่บางส่วนยังคงซื้อยี่ห้อเดิม

Oligopoly

ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) มีผู้ขายเพียงไม่กี่ราย ทำให้การตัดสินใจด้านราคาและกลยุทธ์ทางธุรกิจของแต่ละรายส่งผลกระทบต่อกันและกัน สินค้าอาจมีความคล้ายคลึงหรือแตกต่างกัน แต่สามารถทดแทนกันได้ดี มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสูงเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนมาก ตัวอย่างเช่น ตลาดรถยนต์ที่มีผู้ผลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เช่น Toyota และ Ford ที่แข่งขันกันทั้งด้านราคา การตลาด คุณสมบัติผลิตภัณฑ์ และคุณภาพ

Monopoly

ตลาดผูกขาด (Monopoly) มีผู้ขายเพียงรายเดียวที่ผลิตสินค้าที่ไม่มีสินค้าทดแทนใกล้เคียง ทำให้มีอำนาจเต็มที่ในการกำหนดราคา มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสูงมาก อาจเกิดจากการคุ้มครองทางกฎหมาย เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร การควบคุมทรัพยากรที่จำเป็น หรือการได้รับสัมปทานจากรัฐบาล เช่น กิจการสาธารณูปโภคต่างๆ นอกจากนี้ยังมี “การผูกขาดโดยธรรมชาติ” ที่เกิดในกรณีที่การมีผู้ผลิตมากกว่าหนึ่งรายจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงเกินไป

อย่างไรก็ตาม อำนาจผูกขาดมักไม่ยั่งยืน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและรสนิยมผู้บริโภค เช่นกรณีของ Polaroid ที่เคยผูกขาดตลาดภาพถ่ายด่วนมานาน แต่ต้องล้มละลายในปี 2001 เมื่อกล้องดิจิทัลเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ “Network Effects” ที่ทำให้บริษัทบางแห่งมีอำนาจตลาดสูง เช่น eBay ที่มีฐานผู้ซื้อ-ผู้ขายขนาดใหญ่จนยากที่คู่แข่งจะเข้ามาแข่งขันได้ ซึ่งเรียกว่ามี “คูเมือง” (Moat) ป้องกันการแข่งขัน

สรุป

โครงสร้างตลาดแต่ละรูปแบบมีผลต่อพฤติกรรมของธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงประสิทธิภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจลักษณะของแต่ละตลาดจึงมีความสำคัญต่อการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจและการกำกับดูแลของภาครัฐ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากที่สุด