ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงินผ่านเครื่องมือหลัก 3 ประการ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย การกำหนดอัตราเงินสำรองตามกฎหมาย และการดำเนินนโยบายตลาดเปิด โดยแต่ละเครื่องมือมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันแต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
Policy Rate
เครื่องมือที่ 1: อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy rate) ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางได้ในกรณีที่มีเงินสำรองไม่เพียงพอ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางคิดกับธนาคารพาณิชย์เรียกว่า “อัตราคิดลด” (Discount Rate) สำหรับธนาคารกลางยุโรปเรียกว่า “อัตรารีไฟแนนซ์” (Refinancing Rate) นอกจากนี้ยังมีการใช้ธุรกรรมซื้อคืน (Repurchase Agreement) โดยธนาคารกลางจะซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์และตกลงขายคืนในราคาที่สูงขึ้นในอนาคต ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายคืนคืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางคิดกับธนาคารพาณิชย์
Reserve Requirement
เครื่องมือที่ 2: อัตราเงินสำรองตามกฎหมาย (Reserve Requirement) ธนาคารกลางสามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบผ่านการกำหนดอัตราเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงไว้ การเพิ่มอัตราเงินสำรองจะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินให้กู้ยืมน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบลดลงและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ในทางกลับกัน การลดอัตราเงินสำรองจะเพิ่มความสามารถในการปล่อยสินเชื่อและทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง
Open Market Operations
เครื่องมือที่ 3: การดำเนินนโยบายตลาดเปิด (Open Market Operations) เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ระหว่างธนาคารกลางกับตลาด เมื่อธนาคารกลางซื้อหลักทรัพย์จะทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์มีเงินสำรองส่วนเกินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ในทางตรงกันข้าม การขายหลักทรัพย์จะดูดซับเงินออกจากระบบ ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
Monetary Transmission Mechanism
กลไกการส่งผ่านนโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจผ่านหลายช่องทาง เช่น เมื่อธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะเกิดผลกระทบดังนี้:
- อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมถูกลง
- ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราคิดลดที่ใช้คำนวณมูลค่าปัจจุบันลดลง
- ความคาดหวังของธุรกิจและผู้บริโภคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและกำไรเพิ่มขึ้น
- ค่าเงินในประเทศอ่อนค่าลงเนื่องจากเงินทุนไหลออก
ผลกระทบเหล่านี้จะนำไปสู่:
- การเพิ่มขึ้นของการบริโภคและการลงทุน
- การเพิ่มขึ้นของการส่งออกสุทธิ เนื่องจากค่าเงินอ่อนทำให้สินค้าส่งออกถูกลงในสายตาชาวต่างชาติ
- การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์มวลรวม ซึ่งส่งผลให้เกิดการจ้างงาน การผลิต และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว หากเงินมีความเป็นกลาง (Money Neutrality) การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินจะไม่ส่งผลต่อผลผลิตที่แท้จริง แต่จะส่งผลต่อระดับราคาเท่านั้น การเข้าใจกลไกการส่งผ่านนโยบายการเงินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพ
สรุป
การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ผ่านการใช้เครื่องมือทั้งสามประการ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การกำหนดอัตราเงินสำรอง และการดำเนินนโยบายตลาดเปิด ซึ่งแต่ละเครื่องมือจะส่งผลต่อปริมาณเงิน อัตราดอกเบี้ย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระบบ ผ่านกลไกการส่งผ่านนโยบายการเงินที่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจกลไกเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนและดำเนินนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเติบโตที่ยั่งยืน