กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้จำแนกระบบอัตราแลกเปลี่ยนออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มประเทศที่ไม่มีสกุลเงินของตนเอง และกลุ่มประเทศที่มีสกุลเงินของตนเอง โดยแต่ละกลุ่มมีลักษณะและการดำเนินนโยบายที่แตกต่างกัน
ประเทศที่ไม่มีสกุลเงินของตนเอง
มีสองรูปแบบหลัก รูปแบบแรกคือการใช้เงินสกุลต่างประเทศอย่างเป็นทางการ หรือที่เรียกว่า Formal Dollarization ซึ่งประเทศจะใช้สกุลเงินของประเทศอื่นและไม่สามารถดำเนินนโยบายการเงินของตนเองได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ออกเงิน รูปแบบที่สองคือการเป็นสมาชิกสหภาพการเงิน เช่น สหภาพยุโรปที่ใช้เงินยูโร ซึ่งแม้แต่ละประเทศจะสละอำนาจในการกำหนดนโยบายการเงินของตน แต่ก็ยังมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายการเงินผ่านธนาคารกลางร่วม
ประเทศที่มีสกุลเงินของตนเอง
มีหลายรูปแบบแตกต่างกันตามระดับการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน รูปแบบแรกคือระบบคณะกรรมการสกุลเงิน (Currency Board) ซึ่งมีพันธะผูกพันที่จะแลกเปลี่ยนเงินในประเทศกับเงินตราต่างประเทศในอัตราคงที่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือฮ่องกง ที่ออกเงินได้เมื่อมีดอลลาร์สหรัฐฯ หนุนหลังเต็มจำนวน ระบบนี้แม้จะได้รับดอกเบี้ยจากการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็มีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการเงินอิสระและต้องนำเข้าอัตราเงินเฟ้อจากต่างประเทศ
รูปแบบที่สองคือระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่แบบดั้งเดิม ซึ่งกำหนดให้ค่าเงินผันผวนได้ในกรอบแคบๆ ประมาณ ±1% เทียบกับสกุลเงินอื่น โดยธนาคารกลางจะแทรกแซงตลาดโดยตรงด้วยการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และอาจใช้มาตรการแทรกแซงทางอ้อม เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยหรือการควบคุมการแลกเปลี่ยน ระบบนี้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายมากกว่าระบบ dollarization หรือ currency board
นอกจากนี้ยังมีระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่แบบมีขอบเขต ซึ่งอนุญาตให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวในกรอบที่กว้างขึ้น เช่น ±2% ทำให้ธนาคารกลางมีอิสระในการดำเนินนโยบายมากขึ้น และระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคลาน (Crawling peg) ที่มีการปรับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระยะเพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าประเทศคู่ค้า ระบบนี้แบ่งเป็นแบบ passive และ active โดยช่วยเพิ่มความแน่นอนให้กับการคาดการณ์เงินเฟ้อ
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคลานมีขอบเขตเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีการขยายขอบเขตการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นตามเวลา มักใช้เป็นกลไกในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ส่วนระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบจัดการ ธนาคารกลางพยายามจะมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนโดยพิจารณาจากดัชนีชี้วัดต่างๆ โดยไม่มีเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนที่ชัดเจน แต่การแทรกแซงอาจทำให้คู่ค้าตอบโต้จนกระทบเสถียรภาพได้ ระบบสุดท้ายคือระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวอิสระ ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดโดยกลไกตลาด โดยมีการแทรกแซงเพียงเพื่อลดความผันผวนระยะสั้นเท่านั้น
ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อการค้าระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายเงินทุน
สามารถวิเคราะห์ได้สองแนวทางหลักดังนี้
แนวทางความยืดหยุ่น (Elasticities Approach)
เน้นผลกระทบต่อมูลค่ารวมของการนำเข้าและส่งออก โดยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินต่อราคาสินค้านำเข้าและส่งออก ความยืดหยุ่นของอุปสงค์มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์นี้ โดยมีเงื่อนไข Marshall-Lerner เป็นตัวกำหนดว่าการลดค่าเงินจะช่วยปรับดุลการค้าได้หรือไม่ ในกรณีที่มูลค่านำเข้าเท่ากับส่งออก ผลรวมความยืดหยุ่นต้องมากกว่า 1 จึงจะส่งผลดีต่อดุลการค้า โดยทั่วไปสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่มีสินค้าทดแทนใกล้เคียงมักมีความยืดหยุ่นสูง ในขณะที่สินค้าจำเป็นและสินค้าที่ไม่มีสินค้าทดแทนมักมีความยืดหยุ่นต่ำ นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า J-Curve ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในระยะสั้นการลดค่าเงินอาจทำให้ดุลการค้าแย่ลง เนื่องจากสัญญาซื้อขายที่ทำไว้ล่วงหน้าทำให้ปริมาณเปลี่ยนแปลงช้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้นำเข้าจะปรับตัวลดปริมาณ และดุลการค้าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเงื่อนไข Marshall-Lerner มีผล
Source: https://www.wallstreetmojo.com/j-curve/
แนวทางการดูดซับ (Absorption Approach)
พิจารณาความสัมพันธ์ทางเศรษฐศาสตร์มหภาค โดยมองว่าดุลการค้าคือผลต่างระหว่างรายได้ประชาชาติและการใช้จ่ายภายในประเทศ และให้ความสำคัญกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนด้วย ในภาวะที่การจ้างงานต่ำกว่าระดับเต็มที่ การลดค่าเงินจะทำให้สินค้าในประเทศน่าดึงดูดมากขึ้น ทำให้อุปสงค์เปลี่ยนจากสินค้าต่างประเทศมาสู่สินค้าในประเทศ ส่งผลให้รายได้และการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยการออมจะเพิ่มขึ้นมากกว่าการใช้จ่าย จึงส่งผลดีต่อดุลการค้า
อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่มีการจ้างงานเต็มที่ การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น ซึ่งจะหักล้างผลของการลดค่าเงิน ทำให้ดุลการค้าอาจกลับสู่สภาพขาดดุลเดิม นอกจากนี้มูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริงของผู้ออมจะลดลง ทำให้มีการออมเพิ่มขึ้นเพื่อฟื้นฟูความมั่งคั่ง แต่เมื่อความมั่งคั่งฟื้นตัว ผลบวกต่อการออมจะลดลง และเศรษฐกิจจะกลับสู่สภาวะเดิมพร้อมดุลการค้าเดิม