การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างตลาดและกลไกการกำหนดราคามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของธุรกิจและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งเป็นรูปแบบตลาดที่มีลักษณะเฉพาะ

ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์

ตลาดแข่งขันสมบูรณ์มีลักษณะสำคัญคือ ผู้ผลิตแต่ละรายไม่มีอิทธิพลต่อราคาตลาด (Price Taker) เนื่องจากมีผู้ผลิตจำนวนมากในตลาด ทำให้เส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตแต่ละรายเผชิญมีลักษณะยืดหยุ่นสมบูรณ์ (Perfectly Elastic) หรือเป็นเส้นขนานกับแกนปริมาณ ในสภาวะนี้ ราคาตลาดถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานรวมของตลาด

Source: https://www.examlearn.ie/app/leaving-cert/lesson/379

การกำหนดราคาและปริมาณการผลิตที่เหมาะสม

การวิเคราะห์ในระยะสั้น

ในระยะสั้น ธุรกิจจะทำการผลิต ณ จุดที่รายรับส่วนเพิ่ม (Marginal Revenue: MR) เท่ากับต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost: MC) เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด โดยในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ รายรับส่วนเพิ่มจะเท่ากับราคาตลาด ดังนั้น เงื่อนไขการทำกำไรสูงสุดคือ P = MR = MC

กำไรทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Profit) คำนวณจากรายรับทั้งหมดหักด้วยต้นทุนค่าเสียโอกาสทั้งหมดของการผลิต ซึ่งรวมถึงผลตอบแทนปกติต่อปัจจัยการผลิตทั้งหมด รวมทั้งเงินลงทุน

การตัดสินใจในภาวะขาดทุน

เมื่อราคาตลาดต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ยรวม (Average Total Cost: ATC) ธุรกิจจะประสบภาวะขาดทุนทางเศรษฐศาสตร์ ในกรณีนี้ ธุรกิจต้องพิจารณาว่าควรดำเนินการผลิตต่อหรือหยุดกิจการ โดยมีหลักการพิจารณาดังนี้:

  1. หากราคาสูงกว่าต้นทุนผันแปรเฉลี่ย (Average Variable Cost: AVC) ธุรกิจควรดำเนินการผลิตต่อในระยะสั้น เพราะสามารถครอบคลุมต้นทุนผันแปรและชำระต้นทุนคงที่ได้บางส่วน
  2. หากราคาเท่ากับ AVC ถือเป็นจุดปิดกิจการ (Shutdown Point)
  3. หากราคาต่ำกว่า AVC ธุรกิจควรหยุดการผลิต เพราะการดำเนินการต่อจะทำให้ขาดทุนมากกว่าการปิดกิจการ

สมดุลในระยะยาว

การปรับตัวของตลาด

ในระยะยาว ตลาดแข่งขันสมบูรณ์จะเข้าสู่สมดุลที่ธุรกิจไม่ได้รับกำไรทางเศรษฐศาสตร์ (Zero Economic Profit) เนื่องจาก:

  1. หากธุรกิจในอุตสาหกรรมได้รับกำไรทางเศรษฐศาสตร์ จะมีธุรกิจใหม่เข้าสู่ตลาด ทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น และราคาลดลงจนกระทั่งกำไรทางเศรษฐศาสตร์เป็นศูนย์
  2. หากธุรกิจขาดทุน บางรายจะออกจากตลาด ทำให้อุปทานลดลง และราคาสูงขึ้นจนกระทั่งธุรกิจที่เหลือไม่ขาดทุน

การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และการปรับตัวของอุตสาหกรรม

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์อย่างถาวร ตลาดจะมีการปรับตัวดังนี้:

  1. การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์:
    • ระยะสั้น: ราคาและปริมาณสมดุลเพิ่มขึ้น ธุรกิจได้รับกำไรทางเศรษฐศาสตร์
    • ระยะยาว: มีธุรกิจใหม่เข้าสู่ตลาด ทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น ราคาลดลงสู่ระดับเดิม แต่ปริมาณการผลิตรวมเพิ่มขึ้น
  2. การลดลงของอุปสงค์:
    • ระยะสั้น: ราคาและปริมาณสมดุลลดลง ธุรกิจขาดทุน
    • ระยะยาว: บางธุรกิจออกจากตลาดหรือลดขนาด (Downsizing) ทำให้อุปทานลดลง ราคาปรับตัวสูงขึ้น

สรุป

ตลาดแข่งขันสมบูรณ์เป็นโครงสร้างตลาดที่มีกลไกการปรับตัวที่มีประสิทธิภาพ โดยราคาและปริมาณการผลิตจะถูกกำหนดโดยแรงของอุปสงค์และอุปทาน ในระยะยาว การเข้าออกของธุรกิจอย่างเสรีจะทำให้ตลาดเข้าสู่สมดุลที่ธุรกิจได้รับเพียงกำไรปกติ ความเข้าใจในกลไกนี้มีความสำคัญต่อการวางแผนธุรกิจและการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่เหมาะสม

การศึกษาตลาดแข่งขันสมบูรณ์ยังช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญของการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม ซึ่งนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในระยะยาว แม้ว่าในความเป็นจริง ตลาดแข่งขันสมบูรณ์อาจพบได้ยาก แต่การเข้าใจหลักการและกลไกของตลาดนี้จะช่วยในการวิเคราะห์และพัฒนานโยบายที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ